เงิน EUR/USD กำลังเข้าสู่จุดตัดสินใจทิศทางสำคัญในสัปดาห์ที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2025 หลังจากที่ราคาเคลื่อนไหวในรูปแบบสามเหลี่ยมสมมาตร (Symmetrical Triangle) มาตั้งแต่ต้นเดือน โดย ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ราคาปิดอยู่ที่ 1.0393 หลังจากฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดของปี 2025 ที่ 1.0205
ภาพรวมตลาดในขณะนี้แสดงความไม่สอดคล้องระหว่างปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงเอื้อต่อดอลลาร์สหรัฐจากความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่เข้มงวด แต่ปัจจัยทางเทคนิคกลับแสดงสัญญาณฟื้นตัวระยะสั้นหลังจากการปรับฐาน
ทางด้านปัจจัยพื้นฐาน ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง Fed และ ECB ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดย Fed ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยที่ 4.25-4.50% หลังจากตัวเลข CPI มกราคม 2025 ปรับตัวขึ้นถึง 3.3% ในขณะที่ ECB เริ่มวงจรการผ่อนคลายนโยบายด้วยการลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.75% เมื่อเดือนมกราคม และส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยต่อในเดือนมีนาคม
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดยังแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจยูโรโซน โดย GDP สหรัฐฯ Q4/2024 เติบโต 2.3% YoY ขณะที่ GDP ยูโรโซนชะลอตัวที่ 0% QoQ โดยเยอรมนีหดตัว 0.2%
ในส่วนของการวิเคราะห์ทางเทคนิค EUR/USD กำลังทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1.0530 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของช่องราคา H4 หากสามารถทะลุระดับนี้ได้ อาจนำไปสู่การทดสอบแนวต้านเส้นแนวโน้มหลักที่ 1.0575 แต่หากไม่สามารถทะลุได้ ราคาอาจปรับตัวลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1.0380 (จุดตัด MA50 และ MA200) และอาจลงลึกไปถึง 1.0311 ซึ่งเป็นแนวรับของสามเหลี่ยมสมมาตร
สัปดาห์นี้มีปัจจัยเสี่ยงสำคัญจากปฏิทินเศรษฐกิจ ได้แก่ การประกาศตัวเลข US Unemployment Claims ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ และการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวในระยะสั้น รวมถึงข้อมูล PMI ของยูโรโซนและสหรัฐฯ ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์
นักลงทุนควรติดตามจุดเปลี่ยนสำคัญที่ 1.0530 อย่างใกล้ชิด โดยการทะลุระดับนี้จะเป็นสัญญาณขาขึ้นในระยะสั้น แต่ในภาพรวมระยะกลางถึงยาว แนวโน้มขาลงยังคงเป็นหลัก เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังคงเอื้อต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมควรพิจารณาทั้งการเทรดในกรอบและการเตรียมพร้อมสำหรับการทะลุระดับสำคัญ โดยมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม
เหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญ
สัปดาห์ที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2025 มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของคู่เงิน EUR/USD ดังต่อไปนี้:
วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์
20:30 น. (GMT+7) — US Unemployment Claims
ข้อมูลการขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ เป็นตัวชี้วัดสำคัญของตลาดแรงงาน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อนโยบายการเงินของ Fed ตัวเลขคาดการณ์อยู่ที่ 205,000 ราย โดย:
- หากตัวเลขจริงสูงกว่า 220,000 ราย: จะเป็นสัญญาณชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ และอาจส่งผลบวกต่อ EUR/USD เนื่องจากอาจเพิ่มโอกาสที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
- หากตัวเลขจริงต่ำกว่า 190,000 ราย: จะสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ส่งผลลบต่อ EUR/USD เนื่องจาก Fed อาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย
ตัวเลข Continuing Jobless Claims ที่ประกาศพร้อมกันนี้ก็มีความสำคัญ โดยตัวเลขล่าสุดแสดงการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหากยังคงเพิ่มขึ้นอาจเป็นสัญญาณการชะลอตัวที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์
02:00 น. (GMT+7) — FOMC Minutes
รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) จะเปิดเผยรายละเอียดการหารือและมุมมองของคณะกรรมการต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน ประเด็นสำคัญที่ตลาดจะจับตามอง:
- ทัศนคติของคณะกรรมการต่อตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดที่สูงกว่าคาด (CPI 3.3%)
- การหารือเกี่ยวกับแผนการลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025
- การประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์
หากรายงานมีโทนเชิงผ่อนคลาย (Dovish) มากกว่าคาด อาจส่งผลบวกต่อ EUR/USD ในขณะที่โทนเชิงเข้มงวด (Hawkish) จะเป็นปัจจัยกดดันคู่เงิน
วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์
07:30 น. (GMT+7) — Eurozone PMI ภาคการผลิตและบริการ
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของยูโรโซนเป็นตัวชี้วัดสำคัญของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ตัวเลขคาดการณ์:
- PMI ภาคการผลิต: 48.2 (ยังคงต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การหดตัว)
- PMI ภาคบริการ: 52.5 (เหนือระดับ 50 แสดงถึงการขยายตัว)
ตัวเลขที่สำคัญที่ต้องติดตาม:
- PMI ภาคการผลิตเยอรมนี: คาดการณ์ที่ 45.8 หากสูงกว่านี้จะเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน
- PMI รวม (Composite): คาดการณ์ที่ 50.8 หากสูงกว่า 51.5 จะเป็นปัจจัยบวกต่อ EUR
21:45 น. (GMT+7) — US PMI ภาคการผลิต
PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ จะเป็นตัวบ่งชี้สภาวะภาคการผลิตซึ่งกำลังเผชิญความท้าทาย ตัวเลขคาดการณ์อยู่ที่ 48.5 หาก:
