หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ความผันผวนกลับมาครองตลาดการเงินทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา (14-18 เมษายน 2025) ภายใต้แรงกดดันหลายปัจจัยที่เข้ามาพร้อมกัน โดยเฉพาะผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมเงินเฟ้อสูง (Stagflation) และการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่เริ่มส่งสัญญาณขัดแย้งกัน
เหตุการณ์สำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้คือการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าเพิ่มเติมของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีจากจีนในอัตรา 20% เมื่อวันที่ 12 เมษายน ซึ่งครอบคลุมชิพเซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์สื่อสารขั้นสูง มาตรการดังกล่าวสร้างความตึงเครียดก่อนการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่กรุงปักกิ่งในช่วงวันที่ 16-18 เมษายน 2025
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากการประกาศนโยบายการคลังฉบับใหม่ “America First 2.0” ของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 เมษายน ซึ่งรวมถึงมาตรการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% และการเพิ่มการใช้งบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐาน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง 0.8% ในวันเดียว
ในด้านนโยบายการเงิน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 ในรอบปีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยปรับลดลง 25 basis points มาอยู่ที่ 2.25% เนื่องจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปี 2025 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของนโยบายการเงินในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
ท่ามกลางความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้า ในขณะที่ตลาดพันธบัตรกลับกลายเป็นที่หลบภัยสำหรับนักลงทุน ทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ก่อนจะเริ่มมีสัญญาณปรับฐาน และตลาดคริปโตเคอเรนซีเผชิญกับความผันผวนสูงหลังการเปิดตัวเทคโนโลยีการขุด Bitcoin รุ่นใหม่
สัปดาห์นี้ยังได้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและพันธบัตรกลับสู่ภาวะปกติ โดยค่าสหสัมพันธ์เข้าใกล้ศูนย์อีกครั้ง ซึ่งบ่งชี้ถึงการกลับมาของการกระจายความเสี่ยงแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ ยังสังเกตเห็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างดอลลาร์สหรัฐฯ กับทองคำและน้ำมัน ซึ่งมีความสำคัญต่อการวางกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของเดือนเมษายน
ตลาดสกุลเงินในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความผันผวนสูงอันเนื่องมาจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการเงิน และแนวโน้มเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการประกาศนโยบายการคลัง “America First 2.0” และมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อดุลยภาพของค่าเงินทั่วโลก
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 105.74 เมื่อต้นเดือนมีนาคม มาอยู่ที่ 102.45 ในช่วงต้นเดือนเมษายน และยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังการประกาศนโยบาย “America First 2.0” ที่ส่งผลให้ดัชนี DXY ปรับตัวลดลงถึง 0.8% ในวันเดียว การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ นี้เป็นไปตามความต้องการของรัฐบาลทรัมป์ที่ต้องการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกสหรัฐฯ แต่สร้างความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณที่อาจขยายตัวถึง 8% ของ GDP
การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลต่อเนื่องไปยังตลาดสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉพาะตลาดทองคำและน้ำมัน รวมถึงสร้างความท้าทายให้กับธนาคารกลางทั่วโลกในการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินของตนเอง เช่น การแทรกแซงตลาดสกุลเงินโดยธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่ลดอัตราเงินสำรองขั้นต่ำ (RRR) 0.5% เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินหยวนหลังดัชนี USD/CNH พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.4500
คู่สกุลเงิน EURUSD ลดลง 0.68% มาอยู่ที่ 1.1281 ในช่วงก่อนหน้า แต่ได้เริ่มฟื้นตัวในสัปดาห์นี้หลังจาก ECB ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points มาอยู่ที่ 2.25% ตลาดตราสารหนี้ยุโรป (EUROBUND) แสดงปฏิกิริยาเชิงบวกต่อการตัดสินใจนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมันอายุ 10 ปี (DE10Y) ลดลง 10 basis points มาอยู่ที่ 1.85% ส่งผลให้ EURUSD พุ่งแตะระดับ 1.1350 ชั่วคราวในวันที่ 16 เมษายน
การเคลื่อนไหวของ EURUSD ยังได้รับอิทธิพลจากความคาดหวังเกี่ยวกับรายงานการประชุมของ ECB ที่จะเผยแพร่ในวันที่ 18 เมษายน 2025 ซึ่งนักลงทุนจับตาดูว่าจะมีสัญญาณของการดำเนินนโยบายเพิ่มเติมหรือไม่ โดยมีการคาดการณ์ว่า ECB อาจประกาศมาตรการ quantitative easing ฉบับใหม่หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดต่ำกว่า 2% ต่อเนื่อง
ในแง่ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค EURUSD เคลื่อนไหวในแนวโน้มระยะสั้นที่เป็นขาลง แต่ค่า RSI อยู่ในเขต oversold ซึ่งอาจนำไปสู่การดีดตัวกลับในระยะสั้น โดยมีแนวรับสำคัญที่ 1.1250 และแนวต้านที่ 1.1350 ซึ่งเป็นระดับที่น่าจับตามองสำหรับการเข้าซื้อหรือขายในสัปดาห์หน้า
คู่สกุลเงิน GBPUSD แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่น่าประทับใจท่ามกลางความผันผวนในตลาด โดยเพิ่มขึ้น 0.21% มาอยู่ที่ 1.3223 ในช่วงที่ผ่านมา และยังคงรักษาแนวโน้มเชิงบวกในระยะกลาง ค่า MACD ยังคงอยู่เหนือเส้น Signal ซึ่งบ่งชี้ถึงโมเมนตัมเชิงบวกของคู่สกุลเงินนี้
ปัจจัยที่สนับสนุน GBPUSD คือความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรและการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับธนาคารกลางอื่นๆ เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนปอนด์สเตอร์ลิง
อย่างไรก็ตาม GBPUSD เผชิญกับแรงกดดันในช่วงปลายสัปดาห์เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรที่อ่อนแอกว่าคาด โดยเฉพาะตัวเลขยอดค้าปลีกที่ลดลง 0.3% ในเดือนมีนาคม สวนทางกับการคาดการณ์ที่จะเพิ่มขึ้น 0.2% สำหรับการเทรดในสัปดาห์หน้า แนวรับสำคัญอยู่ที่ 1.3150 และแนวต้านที่ 1.3300
USDJPY เพิ่มขึ้น 0.17% มาอยู่ที่ 143.215 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ความแข็งแกร่งของ USDJPY เกิดจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการแทรกแซงตลาดที่อาจเกิดขึ้นจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่นและธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) หากเยนแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว
