หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์นี้จะให้ความสำคัญกับการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ประจำเดือนมกราคม ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้นำทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดกำลังจับตาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากนี้ การแถลงต่อรัฐสภาของประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ยังเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่นักลงทุนไม่ควรพลาด เนื่องจากเป็นการแถลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา
ในฝั่งยุโรป การประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ของสหราชอาณาจักรจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญความท้าทาย หลังจากที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ยูโรโซนก็จะมีการเปิดเผยตัวเลข GDP ฉบับปรับปรุงในช่วงเวลาเดียวกัน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตที่อ่อนแอของภูมิภาค
นักลงทุนควรติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิด เนื่องจากความผันผวนอาจเพิ่มสูงขึ้นจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะในกลุ่มสกุลเงินหลักอย่าง EUR/USD และ GBP/USD รวมถึงตลาดทองคำที่มักได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2025 | 20:30 น. ดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ (CPI)
วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2025 | 14:00 น. GDP สหราชอาณาจักร (ประมาณการเบื้องต้น Q4)
วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2025 | 20:30 น. ดัชนีราคาผู้ผลิตสหรัฐฯ (PPI)
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2025 | 17:00 น. GDP ยูโรโซน (ประมาณการเบื้องต้น Q4)
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2025 | 20:30 น. ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ
ชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ (12 กุมภาพันธ์)
ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมกราคมถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับทิศทางนโยบายการเงินของเฟด โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงเล็กน้อยที่ระดับ 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อรายปียังคงทรงตัวที่ระดับ 2.9% ซึ่งยังคงสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2%
หากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาสูงกว่าคาดการณ์ อาจส่งผลให้ตลาดปรับลดความคาดหวังการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินดอลลาร์และกดดันราคาทองคำ ในทางกลับกัน หากตัวเลขเงินเฟ้อต่ำกว่าคาดการณ์ อาจเพิ่มแรงกดดันให้เฟดเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นและทองคำ
การประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ของอังกฤษมีความสำคัญอย่างยิ่ง หลังจากที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมากในไตรมาสก่อนหน้า ถึงแม้นักวิเคราะห์จะคาดการณ์การเติบโตที่ 0.1% แต่ความเสี่ยงด้านลบยังคงมีอยู่สูง โดยเฉพาะจากภาคการผลิตที่หดตัวและการบริโภคภาคเอกชนที่อ่อนแอ
ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) กำลังเผชิญความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ หากตัวเลข GDP ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ อาจเพิ่มแรงกดดันให้ BOE พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลกดดันค่าเงินปอนด์
การบริโภคภาคเอกชนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยคาดการณ์ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมกราคม ชะลอตัวลงจาก 0.4% ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงผลกระทบจากภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง
ตัวเลขที่แข็งแกร่งกว่าคาดการณ์จะช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และอาจทำให้เฟดระมัดระวังมากขึ้นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในทางกลับกัน หากตัวเลขอ่อนแอกว่าคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ อาจเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ
การแถลงครั้งแรกของประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ต่อรัฐสภานับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางตลาดการเงิน เนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดกำลังจับตาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังคงดื้อรั้นและความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้า
ประเด็นสำคัญที่คาดว่าจะถูกหยิบยกในการแถลงครั้งนี้คือ ความท้าทายในการควบคุมเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดัชนี CPI พื้นฐานยังคงเพิ่มขึ้น 0.3% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ใน 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) ยังอยู่ที่ระดับ 2.8% สูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2%
ท่าทีล่าสุดของเฟดสะท้อนถึงความระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยพาวเวลย้ำว่า “ไม่รีบร้อน” ในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และต้องการเห็นความคืบหน้าที่ชัดเจนในการควบคุมเงินเฟ้อก่อน ทั้งนี้ เฟดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปี 2025 แม้ว่าตลาดบางส่วนจะคาดหวังการปรับลดที่มากกว่านี้
ผลกระทบต่อตลาดการเงินจะขึ้นอยู่กับน้ำเสียงของพาวเวลในการแถลง หากเน้นย้ำเรื่อง “ความอดทน” ในการปรับลดดอกเบี้ย อาจส่งผลให้ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวลง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกดดันราคาทองคำให้อ่อนตัวลง
ปดาห์นี้ตลาดการเงินจะเผชิญกับช่วงเวลาที่สำคัญ โดยมีปัจจัยหลักจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการแถลงนโยบายการเงินของประธานเฟด การตัดสินใจเทรดควรพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้:
มุมมองต่อดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มผันผวนสูงจากการรอคอยตัวเลขเงินเฟ้อและท่าทีของเฟด โดยเฉพาะหากตัวเลข CPI ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ที่ 0.3% อาจทำให้ตลาดปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น นักลงทุนควรติดตามแนวต้านสำคัญของดัชนีดอลลาร์ที่ 105.00 และแนวรับที่ 103.50
โอกาสในตลาดยูโรและปอนด์ คู่เงิน EUR/USD และ GBP/USD มีความเสี่ยงที่จะอ่อนค่าลง หากตัวเลข GDP ของทั้งสองภูมิภาคออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ โดย EUR/USD อาจทดสอบแนวรับที่ 1.0700 ขณะที่ GBP/USD มีแนวรับสำคัญที่ 1.2600 นักลงทุนควรระมัดระวังในการเปิดสถานะซื้อและอาจพิจารณาใช้คำสั่ง Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง
กลยุทธ์การลงทุนในทองคำ ราคาทองคำมีแนวโน้มผันผวนตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร แม้ว่าความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจหนุนราคาในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แต่นักลงทุนควรติดตามแนวต้านที่ 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์อย่างใกล้ชิด
ข้อควรระวัง
นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นการบริหารความเสี่ยงและรักษาวินัยในการเทรดเป็นสำคัญ