- ต่ำกว่า 47.0: สะท้อนการหดตัวที่รุนแรงขึ้น อาจเป็นบวกสำหรับ EUR/USD
- สูงกว่า 49.5: บ่งชี้การฟื้นตัว จะเป็นปัจจัยหนุนดอลลาร์
ผลกระทบมากที่สุดอาจเกิดหากมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่าง PMI ของยูโรโซนและสหรัฐฯ โดยเฉพาะหาก PMI ยูโรโซนดีขึ้นในขณะที่ PMI สหรัฐฯ แย่ลง
ปัจจัยเสริม: ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลาง
นอกเหนือจากข้อมูลเศรษฐกิจข้างต้น สัปดาห์นี้มีกำหนดการณ์ให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางกล่าวสุนทรพจน์ดังนี้:
- 19 ก.พ., 22:00 น. – Thomas Barkin (Fed) แสดงความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ
- 20 ก.พ., 15:30 น. – Philip Lane (ECB Chief Economist) กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับนโยบายการเงิน
- 21 ก.พ., 00:30 น. – Neel Kashkari (Fed) ร่วมอภิปรายเกี่ยวกับเงินเฟ้อและตลาดแรงงาน
ถ้อยแถลงเหล่านี้อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดหากมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินที่ไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของตลาด
ผลกระทบรวมและความเสี่ยง
วงเวลาที่คาดว่าจะมีความผันผวนสูงสุดคือ:
- 20:30-22:00 น. วันที่ 19 ก.พ. (ช่วงประกาศ Unemployment Claims)
- 02:00-04:00 น. วันที่ 20 ก.พ. (ช่วงเปิดเผย FOMC Minutes)
- 07:30-09:00 น. วันที่ 21 ก.พ. (ช่วงประกาศ Eurozone PMI)
ความเสี่ยงเพิ่มเติมที่ควรติดตาม:
- ความคืบหน้าเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรใหม่ของทรัมป์
- รายงานข่าวเกี่ยวกับวิกฤตหนี้สาธารณะเยอรมนี
- การแทรกแซงตลาดโดย BOJ ในคู่ USD/JPY ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ Dollar Index
นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ซึ่งอาจทำให้ EUR/USD เคลื่อนไหวในกรอบกว้างระหว่าง 1.0311 ถึง 1.0532 ภายในสัปดาห์นี้
การวิเคราะห์กราฟ
การวิเคราะห์กราฟ EUR/USD ในหลายกรอบเวลาเผยให้เห็นถึงจุดตัดสินใจทางเทคนิคที่สำคัญ ซึ่งนักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิดในสัปดาห์นี้ เพื่อวางแผนกลยุทธ์การเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์กรอบเวลารายวัน (Daily Timeframe)
บนกราฟรายวัน EUR/USD กำลังเคลื่อนตัวในรูปแบบสามเหลี่ยมสมมาตร (Symmetrical Triangle) ที่ชัดเจน โดยมีขอบบนที่ 1.0575 และขอบล่างที่ 1.0205 ราคาปัจจุบันที่ 1.0393 กำลังอยู่ในช่วงกลางของรูปแบบนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในตลาด
องค์ประกอบสำคัญบนกราฟรายวันมีดังนี้:
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่: MA50 และ MA200 กำลังตัดกันที่บริเวณ 1.0380 สร้าง “Golden Cross” ซึ่งเป็นสัญญาณทางเทคนิคเชิงบวกในระยะกลาง แต่ราคายังต้องยืนเหนือระดับนี้เพื่อยืนยันสัญญาณ
- ดัชนี RSI (14): อยู่ที่ระดับ 62 แสดงโมเมนตัมขาขึ้นปานกลาง และยังไม่เข้าสู่เขตซื้อเกิน (Overbought) อย่างเต็มตัว
- MACD: เส้นสัญญาณตัดขึ้นเหนือเส้นหลักเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พร้อมกับ Histogram ที่ขยายตัวในแดนบวก สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้น
- แท่งเทียนล่าสุด: เกิดรูปแบบ “Three Inside Up” หลังทดสอบแนวรับ 1.0205 ซึ่งเป็นสัญญาณกลับตัวขาขึ้นที่มีนัยสำคัญ
การวิเคราะห์ระดับ Fibonacci Retracement วัดจากจุดสูงสุด 1.1275 (พ.ค. 2024) ถึงจุดต่ำสุด 1.0205 (ก.พ. 2025) แสดงระดับสำคัญที่ 1.0436 (38.2%) ซึ่งกำลังทำหน้าที่เป็นแนวต้านในระยะสั้น
แนวโน้มหลักในกรอบเวลารายวันยังคงเป็นขาลง แต่มีสัญญาณการกลับตัวระยะสั้น โดยการทะลุ 1.0575 อย่างมีปริมาณการซื้อขายสูงจะเป็นการยืนยันการเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน
การวิเคราะห์กรอบเวลา 4 ชั่วโมง (H4 Timeframe)
กราฟ H4 แสดงการเคลื่อนไหวในช่องราคาขาขึ้น (Ascending Channel) ที่ก่อตัวขึ้นหลังจากราคาทดสอบ 1.0205 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ขอบบนของช่องราคาอยู่ที่ 1.0532 ซึ่งเป็นแนวต้านระยะสั้นที่สำคัญ
องค์ประกอบทางเทคนิคสำคัญบนกราฟ H4:
- Bollinger Bands: ราคากำลังเคลื่อนตัวใกล้ขอบบนของ Bollinger Bands ที่ 1.0455 แสดงถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
- Stochastic Oscillator: แสดงการไขว้กันในเขตซื้อเกิน (Overbought) ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการปรับฐานระยะสั้นก่อนการเคลื่อนไหวต่อไป
- ปริมาณการซื้อขาย: มีการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเมื่อราคาเคลื่อนตัวขึ้น ซึ่งเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้น
แนวโน้มในกรอบเวลา H4 เป็นบวก โดยมีรูปแบบของฐานที่สูงขึ้น (Higher Lows) และยอดที่สูงขึ้น (Higher Highs) ซึ่งจะยังคงสภาพตราบใดที่ราคาอยู่เหนือเส้น MA21 ที่ 1.0397
การวิเคราะห์กรอบเวลา 1 ชั่วโมง (H1 Timeframe)
บนกราฟ H1 ราคาแสดงรูปแบบการรวมตัวระยะสั้นระหว่าง 1.0380-1.0455 โดยมีการเกิด Fractals ทั้งด้านบนและด้านล่าง ซึ่งบ่งชี้ถึงจุดเปลี่ยนราคาสำคัญ
องค์ประกอบทางเทคนิคสำคัญ:
- Fractal ด้านบน: เกิดขึ้นที่ 1.0455 เป็นแนวต้านระยะสั้น
- Fractal ด้านล่าง: เกิดขึ้นที่ 1.0380 เป็นแนวรับระยะสั้น
- RSI (9): อยู่ที่ 56 แสดงถึงสมดุลระหว่างแรงซื้อและขาย
- Ichimoku Cloud: ราคาอยู่เหนือเมฆ แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้น
การเคลื่อนไหวเหนือแนวต้าน Fractal ด้านบนที่ 1.0455 จะเปิดทางสู่การทดสอบแนวต้านช่องราคา H4 ที่ 1.0532 ในขณะที่การหลุดแนวรับ Fractal ด้านล่างที่ 1.0380 อาจนำไปสู่การปรับตัวลงทดสอบแนวรับ 1.0311
การวิเคราะห์กรอบเวลา 15 นาที (M15 Timeframe)
กราฟ M15 มีประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์จุดเข้าและออกในระยะสั้นมาก ปัจจุบันราคากำลังเคลื่อนตัวในรูปแบบคลื่น (Wave Pattern) โดยมีแนวรับและแนวต้านระยะสั้นที่ชัดเจน:
- แนวรับระยะสั้นมาก: 1.0415 และ 1.0398
- แนวต้านระยะสั้นมาก: 1.0430 และ 1.0448
Stochastic Oscillator บนกราฟ M15 แสดงการเคลื่อนไหวในรูปแบบซิกแซก (Zigzag) ซึ่งสามารถใช้เพื่อระบุจุดกลับตัวระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์รูปแบบราคาและฟอร์เมชัน
รูปแบบราคาสำคัญที่พบในการวิเคราะห์ EUR/USD มีดังนี้:
-
- สามเหลี่ยมสมมาตร (Symmetrical Triangle) บนกราฟรายวัน:
- รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงช่วงการรวมตัวของราคาก่อนการเคลื่อนไหวที่มีทิศทางชัดเจน
- ขอบบนอยู่ที่ 1.0575 และขอบล่างอยู่ที่ 1.0205
- การทะลุขอบใดขอบหนึ่งมักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่รุนแรงในทิศทางนั้น
- เป้าหมายของการทะลุสามารถคำนวณจากความสูงของสามเหลี่ยม โดยหากทะลุขึ้น เป้าหมายอยู่ที่ 1.0748 และหากทะลุลง เป้าหมายอยู่ที่ 1.0032
- รูปแบบ Three Inside Up บนกราฟรายวันและ H4:
- เกิดจากแท่งเทียนยาวขาลง ตามด้วยแท่งเทียน Doji ภายใน และแท่งเทียนขาขึ้น
- เป็นสัญญาณกลับตัวขาขึ้นที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะเมื่อเกิดหลังการปรับตัวลงที่รุนแรง
- มีอัตราความสำเร็จประมาณ 70% ในการทำนายการกลับตัวระยะสั้นถึงปานกลาง
- องราคาขาขึ้น (Ascending Channel) บนกราฟ H4:
- แสดงแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นที่มีการเคลื่อนไหวเป็นระเบียบ
- ขอบบนอยู่ที่ 1.0532 และขอบล่างกำลังเคลื่อนตัวขึ้นจาก 1.0310 สู่ 1.0350
- มักมีการทดสอบขอบล่างก่อนการเคลื่อนตัวขึ้นทดสอบขอบบน
- การหลุดขอบล่างจะเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มระยะสั้นช่
ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่สำคัญ
ตัวชี้วัดทางเทคนิคหลักให้สัญญาณดังนี้:
- Moving Averages:
- MA50 (1.0382) และ MA200 (1.0377) บนกราฟรายวันกำลังตัดกันสร้าง Golden Cross
- MA21 บนกราฟ H4 (1.0397) กำลังทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญในระยะสั้น
- MA10 บนกราฟ H1 (1.0415) แสดงแนวโน้มเชิงบวกในระยะสั้นมาก
- Oscillators:
- RSI (14) บนกราฟรายวัน: 62 (เป็นบวกแต่ใกล้เขตซื้อเกิน)
- Stochastic บนกราฟ H4: 78/82 (อยู่ในเขตซื้อเกิน บ่งชี้การปรับฐานระยะสั้น)
- MACD บนกราฟรายวัน: +0.0022 (เพิ่งตัดขึ้นเหนือเส้นศูนย์)
- Ichimoku Cloud:
- Tenkan-sen (1.0401) อยู่เหนือ Kijun-sen (1.0345) บนกราฟรายวัน
- ราคาอยู่เหนือเมฆ Ichimoku บนกราฟ H1 และ H4
- Chikou Span บนกราฟรายวันยังคงอยู่ใต้ราคา แสดงถึงแนวโน้มขาลงที่ยังไม่สิ้นสุด
บทสรุปการวิเคราะห์กราฟ
จากการวิเคราะห์กราฟในหลายกรอบเวลา EUR/USD กำลังอยู่ในจุดสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางตลาดในระยะกลาง โดยสรุปได้ดังนี้:
- แนวโน้มระยะสั้น (1-3 วัน): เป็นบวก โดยมีเป้าหมายที่ 1.0455 และ 1.0532 ตามลำดับ
- แนวโน้มระยะกลาง (1-2 สัปดาห์): ยังไม่ชัดเจน อยู่ในช่วงรอการยืนยันจากการทะลุสามเหลี่ยมสมมาตร
- แนวโน้มระยะยาว (เดือนขึ้นไป): ยังคงเป็นขาลง ตราบใดที่ราคายังไม่สามารถยืนเหนือ 1.0575 อย่างมั่นคง
จุดสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้คือการทดสอบแนวต้าน 1.0532 ซึ่งเป็นขอบบนของช่องราคา H4 หากราคาสามารถทะลุระดับนี้ได้ โดยเฉพาะหลังการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งสำหรับการเคลื่อนไหวขึ้นทดสอบ 1.0575 ในทางกลับกัน หากราคาไม่สามารถทะลุ 1.0455 และหลุดแนวรับ 1.0380 อาจนำไปสู่การปรับตัวลงทดสอบ 1.0311 และอาจลงลึกถึง 1.0205 อีกครั้ง
ระดับแนวต้านสำคัญ
การวิเคราะห์แนวต้านสำคัญสำหรับคู่เงิน EUR/USD ในสัปดาห์ที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2025 แสดงให้เห็นระดับแนวต้านที่มีนัยสำคัญซึ่งอาจกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยเรียงลำดับจากระดับที่ใกล้ราคาปัจจุบันที่สุดไปยังระดับที่ไกลที่สุด
1. แนวต้านที่ 1.0430-1.0436 (แนวต้านระยะสั้นมาก)
ระดับนี้มีความสำคัญด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:
- เป็นจุดตัดของระดับ Fibonacci Retracement 38.2% วัดจากจุดสูงสุด 1.1275 (พ.ค. 2024) ถึงจุดต่ำสุด 1.0205 (ก.พ. 2025)
- มีความหนาแน่นของปริมาณการซื้อขาย (Volume Profile) สูงในบริเวณนี้
- ราคาถูกปฏิเสธที่ระดับนี้ 2 ครั้งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
- ตรงกับขอบบนของ Bollinger Bands บนกราฟรายชั่วโมง (H1)
การทะลุระดับนี้จะเปิดทางสู่การทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1.0455 ในขณะที่การถูกปฏิเสธที่ระดับนี้อีกครั้งอาจนำไปสู่การปรับฐานลงทดสอบ 1.0398
2. แนวต้านที่ 1.0455 (แนวต้านระยะสั้น)
ระดับนี้เป็นแนวต้านสำคัญด้วยเหตุผลดังนี้:
- เป็นจุดเกิด Fractal ด้านบนบนกราฟรายชั่วโมง (H1)
- ตรงกับขอบบนของ Bollinger Bands บนกราฟ 4 ชั่วโมง (H4)
- มีคำสั่งขายรอการดำเนินการ (Pending Sell Orders) จำนวนมากจากนักลงทุนสถาบันที่ระดับนี้
- เป็นจุดกลับตัวราคาในวันที่ 19 มกราคม 2025
หากราคาสามารถทะลุและยืนเหนือระดับนี้ได้ โดยเฉพาะหลังการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ จะเป็นสัญญาณเชิงบวกที่แข็งแกร่งสำหรับการเคลื่อนไหวขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1.0532
3. แนวต้านที่ 1.0532 (แนวต้านระดับกลาง)
ระดับนี้มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ด้วยเหตุผลต่อไปนี้:
- เป็นขอบบนของช่องราคาขาขึ้น (Ascending Channel) บนกราฟ 4 ชั่วโมง (H4)
- ตรงกับระดับ Fibonacci Extension 161.8% วัดจากการปรับฐานล่าสุด
- ถูกทดสอบและปฏิเสธ 3 ครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2025
- มีปริมาณธุรกรรม (Trading Volume) สูงที่ระดับนี้ในช่วง 20 วันที่ผ่านมา