แนวโน้มระยะสั้นของ USDJPY ยังคงเป็นขาขึ้น แต่อาจพบแรงต้านที่ระดับ 145.00 ซึ่งเป็นระดับที่เคยมีการแทรกแซงตลาดในอดีต นอกจากนี้ การที่ BoJ ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปี 2025 หลังจากปรับขึ้น 25 basis points เป็น 0.5% ในเดือนมกราคม อาจสร้างแรงกดดันต่อคู่สกุลเงินนี้ในระยะกลางถึงระยะยาว และสร้างความผันผวนในช่วงประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น
การแทรกแซงตลาดสกุลเงินโดยธนาคารกลางจีน (PBOC) ส่งผลให้ตลาด CFD คู่เงินเอเชียมีความผันผวนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ AUD/USD และ USD/SGD ที่ปรับตัว ±1.5% ภายในช่วงเช้าของวันที่ 15 เมษายน การลดอัตราเงินสำรองขั้นต่ำ (RRR) 0.5% เป็นความพยายามในการรักษาเสถียรภาพค่าเงินหยวนหลังจากที่ USD/CNH พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.4500
สำหรับนักเทรด CFD ในตลาดเอเชีย การเคลื่อนไหวนี้เปิดโอกาสในการเทรดความผันผวนระยะสั้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการแทรกแซง currency swap ครั้งใหญ่ของจีนอาจทำให้ตลาดฟอเร็กซ์เอเชียเข้าสู่ภาวะ overshooting ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายน ส่งผลให้เกิดความผันผวนเพิ่มเติมในสกุลเงินภูมิภาค
จากสถานการณ์ปัจจุบัน เรามีมุมมองว่าดอลลาร์สหรัฐฯ จะยังคงอ่อนค่าในระยะกลาง ซึ่งจะสร้างโอกาสในการเทรด CFD สกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ EURUSD และ GBPUSD
สำหรับ EURUSD เราแนะนำให้พิจารณาเข้าซื้อบริเวณแนวรับ 1.1250 โดยมีเป้าหมายที่ 1.1350 และวาง Stop Loss ไว้ที่ 1.1200 ส่วน GBPUSD ยังคงมีแนวโน้มเชิงบวกในระยะกลาง โดยมีแนวรับที่ 1.3150 และแนวต้านที่ 1.3300 ซึ่งเทรดเดอร์ควรระมัดระวังในการเข้าซื้อหากราคาอยู่ใกล้แนวต้าน และควรรอการปรับฐานลงก่อน
สำหรับตลาดเอเชีย เราแนะนำให้ระมัดระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากการแทรกแซงของธนาคารกลาง โดยเฉพาะในคู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับหยวนจีน (CNH) และเยนญี่ปุ่น (JPY) การวาง Stop Loss ที่เหมาะสมและการลดขนาดการเทรดลงจะช่วยป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
เทรดเดอร์ยังควรจับตาดูปฏิทินเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะการประชุมฤดูใบไม้ผลิของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกในวันที่ 25-27 เมษายน 2025 และการเปิดเผยตัวเลข GDP สหรัฐฯ ไตรมาส 1/2025 ในวันที่ 30 เมษายน ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของตลาดสกุลเงินในระยะถัดไป
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความผันผวนและความแตกต่างในการเคลื่อนไหวของราคาระหว่างหมวดหมู่สินค้าต่างๆ โดยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่างกัน ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างมาตรการทางการค้าและการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน
ทองคำ (XAU/USD) มีการปรับตัวลงหลังจากที่ปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนมีนาคม ซึ่งบันทึกการเพิ่มขึ้นรายเดือนถึง 9.3% และทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลที่ระดับ US$3,168 ในวันที่ 3 เมษายน 2025 การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทองคำเริ่มแสดงสัญญาณของการปรับฐาน โดยการวิเคราะห์ทางเทคนิคระบุว่าหากราคาทองคำหลุดระดับ US$2,936 อาจนำไปสู่การปรับฐานระยะกลางที่ลึกขึ้น เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวในลักษณะ “buy the rumour, sell the news” หลังจากที่ราคาได้สะท้อนปัจจัยบวกส่วนใหญ่ไปแล้ว
ราคาทองคำยังคงมีความสัมพันธ์เชิงลบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับด้วยเงินเฟ้อ (US 10-year Treasury real yield) และดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ได้สนับสนุนราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา แต่หากเงินเฟ้อชะลอตัวลงตามคาดการณ์ อาจลดความต้องการทองคำในฐานะเครื่องป้องกันเงินเฟ้อ
สำหรับนักเทรด CFD ทองคำ จุดสำคัญที่ควรติดตามคือระดับ US$2,936 ซึ่งหากราคาหลุดระดับนี้อาจเป็นสัญญาณของการปรับฐานที่ลึกขึ้น โดยมีเป้าหมายที่ US$2,850 ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวยังคงสนับสนุนการขยายตัวของการปรับขึ้น โดยเฉพาะหากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองยังคงอยู่
ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 8% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อาจชะลอตัวลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะหลังจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
การประชุมวิสามัญของ OPEC+ ในวันที่ 17 เมษายน 2025 มีมติคงโควตาการผลิตไว้ที่ 36.5 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความพยายามของกลุ่มในการรักษาสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน แม้ว่า EIA จะคาดการณ์ว่าความต้องการน้ำมันโลกในไตรมาส 2/2025 จะลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน
นอกจากนี้ น้ำมันดิบยังมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับสกุลเงินต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศที่มีปริมาณสำรองน้ำมันมาก เช่น แคนาดา รัสเซีย และบราซิล โดยการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบมีผลกระทบโดยตรงต่อการปรับตัวของสกุลเงินเหล่านี้เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับตลาด CFD น้ำมันดิบ ผลกระทบจากการประชุม OPEC+ เห็นได้ชัดใน USOIL และ UKOIL ที่มีการเคลื่อนไหวในกรอบ ±4% หลังประกาศผลการประชุม ในระยะสั้น ราคาน้ำมันอาจยังคงผันผวนท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ลดลง แต่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางอาจสร้างแรงกดดันขาขึ้นต่อราคา
ตลาดสินค้าเกษตรโดยเฉพาะกาแฟได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในสัปดาห์นี้ หลังจากมีรายงานการแพร่ระบาดของเชื้อรา Hemileia vastatrix ในไร่กาแฟบราซิลเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2025 ส่งผลให้ราคากาแฟในตลาดฟิวเจอร์ส ICE US ปรับตัวขึ้น 20% ภายใน 48 ชั่วโมง
ความผันผวนนี้ส่งผลต่อตลาด CFD สินค้าเกษตร โดยเฉพาะตราสาร COFFEE_USD ที่มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 300% นักวิเคราะห์จาก Startrader คาดการณ์ว่าภาวะขาดแคลนอาจทำให้ราคากาแฟแตะระดับ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปอนด์ภายในสิ้นเดือน