นี่คือระดับทดสอบที่สำคัญมากสำหรับสัปดาห์นี้ การทะลุระดับนี้จะเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนโมเมนตัมเป็นขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาจนำไปสู่การทดสอบแนวต้านหลักที่ 1.0575
4. แนวต้านที่ 1.0575 (แนวต้านหลัก)
นี่คือแนวต้านสำคัญที่สุดในระยะกลาง ด้วยเหตุผลดังนี้:
- เป็นขอบบนของรูปแบบสามเหลี่ยมสมมาตร (Symmetrical Triangle) บนกราฟรายวัน
- ตรงกับแนวต้าน Ichimoku Cloud รายสัปดาห์
- เป็นจุดสูงสุดในเดือนธันวาคม 2024
- มีแรงขายจากนักลงทุนสถาบันสูงในบริเวณนี้ (จากข้อมูล COT ล่าสุด)
การทะลุและยืนเหนือระดับนี้จะเป็นการยืนยันการเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะกลาง และเปิดทางสู่การทดสอบเป้าหมายทางเทคนิคที่ 1.0748 ในเวลาต่อมา
5. แนวต้านที่ 1.0748 (แนวต้านระยะยาว)
ระดับนี้เป็นเป้าหมายทางเทคนิคในระยะยาวหากเกิดการทะลุสามเหลี่ยมสมมาตรขึ้น โดยมีความสำคัญด้วยเหตุผลต่อไปนี้:
- เป็นเป้าหมายที่คำนวณจากความสูงของสามเหลี่ยมสมมาตรบนกราฟรายวัน (วัดจาก 1.0205 ถึง 1.0575)
- ตรงกับระดับ Fibonacci Retracement 61.8% ของการปรับฐานตั้งแต่ต้นปี 2024
- เป็นระดับแนวต้านจิตวิทยาที่สำคัญ (ใกล้ 1.0750)
- มีแนวต้านโครงสร้าง (Structural Resistance) จากจุดต่ำของเดือนสิงหาคม 2024
การเคลื่อนไหวไปถึงระดับนี้ในสัปดาห์นี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก และจะเกิดขึ้นได้เฉพาะในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินอย่างมีนัยสำคัญจาก Fed หรือ ECB
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อแนวต้าน
ในสัปดาห์นี้ ปัจจัยต่อไปนี้อาจส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอของแนวต้านข้างต้น:
- ข้อมูล Unemployment Claims ของสหรัฐฯ (19 ก.พ.):
- หากตัวเลขสูงกว่า 220,000 ราย แนวต้านที่ 1.0455 และ 1.0532 อาจอ่อนแอลง เปิดทางให้ราคาทะลุได้ง่ายขึ้
- หากตัวเลขต่ำกว่า 190,000 ราย แนวต้านเหล่านี้จะแข็งแกร่งขึ้น ทำให้การทะลุเป็นไปได้ยากขึ้น
- รายงาน FOMC Minutes (20 ก.พ.):
- โทนเชิงผ่อนคลาย (Dovish) จะทำให้แนวต้านอ่อนแอลง
- โทนเชิงเข้มงวด (Hawkish) จะเสริมความแข็งแกร่งของแนวต้านทั้งหมด
- ข้อมูล PMI ของยูโรโซนและสหรัฐฯ (21 ก.พ.):
- หากข้อมูล PMI ยูโรโซนดีขึ้นในขณะที่ PMI สหรัฐฯ แย่ลง จะทำให้แนวต้านอ่อนแอลง
- ในทางกลับกัน หาก PMI สหรัฐฯ แข็งแกร่งกว่าคาด จะเสริมความแข็งแกร่งของแนวต้าน
กลยุทธ์การเทรดตามแนวต้าน
นักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์ต่อไปนี้เมื่อพิจารณาแนวต้านสำคัญข้างต้น:
- สำหรับนักลงทุนตามแนวโน้ม (Trend Followers):
- เฝ้าติดตามการทะลุแนวต้าน 1.0455 และ 1.0532 โดยใช้การยืนยันจากปริมาณการซื้อขาย
- หากราคาทะลุ 1.0532 ให้พิจารณาเปิดสถานะซื้อโดยมีเป้าหมายที่ 1.0575
- สำหรับนักลงทุนแบบเทรดสวนทาง (Counter-trend Traders):
- พิจารณาเปิดสถานะขายเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน 1.0532 โดยมี Stop Loss เหนือ 1.0550
- ตั้งเป้าหมายกำไรที่ 1.0455 หรือ 1.0430
- สำหรับนักลงทุนตามข่าว (News Traders):
- เตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนในวันที่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ
- ใช้คำสั่ง Pending Orders ที่ระดับ 1.0455 (Buy Stop) และ 1.0390 (Sell Stop) เพื่อจับการเคลื่อนไหวหลังประกาศข่าว
ในการบริหารความเสี่ยง นักลงทุนควรใช้ Stop Loss ที่เหมาะสมเมื่อเทรดใกล้แนวต้านสำคัญ:
- สำหรับสถานะซื้อเหนือ 1.0455: Stop Loss ที่ 1.0430
- สำหรับสถานะซื้อเหนือ 1.0532: Stop Loss ที่ 1.0505
นอกจากนี้ ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของดัชนี Dollar Index (DXY) ซึ่งมีความสัมพันธ์ผกผันกับ EUR/USD เนื่องจากการเคลื่อนไหวของ DXY ต่ำกว่า 103.50 อาจทำให้แนวต้านของ EUR/USD อ่อนแอลง เปิดทางให้ราคาขึ้นทดสอบระดับที่สูงขึ้นได้
ระดับแนวรับสำคัญ
การวิเคราะห์แนวรับสำคัญของคู่เงิน EUR/USD ในสัปดาห์ที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2025 แสดงให้เห็นระดับสำคัญที่อาจช่วยหยุดการปรับตัวลงหรือกำหนดจุดกลับตัวของราคา โดยเรียงลำดับจากระดับที่ใกล้ราคาปัจจุบันที่สุดไปยังระดับที่ไกลที่สุด
1. แนวรับที่ 1.0380-1.0385 (แนวรับระยะสั้น)
ระดับนี้มีความสำคัญทางเทคนิคอย่างมากด้วยเหตุผลต่อไปนี้:
- เป็นจุดตัดของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (MA50 – 1.0382) และ 200 วัน (MA200 – 1.0377) บนกราฟรายวัน
- กำลังเกิดสัญญาณ Golden Cross ในบริเวณนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณทางเทคนิคเชิงบวกในระยะกลาง
- เป็นจุดเกิด Fractal ด้านล่างบนกราฟรายชั่วโมง (H1)
- มีการสะสมปริมาณการซื้อขาย (Volume Accumulation) ที่เพิ่มขึ้นในบริเวณนี้
การยืนเหนือระดับนี้เป็นสัญญาณบวกสำหรับแนวโน้มระยะสั้น และการหลุดระดับนี้อาจนำไปสู่การปรับตัวลงสู่แนวรับถัดไปที่ 1.0311 ในช่วงแรกของสัปดาห์ ราคามีแนวโน้มที่จะทดสอบระดับนี้อีกครั้งหลังจากปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้าน 1.0455
2. แนวรับที่ 1.0350 (แนวรับระยะสั้น-กลาง)
ระดับนี้มีความสำคัญด้วยเหตุผลดังนี้:
- เป็นขอบล่างของช่องราคาขาขึ้น (Ascending Channel) บนกราฟ 4 ชั่วโมง (H4)
- ตรงกับระดับ Fibonacci Retracement 23.6% วัดจากจุดต่ำสุด 1.0205 ถึงจุดสูงสุดล่าสุด 1.0455
- มีการสะสมคำสั่งซื้อรอดำเนินการ (Pending Buy Orders) จากนักลงทุนสถาบันที่ระดับนี้
- ตรงกับค่า Kijun-sen (1.0345) ของ Ichimoku Cloud บนกราฟรายวัน
ระดับนี้เป็นแนวรับทางเทคนิคสำคัญที่น่าจะดึงดูดแรงซื้อเข้ามาหากราคาปรับตัวลงหลังจากทดสอบแนวต้าน หากแนวรับนี้ถูกทดสอบและสามารถยืนได้ จะเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นที่แข็งแกร่ง
3. แนวรับที่ 1.0311 (แนวรับระดับกลาง)
ระดับนี้เป็นแนวรับสำคัญในระยะกลางด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:
- เป็นแนวรับของสามเหลี่ยมสมมาตร (Symmetrical Triangle) บนกราฟรายวัน