การเพิ่มขึ้นของราคากาแฟสร้างโอกาสในการเทรด CFD สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนสูงได้ อย่างไรก็ตาม นักเทรดควรระมัดระวังการผันผวนที่อาจเกิดขึ้นและวาง Stop Loss ที่เหมาะสมเพื่อจำกัดความเสี่ยง
ตลาดโลหะอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และนโยบายการคลังใหม่ “America First 2.0” ที่เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
ในด้านลบ การประกาศใช้มาตรฐาน Low Emissions Intensity (LEI) ใหม่สำหรับอุตสาหกรรมหนักโดย European Commission เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2025 ส่งผลให้ราคาเหล็กกล้ามีความผันผวน โดยราคาเหล็กกล้าในตลาดฟิวเจอร์สเซี่ยงไฮ้ลดลง 5%
ในทางกลับกัน งบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐาน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายใต้นโยบาย “America First 2.0” สร้างแรงสนับสนุนต่อความต้องการโลหะอุตสาหกรรมในระยะยาว โดยเฉพาะทองแดงและอลูมิเนียมที่ใช้ในโครงการสาธารณูปโภคและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากนี้ การล้มละลายของ Evergrande Group เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2025 ยังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อตลาดโลหะอุตสาหกรรม เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยง contagion ในภาคอสังหาริมทรัพย์จีนที่อาจส่งผลต่อความต้องการโลหะในอนาคต
ในช่วงสัปดาห์ถัดไป เรามีมุมมองผสมผสานต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยแยกตามประเภทสินค้า:
ทองคำ: คาดว่าจะมีการปรับฐานในระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยเฉพาะหากราคาหลุดระดับ $2,936 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นบวกจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะสนับสนุนการปรับตัวขึ้นหลังจากการปรับฐาน
น้ำมัน: คาดว่าจะยังคงผันผวนจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ลดลงและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแคบในระยะสั้น ซึ่งเหมาะสำหรับการเทรดในรูปแบบ Range Trading
กาแฟ: ยังคงมีแนวโน้มเชิงบวกในระยะสั้นถึงระยะกลางจากปัญหาด้านอุปทานที่เกิดจากการระบาดของโรค อย่างไรก็ตาม นักเทรดควรระมัดระวังการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของราคาและความเสี่ยงจากความผันผวนสูง
โลหะอุตสาหกรรม: มีแนวโน้มผสมผสานขึ้นอยู่กับประเภทของโลหะ โดยโลหะที่ใช้ในโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานสะอาดอาจได้รับประโยชน์จากนโยบายการคลังใหม่ของสหรัฐฯ ในขณะที่โลหะที่ได้รับผลกระทบจากมาตรฐานการปล่อยมลพิษของ EU อาจเผชิญกับแรงกดดันในระยะสั้น
สำหรับกลยุทธ์การเทรดในสัปดาห์ถัดไป เราแนะนำให้พิจารณา:
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาด (Intermarket Analysis) ถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเทรด CFD ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงเช่นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ทิศทางของตลาดและปรับกลยุทธ์การเทรดได้อย่างเหมาะสม
หนึ่งในพัฒนาการที่สำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้คือการกลับมาของความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมระหว่างตลาดหุ้นและพันธบัตร โดยค่าสหสัมพันธ์ (correlation) ระหว่างสองตลาดนี้เริ่มเข้าใกล้ศูนย์อีกครั้ง ซึ่งบ่งชี้ถึงการกลับมาของการกระจายความเสี่ยงแบบดั้งเดิม
ในช่วงที่เงินเฟ้อพุ่งสูงในปี 2022 และ 2023 ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและพันธบัตรเปลี่ยนเป็นค่าบวก ซึ่งทำลายความสัมพันธ์เชิงลบที่นักลงทุนต้องการ เงินเฟ้อที่สูงเกินไปเป็นอุปสรรคต่อทั้งพันธบัตรและหุ้น สร้างแรงกดดันขาขึ้นต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร และส่งผลให้เกิดเงื่อนไขทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นซึ่งกระทบความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
ปัจจุบัน การกลับมาของความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมแสดงให้เห็นว่าตลาดเริ่มให้น้ำหนักกับความกังวลด้านการเติบโตมากกว่าความกังวลด้านเงินเฟ้อ โดยนักลงทุนหันไปลงทุนในพันธบัตรเพื่อความปลอดภัยเมื่อมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับช่วงที่มีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ
สำหรับเทรดเดอร์ CFD การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถใช้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงแบบดั้งเดิมได้อีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง อย่างไรก็ตาม มาตรการภาษีนำเข้าที่ประกาศล่าสุดอาจส่งผลกระทบทั้งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ทำให้ความสัมพันธ์นี้อาจยังไม่เสถียรเต็มที่
ทองคำ (XAU/USD) ยังคงมีความสัมพันธ์เชิงลบที่ชัดเจนกับดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการปรับตัวขึ้นของทองคำในช่วงที่ผ่านมา การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าค่าสหสัมพันธ์ต่อเนื่องของทองคำเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าต่ำกว่า 12.6 ที่ระดับนัยสำคัญ 5% ซึ่งบ่งชี้ว่าราคาทองคำไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในอดีตมากนัก
น้ำมันดิบเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กับดอลลาร์สหรัฐฯ โดยทุกการเคลื่อนไหวขึ้นลงของดอลลาร์หรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนทันทีระหว่างดอลลาร์กับคู่สกุลเงินต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศที่มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่สำคัญ เช่น แคนาดา รัสเซีย และบราซิล
ความสัมพันธ์เหล่านี้มีความสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ CFD ในการพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่สอดคล้องกับทิศทางของดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดัชนีดอลลาร์ (DXY) มีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การลดลง 0.8% ในวันเดียวหลังการประกาศนโยบาย “America First 2.0”
ตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะในเอเชียแสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าและการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก
การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีจากจีนในอัตรา 20% ส่งผลให้ดัชนี Hang Seng (HK50) และ CSI 300 (ChinaA50) มีความผันผวนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การแทรกแซงตลาดสกุลเงินโดยธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่ลดอัตราเงินสำรองขั้นต่ำ (RRR) 0.5% ยังส่งผลต่อตลาดสกุลเงินเอเชียและดัชนีหุ้นในภูมิภาค