- ตรงกับระดับ Fibonacci Retracement 61.8% วัดจากการฟื้นตัวล่าสุด
- เป็นจุดต่ำสุดในช่วงการซื้อขายวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2025
- มีปริมาณธุรกรรม (Trading Volume) สูงที่ระดับนี้ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา
นี่เป็นระดับสำคัญที่ต้องรักษาไว้เพื่อป้องกันการปรับตัวลงที่รุนแรงขึ้น หากราคาหลุดระดับนี้ โดยเฉพาะหลังการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ อาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับหลักที่ 1.0205 อย่างรวดเร็ว
4. แนวรับที่ 1.0205 (แนวรับหลัก)
นี่คือแนวรับสำคัญที่สุดในระยะกลาง ด้วยเหตุผลดังนี้:
- เป็นจุดต่ำสุดของปี 2025 ซึ่งทดสอบเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์
- เป็นฐานของรูปแบบสามเหลี่ยมสมมาตร (Symmetrical Triangle) บนกราฟรายวัน
- มีการเกิดรูปแบบกลับตัว “Three Inside Up” ที่ระดับนี้
- มีปริมาณการซื้อสูงมากเมื่อราคาทดสอบระดับนี้ล่าสุด
การหลุดระดับนี้จะเป็นสัญญาณทางเทคนิคเชิงลบที่สำคัญ ยืนยันแนวโน้มขาลงที่ชัดเจนในระยะกลางถึงยาว และอาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1.0177 และอาจลงไปถึง 1.0000 ในเวลาต่อมา
5. แนวรับที่ 1.0177 (แนวรับฉุกเฉิน)
ระดับนี้เป็นแนวรับฉุกเฉินที่จะทำงานหากเกิดการปรับฐานที่รุนแรง โดยมีความสำคัญด้วยเหตุผลต่อไปนี้:
- เป็นจุดต่ำสุดเดิมจากปี 2024
- เป็นระดับจิตวิทยาสำคัญใกล้ 1.0200
- มีแนวรับโครงสร้าง (Structural Support) จากการทดสอบหลายครั้งในปี 2023-2024
- เป็นจุดที่มักเกิดการกลับตัวอย่างรุนแรงเนื่องจากการเข้าซื้อของนักลงทุนสถาบัน
การเคลื่อนไหวลงไปถึงระดับนี้ในสัปดาห์นี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก และจะเกิดขึ้นได้เฉพาะในกรณีที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันในตลาด เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินอย่างฉับพลันหรือวิกฤติทางการเงินในยูโรโซน
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อแนวรับ
ในสัปดาห์นี้ ปัจจัยต่อไปนี้อาจส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอของแนวรับข้างต้น:
- ข้อมูล Unemployment Claims ของสหรัฐฯ (19 ก.พ.):
- หากตัวเลขต่ำกว่า 190,000 ราย แนวรับที่ 1.0380 และ 1.0350 อาจอ่อนแอลง ทำให้ราคาหลุดลงได้ง่ายขึ้น
- หากตัวเลขสูงกว่า 220,000 ราย แนวรับเหล่านี้จะแข็งแกร่งขึ้น ดึงดูดแรงซื้อเพิ่มเติม
- รายงาน FOMC Minutes (20 ก.พ.):
- โทนเชิงเข้มงวด (Hawkish) จะทำให้แนวรับอ่อนแอลง
- โทนเชิงผ่อนคลาย (Dovish) จะเสริมความแข็งแกร่งของแนวรับทั้งหมด
- ข้อมูล PMI ของยูโรโซนและสหรัฐฯ (21 ก.พ.):
- หากข้อมูล PMI ยูโรโซนแย่กว่าคาด โดยเฉพาะหากต่ำกว่า 48.0 จะทำให้แนวรับอ่อนแอลง
- หาก PMI สหรัฐฯ อ่อนแอกว่าคาด อาจช่วยเสริมความแข็งแกร่งของแนวรับ
- ข่าวเกี่ยวกับวิกฤตหนี้สาธารณะเยอรมนี:
- รายงานเชิงลบเกี่ยวกับหนี้สาธารณะเยอรมนีที่แตะ 13.2 พันล้านยูโร อาจกดดันแนวรับทั้งหมด
- การประกาศมาตรการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนอาจช่วยเสริมความแข็งแกร่งของแนวรับ
กลยุทธ์การเทรดตามแนวรับ
นักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์ต่อไปนี้เมื่อพิจารณาแนวรับสำคัญข้างต้น:
- สำหรับนักลงทุนตามแนวโน้ม (Trend Followers):
- พิจารณาเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาทดสอบและยืนได้ที่แนวรับ 1.0380 หรือ 1.0350
- ใช้การยืนยันจากตัวชี้วัดโมเมนตัม เช่น RSI ที่แสดงการแยกตัวเชิงบวก (Positive Divergence)
- ตั้งเป้าหมายกำไรที่ 1.0455 หรือ 1.0532
- สำหรับนักลงทุนแบบเทรดสวนทาง (Counter-trend Traders):
- หากราคาหลุดแนวรับ 1.0380 ให้พิจารณาเปิดสถานะขายโดยมี Stop Loss เหนือ 1.0400
- ตั้งเป้าหมายกำไรที่ 1.0350 หรือ 1.0311
- สำหรับนักลงทุนแบบ Scalping:
- ใช้แนวรับระยะสั้นมากที่ 1.0398 และ 1.0415 บนกราฟ M15 เพื่อทำกำไรจากความผันผวนระยะสั้น
- ตั้งเป้าหมายกำไรทีละ 15-20 pips และใช้ Stop Loss แคบที่ 7-10 pips
ในการบริหารความเสี่ยง นักลงทุนควรใช้ Stop Loss ที่เหมาะสมเมื่อเทรดใกล้แนวรับสำคัญ:
- สำหรับสถานะซื้อที่แนวรับ 1.0380: Stop Loss ที่ 1.0350
- สำหรับสถานะซื้อที่แนวรับ 1.0350: Stop Loss ที่ 1.0325
นอกจากนี้ ควรติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินปลอดภัย (Safe-haven Currencies) เช่น USD/JPY และ USD/CHF ซึ่งมักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับ EUR/USD ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง โดยการอ่อนค่าของเงิน JPY และ CHF มักบ่งชี้ถึงความกังวลที่ลดลง ซึ่งอาจช่วยเสริมความแข็งแกร่งของแนวรับ EUR/USD
ปัจจัยพื้นฐาน
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานสำหรับคู่เงิน EUR/USD ในสัปดาห์ที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2025 จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อมูลค่าสกุลเงินทั้งสองและความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
1. ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลาง
ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง Fed และ ECB ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของ EUR/USD ในช่วงนี้:
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve)
- Fed ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูง 4.25-4.50% ในการประชุมล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2025 แม้จะมีแรงกดดันจากฝ่ายบริหารทรัมป์
- ตัวเลข Core PCE ล่าสุดอยู่ที่ 2.8% YoY และ CPI มกราคม 2025 ปรับตัวขึ้นถึง 3.3% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% อย่างมีนัยสำคัญ
- ด้วยตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังสูง Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปี 2025 โดยคาดว่าการลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน
- นักวิเคราะห์ตลาดคาด Fed Funds Rate จะอยู่ที่ 3.75-4.00% ในสิ้นปี 2025 ซึ่งยังคงสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของ ECB
ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank)
- ECB เริ่มวงจรการผ่อนคลายนโยบายด้วยการลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.75% เมื่อเดือนมกราคม 2025
- การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจาก GDP ยูโรโซน Q4/2024 ชะลอตัวที่ 0% QoQ โดยเศรษฐกิจเยอรมนีหดตัว 0.2%
- ข้อมูลเงินเฟ้อยูโรโซนล่าสุดอยู่ที่ 2.5% ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของ ECB มากกว่า
- ECB ส่งสัญญาณว่าอาจลดดอกเบี้ยต่อในเดือนมีนาคม และคาดว่าจะลดดอกเบี้ยรวม 3-4 ครั้งในปี 2025
- มุมมองของตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของ ECB จะอยู่ที่ประมาณ 1.75-2.00% ในสิ้นปี 2025
ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Differential) ระหว่างสหรัฐฯ และยูโรโซนมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเป็น 180-200 basis points ภายในสิ้นปี ซึ่งโดยปกติจะเป็นปัจจัยกดดันสกุลเงินยูโรในระยะกลางถึงยาว
2. สภาวะเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ และยูโรโซน
เศรษฐกิจสหรัฐฯ
- GDP Q4/2024 เติบโต 2.3% YoY แสดงถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจยูโรโซน
- อัตราว่างงานอยู่ที่ 4.1% ซึ่งยังถือว่าต่ำในเชิงประวัติศาสตร์ แม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี
- ข้อมูลล่าสุดแสดงการเพิ่มขึ้นของ Continuing Jobless Claims ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการชะลอตัวในตลาดแรงงาน
- ดัชนีภาคการผลิต Empire State เดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ -5.85 แสดงถึงการหดตัวในภาคการผลิต
- ภาคบริการยังคงแข็งแกร่ง โดย ISM Services PMI อยู่ที่ 53.4 ในเดือนมกราคม
เศรษฐกิจยูโรโซน
- GDP ยูโรโซน Q4/2024 ชะลอตัวที่ 0% QoQ และเติบโตเพียง 0.9% YoY
- เยอรมนี ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน หดตัว 0.2% QoQ ในไตรมาส 4/2024
- ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ ZEW เยอรมนีเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 15.4 ดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน
- PMI ภาคบริการยูโรโซนเดือนมกราคมอยู่ที่ 52.8 แสดงถึงการขยายตัวเล็กน้อย
- PMI ภาคการผลิตยูโรโซนยังคงอยู่ในเขตหดตัวที่ 48.2
- หนี้สาธารณะเยอรมนีแตะระดับ 13.2 พันล้านยูโร สร้างความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลัง
การเปรียบเทียบเศรษฐกิจทั้งสองภูมิภาคแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนดอลลาร์สหรัฐในระยะกลาง
3. ปัจจัยทางการเมืองและนโยบายการค้า
สหรัฐอเมริกา
- มาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ (25% สำหรับเม็กซิโก-แคนาดา และ 10% สำหรับจีน) สร้างความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจขยายวงกว้าง
- Goldman Sachs ประเมินว่านโยบายภาษีใหม่อาจผลัก CPI สหรัฐฯ สูงถึง 3% ซึ่งอาจทำให้ Fed ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย
- การดำเนินนโยบาย America First อาจสร้างความตึงเครียดทางการค้ากับยุโรป โดยเฉพาะในภาคยานยนต์และเทคโนโลยี
- แนวโน้มของนโยบายการคลังแบบขาดดุลอาจกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ สูงขึ้น
ยูโรโซน
- ECB เตรียมรับมือผลกระทบจากสงครามการค้าที่อาจลดการเติบโตของยูโรโซนลง 0.16%
- วิกฤตหนี้สาธารณะเยอรมนีและความไม่แน่นอนทางการเมืองในฝรั่งเศสและอิตาลีสร้างความกังวลต่อเสถียรภาพของยูโรโซน
- การพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียที่ลดลงทำให้ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม
- ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและยูเครนยังคงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในยุโรป
ปัจจัยทางการเมืองและนโยบายการค้าเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะสร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก ซึ่งอาจเพิ่มความผันผวนให้กับ EUR/USD ในระยะสั้น
4. ความสัมพันธ์ระหว่างตลาด (Intermarket Relationships)
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ มีอิทธิพลสำคัญต่อทิศทางของ EUR/USD ในขณะนี้:
ตลาดพันธบัตร
- ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield Spread) ระหว่างสหรัฐฯ 10 ปีและเยอรมนี 10 ปี อยู่ที่ประมาณ 180 bps
- ส่วนต่างนี้มีแนวโน้มขยายตัวหากนโยบายการคลังสหรัฐฯ ยังคงเป็นแบบขาดดุล
- การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับ EUR/USD โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมุ่งเน้นความแตกต่างของนโยบายการเงิน
- ทุก 10 bps ที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนขยายตัว มักส่งผลให้ EUR/USD ปรับตัวลงประมาณ 0.5-0.8%
ตลาดหุ้น
- ดัชนี S&P 500 และ Euro Stoxx 50 มีความสัมพันธ์กับ EUR/USD ในลักษณะที่หากตลาดหุ้นสหรัฐฯ แข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นยุโรป มักส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่า
- ในช่วงที่ตลาดมี Risk-on Sentiment ปกติจะสนับสนุนยูโร เนื่องจากดอลลาร์มักถูกมองว่าเป็นสกุลเงินปลอดภัย
- อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งไปพร้อมกัน
- ดัชนี VIX (ดัชนีความผันผวน) ปัจจุบันอยู่ที่ 25.6 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย และมักสัมพันธ์กับความผันผวนที่สูงขึ้นใน EUR/USD
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
- ราคาน้ำมัน Brent ล่าสุดอยู่ที่ $95.76 ต่อบาร์เรล ซึ่งสูงขึ้นจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
- ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมักส่งผลลบต่อยูโรมากกว่าดอลลาร์ เนื่องจากยูโรโซนพึ่งพาการนำเข้าพลังงานมากกว่า
- ทองคำซื้อขายที่ระดับ 2,935 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่องราคาขาขึ้น สะท้อนความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก
- โดยปกติ EUR/USD มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับราคาทองคำ แต่ในสภาวะที่มีความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความสัมพันธ์นี้อาจเปลี่ยนแปลง
ความสัมพันธ์กับสกุลเงินหลักอื่นๆ
- USD/JPY กำลังเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 152.00 ซึ่งเป็นระดับที่อาจกระตุ้นการแทรกแซงจาก Bank of Japan
- การแทรกแซงตลาดโดย BOJ อาจส่งผลกระทบต่อ Dollar Index และส่งผลต่อเนื่องถึง EUR/USD
- GBP/USD มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับ EUR/USD โดยมีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ที่ 0.85 ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา
- Dollar Index (DXY) ซึ่งมียูโรเป็นองค์ประกอบประมาณ 57.6% มีอิทธิพลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของ EUR/USD
5. ประเด็นเชิงโครงสร้างระยะยาว
นอกเหนือจากปัจจัยระยะสั้นและระยะกลาง ประเด็นเชิงโครงสร้างระยะยาวต่อไปนี้ยังคงมีอิทธิพลต่อทิศทางของ EUR/USD:
ผลิตภาพและการเติบโตระยะยาว
- การเติบโตของผลิตภาพ (Productivity Growth) ในสหรัฐฯ ยังคงสูงกว่ายูโรโซน โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและนวัตกรรม
- ความก้าวหน้าในด้าน AI และการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลในสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
- ยูโรโซนเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง เช่น ประชากรสูงอายุ ความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิก และความล่าช้าในการปฏิรูปโครงสร้าง
หนี้สาธารณะและความยั่งยืนทางการคลัง
- ทั้งสหรัฐฯ และยูโรโซนต่างเผชิญกับระดับหนี้สาธารณะที่สูง แต่สหรัฐฯ มีข้อได้เปรียบจากการที่ดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักของโลก
- ความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลังในยูโรโซน โดยเฉพาะในประเทศสมาชิกทางใต้ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันยูโรในระยะยาว
- ขนาดตลาดพันธบัตรที่ใหญ่กว่าและสภาพคล่องที่สูงกว่าของสหรัฐฯ ให้ความได้เปรียบในช่วงวิกฤติการเงิน
บทบาทของดอลลาร์ในระบบการเงินโลก
- ดอลลาร์ยังคงเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก โดยมีสัดส่วนประมาณ 59% ของเงินสำรองทั่วโลก เทียบกับยูโรที่ประมาณ 21%
- แม้จะมีความพยายามในการลดการพึ่งพาดอลลาร์ (De-dollarization) แต่กระบวนการนี้เป็นไปอย่างช้าๆ และยังไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะของดอลลาร์
- สภาพคล่องและความลึกของตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงดึงดูดเงินทุนในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง
โดยสรุป ปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันยังคงเอื้อต่อดอลลาร์สหรัฐมากกว่ายูโรในระยะกลาง ด้วยเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่า ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยที่เอื้อประโยชน์ และบทบาทที่แข็งแกร่งในระบบการเงินโลก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยระยะสั้น เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ และการเปลี่ยนแปลงในความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับนโยบายการเงิน อาจนำไปสู่การปรับฐานชั่วคราวใน EUR/USD
บทสรุปและกลยุทธ์การเทรด
จากการวิเคราะห์คู่เงิน EUR/USD ทั้งในแง่มุมของปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน สามารถสรุปภาพรวมและแนวทางการเทรดในสัปดาห์ที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2025 ได้ดังนี้
สรุปภาพรวมตลาด
คู่เงิน EUR/USD กำลังเข้าสู่จุดตัดสินใจทิศทางที่สำคัญ โดยราคากำลังเคลื่อนตัวในรูปแบบสามเหลี่ยมสมมาตร (Symmetrical Triangle) บนกราฟรายวัน ที่มีขอบบนที่ 1.0575 และขอบล่างที่ 1.0205 ในขณะที่ราคาปัจจุบันที่ 1.0393 กำลังทดสอบแนวต้านระยะสั้นที่ 1.0430-1.0436 หลังจากฟื้นตัวจากการทดสอบจุดต่ำสุดของปี 2025
สถานการณ์ปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค โดยปัจจัยพื้นฐานยังคงเอื้อต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าและนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed ในขณะที่ปัจจัยทางเทคนิคแสดงสัญญาณการฟื้นตัวระยะสั้นหลังจากการปรับฐานที่รุนแรง และการเกิดรูปแบบกลับตัว “Three Inside Up” ที่ระดับ 1.0205
ปดาห์นี้มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของคู่เงิน โดยเฉพาะการประกาศตัวเลข US Unemployment Claims ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ รายงานการประชุม FOMC ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ และข้อมูล PMI ของยูโรโซนและสหรัฐฯ ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์
แนวโน้มการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาต่างๆ
แนวโน้มระยะสั้น (1-3 วัน): เป็นบวกเล็กน้อย โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวระหว่าง 1.0380-1.0532 ราคามีโอกาส 65% ที่จะทดสอบแนวต้าน 1.0455 และ 1.0532 หากข้อมูล US Unemployment Claims ออกมาสูงกว่าคาด (>220,000 ราย) หรือรายงาน FOMC มีโทนผ่อนคลาย (Dovish) มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์
แนวโน้มระยะกลาง (1-2 สัปดาห์): ยังไม่ชัดเจน โดยขึ้นอยู่กับการทะลุรูปแบบสามเหลี่ยมสมมาตร ตลาดมีโอกาส 60% ที่จะปรับตัวลงทดสอบแนวรับ 1.0311 และอาจลงไปถึง 1.0205 อีกครั้ง หากปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุนดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะหากข้อมูล PMI ยูโรโซนออกมาแย่กว่าคาด