การล้มละลายของ Evergrande Group เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2025 เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลคลื่นกระทบสู่ตลาดพันธบัตรบริษัทจีน โดยสเปรดผลตอบแทนปรับตัวขึ้น 50 basis points ใน 3 วัน และยังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น เหล็กกล้า
ความสัมพันธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจจีนกับตลาดโลกและความสำคัญของการติดตามพัฒนาการในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดอื่นๆ ทั่วโลก
ในสัปดาห์นี้ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในความสัมพันธ์ระหว่างคริปโตเคอเรนซีและปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการประกาศนโยบายการคลังใหม่ของสหรัฐฯ และการปรับตัวของดัชนีดอลลาร์
การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลดีต่อสินทรัพย์ที่กำหนดราคาเป็นดอลลาร์ รวมถึง Bitcoin และคริปโตเคอเรนซีหลักอื่นๆ โดย Bitcoin (BTC/USD) ปรับตัวขึ้น 8% พร้อมกับเพิ่ม volatility ถึง 120% ในวันที่ 17 เมษายน ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin กับทองคำในฐานะเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อก็เริ่มเด่นชัดขึ้น แม้ว่าจะยังไม่แข็งแกร่งเท่ากับความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับดอลลาร์
นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณที่อาจขยายตัวภายใต้นโยบายใหม่ของสหรัฐฯ ยังกระตุ้นความสนใจในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างคริปโตเคอเรนซี ซึ่งบางส่วนถูกมองว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของเงินเฟ้อและสกุลเงินดั้งเดิม
การเคลื่อนไหวของตลาดในสัปดาห์นี้ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลักหลายประการ ซึ่งแต่ละปัจจัยมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างตลาดในรูปแบบที่แตกต่างกัน:
การวิเคราะห์การไหลของเงินทุนในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายที่สำคัญระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง:
การเคลื่อนไหวของเงินทุนเหล่านี้สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนมุมมองของนักลงทุนจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อมาเป็นความกังวลเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ และอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคที่สำคัญในตลาดหลายแห่ง
สำหรับเทรดเดอร์ CFD การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตลาดสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การเทรดได้หลายรูปแบบ:
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เทรดเดอร์ที่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการคลังของสหรัฐฯ และการอ่อนค่าของดอลลาร์ สามารถวางตำแหน่งการเทรดเพื่อรับประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์ที่กำหนดราคาเป็นดอลลาร์ เช่น ทองคำและ Bitcoin ก่อนที่ราคาจะปรับตัวขึ้นจริง
ในสัปดาห์หน้า การติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และการประชุมฤดูใบไม้ผลิของ IMF และธนาคารโลก จะเป็นประโยชน์ในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างตลาดที่อาจเกิดขึ้น และวางกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสม
ตลาดดัชนีหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมเงินเฟ้อสูง (Stagflation) เราจะวิเคราะห์การเคลื่อนไหวและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีหุ้นหลักในแต่ละภูมิภาค
ดัชนี S&P 500 ลดลง 7.5% นับตั้งแต่ต้นปีและมีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ Nasdaq 100 บันทึกการสูญเสียรายวันที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยลดลงถึง 1,060 จุดในวันเดียวหลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีจากจีนเพิ่มเติม 20% ซึ่งครอบคลุมชิปเซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์สื่อสารขั้นสูง
ผลกระทบรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นกับหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยดัชนี Magnificent 7 ซึ่งประกอบด้วยหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Nvidia, Meta และ Tesla ปรับตัวลดลงกว่า 30% จากจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2024 การลดลงนี้สะท้อนความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าต่อห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนการผลิตของบริษัทเทคโนโลยีที่พึ่งพาการผลิตในจีน
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบในระดับเดียวกัน กลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าคือหุ้น Value และหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง ซึ่งสามารถปกป้องนักลงทุนจากความผันผวนได้บางส่วนเมื่อเทียบกับหุ้น Growth ในเดือนที่ผ่านมา Russell 1000 Value ลดลง 6% ในขณะที่ Russell 1000 Growth ลดลงถึง 17% (คิดเป็นสกุลเงินปอนด์)
นอกจากนี้ ภาคการก่อสร้างและอุตสาหกรรมหนักในดัชนี S&P 500 ได้รับผลบวกทันทีจากการประกาศนโยบาย “America First 2.0” ซึ่งรวมถึงการเพิ่มการใช้งบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐาน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยหุ้น Caterpillar (CAT) และ Deere & Company (DE) ปรับตัวขึ้น 12% และ 9% ตามลำดับ แสดงให้เห็นถึงการหมุนเวียนของเงินทุนจากหุ้นเทคโนโลยีไปสู่หุ้นในภาคส่วนที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายใหม่
ในแง่ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq อยู่ในสภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ตามดัชนี RSI และ Stochastic ซึ่งบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ของการดีดตัวกลับทางเทคนิคในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะกลางยังคงมีความเสี่ยงขาลงจนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้า
ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญกับความผันผวนในสัปดาห์นี้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดสหรัฐฯ โดยได้รับแรงกดดันจากการประกาศใช้มาตรฐาน Low Emissions Intensity (LEI) ใหม่สำหรับอุตสาหกรรมหนักโดย European Commission เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2025
มาตรการนี้ส่งผลให้หุ้นผู้ผลิตเหล็กกล้าในดัชนี EURO STOXX 50 (EURO50) ปรับตัวลดลงเฉลี่ย 7% เนื่องจากมาตรการดังกล่าวบังคับให้บริษัทต้องลดการปล่อยคาร์บอนต่อหน่วยการผลิต 40% ภายในปี 2030 ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน (Utilities) และวัสดุพื้นฐาน (Materials)
ในทางกลับกัน ตลาด CFD พลังงานทดแทนตอบสนองเชิงบวกต่อมาตรการดังกล่าว โดยหุ้น Vestas Wind Systems (VWS.DC) ในดัชนี DAX40 ปรับตัวขึ้น 12% ในวันเดียว แสดงให้เห็นถึงการหมุนเวียนของเงินทุนจากอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่ปล่อยคาร์บอนสูงไปสู่บริษัทที่เน้นความยั่งยืนและพลังงานสะอาด
นอกจากนี้ การตัดสินใจของ ECB ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points มาอยู่ที่ 2.25% ยังส่งผลต่อตลาดหุ้นยุโรป โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลงเนื่องจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลต่อรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Income) อย่างไรก็ตาม ผลกระทบโดยรวมต่อตลาดหุ้นยุโรปยังคงจำกัด เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ตลาดหุ้นเอเชียโดยเฉพาะในจีนและฮ่องกงได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีจากจีนของสหรัฐฯ โดยดัชนี Hang Seng (HK50) และ CSI 300 (ChinaA50) มีความผันผวนเพิ่มขึ้น 15-20% จากระดับปัจจุบัน
นอกจากนี้ วิกฤติหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์จีนยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยการล้มละลายของ Evergrande Group เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2025 ส่งผลให้หุ้นผู้ผลิตเหล็กอย่าง Baosteel (600019.SS) ใน CFD ChinaA50 ปรับตัวลดลง 8% นักวิเคราะห์จาก ZFX เตือนว่าความเสี่ยง contagion ในภาคอสังหาริมทรัพย์อาจลามสู่ตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกในสัปดาห์ถัดไป
ในขณะเดียวกัน การแทรกแซงตลาดสกุลเงินโดยธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่ลดอัตราเงินสำรองขั้นต่ำ (RRR) 0.5% เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2025 เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินหยวนหลังดัชนี USD/CNH พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.4500 ได้ช่วยบรรเทาแรงกดดันบางส่วนและสร้างความหวังว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในอนาคต
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นแสดงความแข็งแกร่งมากกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเยนญี่ปุ่นซึ่งเป็นผลดีต่อบริษัทส่งออก อย่างไรก็ตาม การที่ BoJ ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปี 2025 อาจสร้างความไม่แน่นอนสำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่นในระยะกลาง
ตลาดเกิดใหม่แสดงผลการดำเนินงานที่แตกต่างกันในสัปดาห์นี้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนและการพึ่งพาการส่งออกสินค้าเทคโนโลยี ตลาดที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีอย่างเกาหลีใต้และไต้หวันได้รับผลกระทบมากกว่า ในขณะที่ตลาดที่เน้นการบริโภคภายในประเทศอย่างอินเดียและอินโดนีเซียแสดงความแข็งแกร่งมากกว่า
ตลาดเกิดใหม่ที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น บราซิลและรัสเซีย ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยตลาดบราซิลได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากรายงานการแพร่ระบาดของเชื้อรา Hemileia vastatrix ในไร่กาแฟ ซึ่งส่งผลกระทบต่อหุ้นในภาคเกษตรกรรม
การวิเคราะห์ตามกลุ่มอุตสาหกรรมแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนในผลการดำเนินงาน โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ:
กลุ่มเทคโนโลยี: ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าและความกังวลเรื่องห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์และฮาร์ดแวร์ที่พึ่งพาการผลิตในจีน
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์: โดยเฉพาะในจีนและฮ่องกง ได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์จีนและการล้มละลายของ Evergrande Group
กลุ่มอุตสาหกรรมหนักในยุโรป: ได้รับผลกระทบจากมาตรฐาน Low Emissions Intensity (LEI) ใหม่ ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนการผลิตและลดความสามารถในการแข่งขัน
ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่แสดงความแข็งแกร่งหรือได้รับผลกระทบน้อยกว่าคือ:
กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน: ได้รับประโยชน์จากนโยบาย “America First 2.0” ที่เพิ่มการใช้งบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐาน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์
กลุ่มพลังงานทดแทน: ได้รับประโยชน์จากมาตรฐานสิ่งแวดล้อมใหม่ในยุโรปและแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น: แสดงความแข็งแกร่งท่ามกลางความผันผวนในตลาด เนื่องจากรายได้และกำไรมีความมั่นคงแม้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
สำหรับสัปดาห์ถัดไป เรามีมุมมองดังนี้:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: คาดว่าจะมีการดีดตัวกลับทางเทคนิคในระยะสั้นเนื่องจากตลาดอยู่ในสภาวะขายมากเกินไป อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะกลางยังคงมีความเสี่ยงขาลงจนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้า เทรดเดอร์ควรพิจารณาใช้กลยุทธ์ Mean Reversion ในระยะสั้น และมองหาโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นคุณภาพที่ปรับตัวลงมามาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายการคลังใหม่
ตลาดหุ้นยุโรป: คาดว่าจะยังคงผันผวนแต่มีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าตลาดสหรัฐฯ หากการลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB ส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เทรดเดอร์ควรมองหาโอกาสในกลุ่มพลังงานทดแทนและบริษัทที่มีความยั่งยืนสูง ซึ่งจะได้ประโยชน์จากมาตรฐานสิ่งแวดล้อมใหม่
ตลาดหุ้นเอเชีย: ยังคงมีความเสี่ยงสูงในระยะสั้นจากความตึงเครียดทางการค้าและวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม หากมีสัญญาณบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากรัฐบาลจีน อาจสร้างโอกาสในการเข้าซื้อในระดับราคาที่ต่ำ เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงและวาง Stop Loss ที่เหมาะสมเมื่อเทรดในตลาดที่มีความผันผวนสูง
ตลาดเกิดใหม่: มองหาโอกาสในตลาดที่เน้นการบริโภคภายในประเทศและมีพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่ง เช่น อินเดียและอินโดนีเซีย ซึ่งอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
ในภาพรวม นักลงทุนและเทรดเดอร์ CFD ควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ถัดไป พร้อมทั้งติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน การประชุมฤดูใบไม้ผลิของ IMF และธนาคารโลก และการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1/2025 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจปัจจุบันต่อผลการดำเนินงานของบริษัท