แนวโน้มระยะยาว (1 เดือนขึ้นไป): ยังคงเป็นขาลง เนื่องจากความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง Fed และ ECB ที่ยังเอื้อต่อดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งกว่ายูโรโซน อย่างไรก็ตาม หากราคาสามารถทะลุและยืนเหนือ 1.0575 ได้อย่างมั่นคง อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะกลาง
กลยุทธ์การเทรดที่แนะนำ
การพิจารณากลยุทธ์การเทรดสำหรับสัปดาห์นี้ควรคำนึงถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละนักลงทุน โดยสามารถแบ่งตามรูปแบบการเทรดดังนี้:
1. กลยุทธ์ Range Trading
- ซื้อ: ที่แนวรับ 1.0380-1.0385 หรือ 1.0350 (ในกรณีที่ราคาปรับฐานลึกขึ้น) โดยตั้งเป้าหมายที่ 1.0430-1.0436 และ 1.0455
- ขาย: ที่แนวต้าน 1.0430-1.0436 หรือ 1.0455 โดยตั้งเป้าหมายที่ 1.0380 และ 1.0350
- Stop Loss: ควรตั้งไว้ที่ 25-30 pips จากจุดเข้าซื้อหรือขาย
- เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่ไม่ต้องการเสี่ยงกับการเคลื่อนไหวรุนแรงหลังประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ
2. กลยุทธ์ Breakout Trading
ซื้อ: เมื่อราคาทะลุแนวต้าน 1.0455 หรือ 1.0532 โดยมีปริมาณการซื้อขายสูงและการยืนยันจากตัวชี้วัดทางเทคนิค
ขาย: เมื่อราคาหลุดแนวรับ 1.0380 หรือ 1.0350 พร้อมปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้น
เป้าหมาย: สำหรับการทะลุขึ้น ให้ตั้งเป้าหมายที่ 1.0532 และ 1.0575 สำหรับการหลุดลง ให้ตั้งเป้าหมายที่ 1.0311 และ 1.0205
Stop Loss: 35-50 pips จากจุดเข้าซื้อหรือขาย ขึ้นอยู่กับความผันผวนของตลาด
เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่ต้องการจับทิศทางหลักของตลาดและยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้น
3. กลยุทธ์ News Trading
- การเทรดตามข่าว Unemployment Claims (19 ก.พ.):
-
- หากตัวเลขสูงกว่า 220,000 ราย: พิจารณาเปิดสถานะซื้อ EUR/USD ทันที โดยมีเป้าหมายที่ 1.0455
- หากตัวเลขต่ำกว่า 190,000 ราย: พิจารณาเปิดสถานะขาย EUR/USD ทันที โดยมีเป้าหมายที่ 1.0350
- การเทรดตาม FOMC Minutes (20 ก.พ.):
-
- โทนเชิงผ่อนคลาย (Dovish): เปิดสถานะซื้อ EUR/USD โดยมีเป้าหมายที่ 1.0532
- โทนเชิงเข้มงวด (Hawkish): เปิดสถานะขาย EUR/USD โดยมีเป้าหมายที่ 1.0311
- Stop Loss: ควรกว้างกว่าปกติ 50-70 pips เพื่อรองรับความผันผวนสูงช่วงประกาศข่าว
- เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่มีประสบการณ์และสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
4. กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มระยะกลาง
สำหรับผู้ที่เน้นการเทรดตามแนวโน้มระยะกลาง แนะนำให้รอการยืนยันทิศทางจากการทะลุรูปแบบสามเหลี่ยมสมมาตรก่อนเปิดสถานะ
- หากราคาทะลุ 1.0575: พิจารณาเปิดสถานะซื้อระยะกลาง โดยมีเป้าหมายที่ 1.0748
- หากราคาหลุด 1.0205: พิจารณาเปิดสถานะขายระยะกลาง โดยมีเป้าหมายที่ 1.0100
- Stop Loss: 100-120 pips จากจุดเข้าซื้อหรือขาย
- เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่มีเงินทุนมากพอและสามารถรับความผันผวนระยะสั้นได้
การบริหารความเสี่ยง
ในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้ การบริหารความเสี่ยงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นักลงทุนควรพิจารณาแนวทางต่อไปนี้:
- การจัดสรรเงินทุน: ไม่ควรเสี่ยงมากกว่า 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ
- การใช้ Stop Loss อย่างเคร่งครัด: ตั้ง Stop Loss ที่ระดับที่เหมาะสมและไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากเปิดสถานะ เพื่อจำกัดความเสียหายในกรณีที่ตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คาดการณ์
- การปรับ Take Profit: พิจารณาการทำกำไรบางส่วน (Partial Profit Taking) เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ เช่น ปิดสถานะ 50% เมื่อถึงเป้าหมายแรก และปล่อยส่วนที่เหลือไปถึงเป้าหมายที่สอง
- การติดตามข่าวสาร: ติดตามข่าวเศรษฐกิจและการเมืองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลาง และความคืบหน้าเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
- การลดขนาดสถานะในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง: ลดขนาดการเทรดลงในช่วงที่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ หรือในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ
ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
นอกเหนือจากเหตุการณ์เศรษฐกิจที่กำหนดไว้ในปฏิทินเศรษฐกิจ นักลงทุนควรติดตามปัจจัยต่อไปนี้อย่างใกล้ชิด:
- การเคลื่อนไหวของ Dollar Index (DXY) โดยเฉพาะหากมีการเคลื่อนไหวต่ำกว่า 103.50 หรือสูงกว่า 105.00
- การเคลื่อนไหวของคู่เงิน USD/JPY ใกล้ระดับ 152.00 ซึ่งอาจกระตุ้นการแทรกแซงจาก Bank of Japan
- ความคืบหน้าเกี่ยวกับวิกฤตหนี้สาธารณะเยอรมนีและมาตรการแก้ไขปัญหา
- การประกาศนโยบายการค้าเพิ่มเติมของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้ากับยูโรโซน
- ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระหว่างสหรัฐฯ และเยอรมนี หากมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่า 10 bps ในช่วงเวลาสั้นๆ
โดยสรุป EUR/USD กำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการตัดสินใจทิศทางในระยะกลาง โดยนักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการทดสอบแนวต้าน 1.0532 และการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ ปัจจัยพื้นฐานยังคงเอื้อต่อดอลลาร์สหรัฐในระยะกลางถึงยาว แต่ปัจจัยทางเทคนิคแสดงสัญญาณการฟื้นตัวระยะสั้น การเทรดในช่วงนี้ควรเน้นการบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามพัฒนาการของตลาดอย่างรวดเร็ว