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงลักษณะความผันผวนสูง โดยได้รับอิทธิพลจากทั้งปัจจัยภายในของระบบนิเวศคริปโตเองและปัจจัยภายนอกจากเศรษฐกิจมหภาค การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและนโยบายการเงินทั่วโลก มาวิเคราะห์เชิงลึกถึงการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ดิจิทัลหลักในช่วงกลางเดือนเมษายน 2025
เหตุการณ์สำคัญที่สุดในตลาดคริปโตสัปดาห์นี้คือการเปิดตัว ASIC Miner รุ่นใหม่โดย Bitmain Technologies เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2025 ที่มีประสิทธิภาพพลังงานดีขึ้น 40% ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อระบบนิเวศการขุด Bitcoin ความยากในการขุด Bitcoin (BTC/USD) ปรับตัวขึ้น 15% ภายใน 24 ชั่วโมงหลังการเปิดตัว เนื่องจากผู้ขุดเร่งนำอุปกรณ์ใหม่เข้าสู่เครือข่าย
ราคา BTC ตอบสนองต่อเหตุการณ์นี้โดยปรับตัวขึ้น 8% พร้อมกับเพิ่มความผันผวน (volatility) ถึง 120% ในวันที่ 17 เมษายน การเพิ่มขึ้นของราคาเกิดจากการมองว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพการขุดจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและทำให้เครือข่าย Bitcoin มีความปลอดภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวต่อการกระจายตัวของผู้ขุดและความเข้มข้นของการขุด
นอกจากปัจจัยเฉพาะตัวแล้ว Bitcoin ยังได้รับแรงสนับสนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ หลังการประกาศนโยบาย “America First 2.0” และความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณที่อาจขยายตัว ทำให้นักลงทุนบางส่วนหันมาพิจารณา Bitcoin เป็นทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของค่าเงิน ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin กับทองคำในฐานะเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อก็เริ่มเด่นชัดขึ้น แม้ว่าจะยังไม่แข็งแกร่งเท่ากับความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับดอลลาร์
ในแง่ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค Bitcoin กำลังเคลื่อนไหวในกรอบแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง แต่อาจเผชิญกับแรงต้านสำคัญที่ระดับ $85,000 หากสามารถผ่านระดับนี้ไปได้ อาจมีการทดสอบระดับ $90,000 ในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของความผันผวนบ่งชี้ว่าอาจมีการปรับฐานที่รุนแรงได้เช่นกัน โดยมีแนวรับสำคัญที่ $72,000 และ $68,000 ตามลำดับ
Ethereum ปรับตัวลดลง 3.5% ในสัปดาห์นี้ แม้ว่า Bitcoin จะปรับตัวขึ้น แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกที่เพิ่มขึ้นระหว่างคริปโตเคอเรนซี่หลัก ความอ่อนแอของ Ethereum เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากบล็อกเชนที่เน้นความสามารถในการปรับขนาด (scalability) และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่ต่ำกว่า เช่น Solana, Avalanche และ Sui
อย่างไรก็ตาม มีพัฒนาการเชิงบวกสำหรับระบบนิเวศ DeFi บน Ethereum โดยมูลค่ารวมที่ล็อกไว้ (Total Value Locked – TVL) เพิ่มขึ้น 12% ในเดือนนี้ การเพิ่มขึ้นนี้เกิดจากความต้องการบริการทางการเงินแบบกระจายศูนย์ที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนในระบบการเงินแบบดั้งเดิม และการพัฒนาโปรโตคอล DeFi ใหม่ๆ ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น
ในแง่ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค Ethereum กำลังเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง $3,800 ถึง $4,200 โดยมีแนวโน้มที่จะทดสอบแนวรับด้านล่างหากแรงขายยังคงมีต่อเนื่อง ค่า RSI ที่ 42 บ่งชี้ว่ายังไม่ได้อยู่ในสภาวะขายมากเกินไป (oversold) ซึ่งหมายความว่าอาจมีการปรับตัวลงเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตาม หาก Ethereum สามารถยืนเหนือระดับ $3,800 ได้อย่างมั่นคง อาจเป็นสัญญาณของการดีดตัวกลับไปทดสอบแนวต้านที่ $4,200
บล็อกเชน Layer-1 อื่นๆ แสดงผลการดำเนินงานที่แตกต่างกันในสัปดาห์นี้ Solana (SOL) เพิ่มขึ้น 6.2% หลังจากการประกาศความร่วมมือกับสถาบันการเงินหลักแห่งหนึ่งในการพัฒนาแพลตฟอร์มการชำระเงินข้ามพรมแดน ในขณะที่ Cardano (ADA) ลดลง 5.8% ท่ามกลางความล่าช้าในการอัปเดตโปรโตคอลที่สำคัญ
Avalanche (AVAX) และ Sui (SUI) ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากนักพัฒนาและนักลงทุนสถาบัน โดยจำนวนธุรกรรมรายวันบน Avalanche เพิ่มขึ้น 35% ในเดือนนี้ และมูลค่าตามราคาตลาด (market capitalization) ของ SUI เพิ่มขึ้น 28% หลังจากการเปิดตัวเครื่องมือพัฒนาใหม่ที่ช่วยให้การสร้างแอปพลิเคชันบนบล็อกเชนทำได้ง่ายขึ้น
การแข่งขันระหว่างบล็อกเชน Layer-1 กำลังเข้มข้นขึ้น โดยแต่ละแพลตฟอร์มพยายามสร้างความแตกต่างผ่านคุณสมบัติเฉพาะและการใช้งานในโลกจริง สำหรับเทรดเดอร์ CFD ความเข้าใจในจุดแข็งและข้อจำกัดของแต่ละโปรเจกต์จะช่วยในการระบุโอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพในอนาคต
คริปโตเคอเรนซี่ที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีใหม่ๆ แสดงผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในสัปดาห์นี้ โดย Fetch.ai (FET) เพิ่มขึ้น 18.3% และ The Graph (GRT) เพิ่มขึ้น 15.7% หลังจากความต้องการโซลูชัน AI และการวิเคราะห์ข้อมูลบนบล็อกเชนเพิ่มขึ้น
โปรเจกต์เหล่านี้ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี AI และบล็อกเชน โดยนักลงทุนมองว่าเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในอนาคต นอกจากนี้ คริปโตเคอเรนซี่ที่เกี่ยวข้องกับ Web3 และ Metaverse ก็มีการฟื้นตัวเช่นกัน โดย Render Token (RNDR) เพิ่มขึ้น 9.8% และ Theta Network (THETA) เพิ่มขึ้น 7.2%
Memecoins ยังคงแสดงความผันผวนสูงในสัปดาห์นี้ โดย Dogecoin (DOGE) ลดลง 12.5% และ Shiba Inu (SHIB) ลดลง 8.9% แม้ว่าจะมีกระแสความนิยมในโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น การลดลงนี้อาจเป็นสัญญาณของการลดลงของความสนใจจากนักลงทุนรายย่อยในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโดยรวม
อย่างไรก็ตาม Memecoin ใหม่อย่าง Pepe (PEPE) กลับปรับตัวขึ้น 25.3% ในสัปดาห์นี้ แสดงให้เห็นว่ายังคงมีความต้องการในตลาดสำหรับสินทรัพย์ประเภทนี้ แต่นักลงทุนกำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ แทนที่จะลงทุนในโปรเจกต์ที่มีอยู่แล้ว พฤติกรรมนี้สะท้อนถึงลักษณะของตลาด Memecoin ที่มักขับเคลื่อนโดยกระแสความนิยมในระยะสั้นมากกว่ามูลค่าพื้นฐาน
การพัฒนาด้านกฎระเบียบยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดคริปโตเคอเรนซี่ ในสัปดาห์นี้ คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ประกาศแผนการเร่งการบังคับใช้กฎหมาย Markets in Crypto-Assets (MiCA) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในเดือนธันวาคม 2025 การประกาศนี้ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในหมู่ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลในยุโรป
ในสหรัฐฯ การพิจารณาคดีระหว่าง SEC และ Ripple ยังคงดำเนินต่อไป โดยล่าสุด SEC ได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินบางส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อ Ripple การพัฒนานี้ส่งผลให้ XRP ลดลง 6.3% ในสัปดาห์นี้ และยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดคริปโตโดยรวม
ตลาด NFT แสดงสัญญาณการฟื้นตัวในสัปดาห์นี้ หลังจากปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นนี้นำโดยคอลเลกชัน Bored Ape Yacht Club (BAYC) และ CryptoPunks หลังจากมีการประกาศความร่วมมือกับแบรนด์หรูระดับโลกแห่งหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาที่น่าสนใจในตลาด NFT ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานในโลกจริง (Real-World Assets – RWA) โดยโปรเจกต์หลายแห่งกำลังพัฒนาแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยง NFT กับสินทรัพย์ทางกายภาพ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ศิลปะ และสินค้าหรู การพัฒนาเหล่านี้อาจช่วยขยายการใช้งาน NFT และดึงดูดนักลงทุนสถาบันที่มองหาทางเลือกในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
จากการวิเคราะห์ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์นี้ เรามีมุมมองและกลยุทธ์สำหรับสัปดาห์ถัดไปดังนี้:
Bitcoin (BTC/USD): เราคาดว่าจะยังคงมีความผันผวนสูงในระยะสั้น โดยอาจมีการปรับฐานลงประมาณ 10-15% จากระดับปัจจุบันก่อนที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นไป ผู้ที่สนใจลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาวควรพิจารณาทยอยเข้าซื้อ (Dollar Cost Averaging) เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวน โดยมองหาจุดเข้าซื้อที่บริเวณแนวรับ $72,000 และ $68,000 หากสามารถยืนเหนือระดับ $85,000 ได้อย่างมั่นคง อาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุน
Ethereum (ETH/USD): เรามีมุมมองระมัดระวังในระยะสั้น แนะนำให้รอการยืนยันการดีดตัวกลับเหนือระดับ $4,000 ก่อนพิจารณาเข้าซื้อ หรือมองหาจุดเข้าซื้อที่บริเวณแนวรับแข็งแกร่งที่ $3,600-3,700 หากราคาปรับตัวลงไปถึงระดับดังกล่าว
คริปโตเคอเรนซี่ที่เกี่ยวข้องกับ AI และเทคโนโลยีใหม่: ยังคงมีแนวโน้มเชิงบวกในระยะกลางถึงระยะยาว โดยอาจพิจารณาสะสมในช่วงที่ตลาดโดยรวมปรับฐาน โปรเจกต์ที่มีการใช้งานจริงและมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งน่าจะมีศักยภาพในการเติบโตที่ดีกว่า
Memecoins: ควรหลีกเลี่ยงหรือลดความเสี่ยงในการลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากความผันผวนสูงและการขับเคลื่อนที่ไม่แน่นอนโดยกระแสความนิยมในระยะสั้น หากต้องการเก็งกำไร ควรกำหนดจุด Stop Loss ที่ชัดเจนและจำกัดขนาดการลงทุนให้เหมาะสม
NFTs และเศรษฐกิจ Web3: มองหาโอกาสในโปรเจกต์ที่เชื่อมโยงกับการใช้งานในโลกจริง (RWA) และมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในอนาคต
สำหรับเทรดเดอร์ CFD ในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ เราแนะนำให้ติดตามพัฒนาการเกี่ยวกับเทคโนโลยีการขุด Bitcoin และกฎระเบียบในสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงเป็นพิเศษ โดยใช้ Stop Loss ที่เหมาะสมและไม่ใช้ Leverage ที่สูงเกินไปในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
การกำหนดกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับสัปดาห์ถัดไปจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้าน ทั้งแนวโน้มตลาดปัจจุบัน เหตุการณ์สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น และความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ ในส่วนนี้ เราจะวิเคราะห์แนวโน้มสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลต่อตลาด CFD ในสัปดาห์ที่ 21-25 เมษายน 2025 พร้อมนำเสนอกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับเทรดเดอร์ทุกระดับ
ระหว่างวันที่ 21-22 เมษายน 2025 จะมีการปรับเงินปันผลและการดำเนินการขององค์กรสำหรับหุ้นและ ETF CFD จำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลต่อ overnight swap rates และสร้างความผันผวนในตลาด เทรดเดอร์ที่ถือตำแหน่งข้ามคืนควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการเปลี่ยนแปลงนี้ เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อต้นทุนการถือครอง CFD
การประกาศปรับเงินปันผลของบริษัทในดัชนี S&P 500 จำนวน 42 แห่งระหว่างวันที่ 15-20 เมษายน ที่ผ่านมาได้ส่งผลให้ overnight swap สำหรับ CFD ดัชนีปรับขึ้นเฉลี่ย 0.15% ซึ่งแนวโน้มนี้อาจยังคงดำเนินต่อไปในสัปดาห์หน้า
การประชุมฤดูใบไม้ผลิของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 เมษายน 2025 ณ กรุงวอชิงตัน การประชุมนี้มีความสำคัญเนื่องจากจะมีการอภิปรายเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความกังวลเรื่อง Stagflation ที่อาจเกิดขึ้น
ตลาดจะจับตาดูการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกฉบับใหม่จาก IMF ซึ่งอาจมีการปรับลดลงเนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายการเงินและการคลังของประเทศเศรษฐกิจหลักอาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดการเงินในระยะถัดไป
ในวันที่ 30 เมษายน 2025 จะมีการเปิดเผยตัวเลข GDP สหรัฐฯ ไตรมาส 1/2025 (ประมาณการเบื้องต้น) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่จะสะท้อนสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดคาดการณ์การเติบโตที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ยังคงเป็นบวกที่ประมาณ 2.1-2.3%
หากตัวเลข GDP ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เร่งการลดอัตราดอกเบี้ย ในทางกลับกัน หากตัวเลขดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจลดความกังวลและสนับสนุนสินทรัพย์เสี่ยง
แนวโน้ม: ดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะยังคงอ่อนค่าในระยะกลาง ซึ่งจะส่งผลดีต่อสกุลเงินหลักอื่นๆ โดยเฉพาะปอนด์และยูโร อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าอาจชะลอตัวในระยะสั้นหากมีการทำกำไรหลังจากการปรับตัวลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
กลยุทธ์:
แนวโน้ม: ทองคำอาจมีการปรับฐานในระยะสั้นถึงระยะกลาง แต่แนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นบวก น้ำมันคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบเนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอและการคงโควตาการผลิตของ OPEC+ กาแฟยังคงมีแนวโน้มเชิงบวกจากปัญหาด้านอุปทาน
กลยุทธ์:
แนวโน้ม: คาดว่าจะมีการดีดตัวกลับทางเทคนิคในระยะสั้นเนื่องจากตลาดอยู่ในสภาวะขายมากเกินไป อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะกลางยังคงมีความเสี่ยงขาลงจนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้า
กลยุทธ์:
แนวโน้ม: คาดว่าจะยังคงมีความผันผวนสูงในระยะสั้น โดยเฉพาะ Bitcoin หลังการเปิดตัว ASIC Miner รุ่นใหม่ คริปโตเคอเรนซี่ที่เกี่ยวข้องกับ AI และเทคโนโลยีใหม่มีแนวโน้มที่จะยังคงแข็งแกร่งท่ามกลางความผันผวนของตลาดโดยรวม
กลยุทธ์:
การกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นในปัจจุบัน โดยเราแนะนำการจัดสรรสินทรัพย์ดังนี้:
1. ตลาด Forex (30%):
2. ดัชนีหุ้น (25%):
3. พันธบัตรระยะสั้น (20%):
4. สินค้าโภคภัณฑ์ (15%):
5. คริปโตเคอเรนซี่ (10%):
สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่:
สำหรับเทรดเดอร์ระดับกลาง:
สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ:
โดยสรุป สัปดาห์ที่ 21-25 เมษายน 2025 มีแนวโน้มที่จะยังคงมีความผันผวนสูงในตลาดการเงินทั่วโลก เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม การกระจายการลงทุน และการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังควรติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และการประชุมฤดูใบไม้ผลิของ IMF และธนาคารโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การเทรดให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์
สัปดาห์ที่ผ่านมา (14-18 เมษายน 2025) เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลก ซึ่งขับเคลื่อนโดยปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาด CFD ในทุกประเภทสินทรัพย์ เราจะสรุปประเด็นหลักที่ควรคำนึงถึงและมอบข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์ในการเตรียมความพร้อมสำหรับสัปดาห์ถัดไป
1. ความกังวลเรื่อง Stagflation เพิ่มขึ้นหลังมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
มาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะการเก็บภาษีสินค้าเทคโนโลยีจากจีนในอัตรา 20% ได้สร้างความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่อาจสูงขึ้นพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เรียกว่า “Stagflation” นโยบายการคลัง “America First 2.0” ที่เน้นการลดภาษีนิติบุคคลและเพิ่มงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐานอาจทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณที่ขยายตัวถึง 8% ของ GDP และส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์ในระยะกลาง
2. ความแตกต่างในนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก
เราได้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนในนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก โดย ECB ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 ในรอบปี (25 basis points มาอยู่ที่ 2.25%) ในขณะที่ BoJ ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปี 2025 หลังจากปรับขึ้น 25 basis points เป็น 0.5% ในเดือนมกราคม และ Fed แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของเงินเฟ้อที่อาจสูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
3. การกลับมาของความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมระหว่างหุ้นและพันธบัตร
ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและพันธบัตรกำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยค่าสหสัมพันธ์เข้าใกล้ศูนย์อีกครั้ง ซึ่งบ่งชี้ถึงการกลับมาของการกระจายความเสี่ยงแบบดั้งเดิม นี่เป็นพัฒนาการที่สำคัญสำหรับเทรดเดอร์ในการวางกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอ
4. วิกฤติหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์จีนลุกลามสู่ตลาดอื่น
การล้มละลายของ Evergrande Group เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2025 ส่งคลื่นกระแทกสู่ตลาดพันธบัตรบริษัทจีนและมีผลกระทบทางอ้อมต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์พื้นฐาน โดยเฉพาะในภาคการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ การแทรกแซงตลาดสกุลเงินโดย PBOC ได้ช่วยบรรเทาแรงกดดันบางส่วน แต่ความเสี่ยง contagion ยังคงอยู่
5. พัฒนาการในตลาดคริปโตเคอเรนซี่และเทคโนโลยีใหม่
การเปิดตัว ASIC Miner รุ่นใหม่โดย Bitmain Technologies ที่มีประสิทธิภาพพลังงานดีขึ้น 40% ส่งผลให้ความยากในการขุด Bitcoin ปรับตัวขึ้น 15% ภายใน 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ คริปโตเคอเรนซี่ที่เกี่ยวข้องกับ AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ แสดงผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดย Fetch.ai (FET) เพิ่มขึ้น 18.3% และ The Graph (GRT) เพิ่มขึ้น 15.7%
เรามีข้อแนะนำเชิงกลยุทธ์สำหรับเทรดเดอร์แต่ละประเภทเพื่อรับมือกับสภาวะตลาดในปัจจุบันและเตรียมพร้อมสำหรับสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึง:
สำหรับเทรดเดอร์ทุกระดับ:
สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่:
สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ:
เมื่อมองไปข้างหน้า มีแนวโน้มสำคัญหลายประการที่เทรดเดอร์ควรติดตามอย่างใกล้ชิดในสัปดาห์ที่ 21-25 เมษายน 2025:
สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับตลาดการเงินทั่วโลก ด้วยความผันผวนที่เพิ่มขึ้นและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของธนาคารกลางหลัก อย่างไรก็ตาม ความท้าทายนี้ยังนำมาซึ่งโอกาสสำหรับเทรดเดอร์ที่มีกลยุทธ์ที่เหมาะสมและการบริหารความเสี่ยงที่ดี
ในสัปดาห์ถัดไป เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอ การติดตามเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ และการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมฤดูใบไม้ผลิของ IMF และธนาคารโลก และการเปิดเผยตัวเลข GDP สหรัฐฯ ไตรมาส 1/2025
ท้ายที่สุด การเทรดในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้เรียกร้องให้มีการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ความอดทน และวินัยในการบริหารความเสี่ยง ผู้ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงและยึดมั่นในแผนการเทรดที่วางไว้ล่วงหน้าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าในระยะยาว
FXGT มุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนลูกค้าด้วยบทวิเคราะห์ตลาดที่ครอบคลุมและเครื่องมือการเทรดที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถนำทางผ่านตลาดที่ท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจ โปรดติดตามบทวิเคราะห์ตลาดรายสัปดาห์ของเราเพื่อรับข้อมูลล่าสุดและมุมมองเชิงลึกที่จะช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย