หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่ 3-7 กุมภาพันธ์ 2025 เผชิญกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของธนาคารกลางสำคัญและความตึงเครียดทางการค้าที่ปะทุขึ้นใหม่ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งที่สามในรอบหกเดือน ในขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต สร้างความเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญในตลาดค่าเงิน
ในด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาทองคำสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการแตะระดับสูงสุดที่ 2,880 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมจากจีน แคนาดา และเม็กซิโก ในอัตรา 10-25% ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง
ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบสนองต่อสถานการณ์ในทิศทางที่แตกต่างกัน โดยดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ของสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.39% และ 0.19% ตามลำดับ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ยังคงได้รับความสนใจจากกระแส AI ในทางกลับกัน ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงถึง 2.66% จากผลกระทบของค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซียังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง โดย Bitcoin ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.29% จากต้นปี ท่ามกลางความสนใจที่เพิ่มขึ้นในกองทุน ETF และการพัฒนาของเทคโนโลยีบล็อกเชน ในขณะที่ Altcoins อย่าง Solana และ Ripple ก็ได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของการใช้งานจริงในภาคธุรกิจ
เมื่อมองไปข้างหน้า ตลาดการเงินจะจับตาการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในอนาคต รวมถึงติดตามพัฒนาการของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าสำคัญ
วันจันทร์ (3 กุมภาพันธ์ 2025) ตลาดการเงินเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยความผันผวน หลังจากสหรัฐฯ ประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้าใหม่กับประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยกำหนดอัตราภาษี 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก และ 10% สำหรับสินค้าจากจีน มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นในเอเชียและยุโรปปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ทองคำได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย
วันอังคาร (4 กุมภาพันธ์ 2025) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการส่งสัญญาณถึงแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอนาคต ส่งผลให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว และกดดันให้ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งจากผลประกอบการที่ดีของบริษัทเทคโนโลยี
วันพุธ (5 กุมภาพันธ์ 2025) ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งแรกในปี 2025 พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคต หากสถานการณ์เศรษฐกิจเอื้ออำนวย การตัดสินใจดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก แต่ช่วยหนุนตลาดหุ้นอังกฤษให้ปรับตัวขึ้น
วันพฤหัสบดี (6 กุมภาพันธ์ 2025) ตลาดได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากรายงานตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวของการจ้างงาน แม้ว่าอัตราการว่างงานจะยังคงทรงตัวที่ 3.7% แต่จำนวนตำแหน่งงานว่างที่ลดลงสร้างความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ทองคำแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 2,880 ดอลลาร์ต่อออนซ์ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาด
วันศุกร์ (7 กุมภาพันธ์ 2025) สัปดาห์การซื้อขายปิดท้ายด้วยการฟื้นตัวบางส่วนของตลาด หลังจากสหรัฐฯ ประกาศระงับการเก็บภาษีนำเข้าชั่วคราวสำหรับสินค้าบางรายการจากแคนาดาและเม็กซิโก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงระมัดระวังการลงทุน โดยรอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่จะประกาศในสัปดาห์หน้า
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดทองคำและพลังงาน ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากความตึงเครียดทางการค้าและการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก
ทองคำสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 2,880 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยง นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินหลักเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐยังเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำเพิ่มเติม
ในตลาดน้ำมัน ราคาน้ำมันดิบ WTI เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 72-75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อาจชะลอตัวลงจากผลกระทบของสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวของซีกโลกเหนือยังคงเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันไม่ให้ปรับตัวลดลงมากเกินไป
ตลาดก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้น 3.7% ในช่วงต้นสัปดาห์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรมและการใช้งานในครัวเรือน แต่การประกาศของสหรัฐฯ เกี่ยวกับแผนการลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานได้ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลงในช่วงท้ายสัปดาห์
โลหะอุตสาหกรรม เช่น ทองแดงและอลูมิเนียม แสดงสัญญาณชะลอตัวจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ในภาคการผลิต โดยเฉพาะจากจีนที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การชะลอตัวของราคาโลหะอุตสาหกรรมสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของตลาดต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า
ดัชนีหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างตลาดสหรัฐฯ และตลาดหลักอื่นๆ ท่ามกลางความท้าทายจากนโยบายการค้าและการเงินที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค
ในสหรัฐอเมริกา ดัชนี S&P 500 ปิดสัปดาห์ด้วยการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.39% โดยได้แรงหนุนหลักจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Nvidia ที่พุ่งขึ้นถึง 5.2% จากความคาดหวังเชิงบวกต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ในขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.19% สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ยังคงแข็งแกร่งในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แม้จะเผชิญกับความกังวลด้านนโยบายการค้า ส่วนดัชนี Dow Jones Industrial Average ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.71% จากความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงแข็งแกร่ง
ในทางตรงกันข้าม ตลาดหุ้นเอเชียเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก โดยดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงถึง 2.66% จากผลกระทบของค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่นส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต การแข็งค่าของเงินเยนส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทส่งออกญี่ปุ่น ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของดัชนี
ตลาดหุ้นยุโรปปิดตัวในแดนลบ โดยดัชนี DAX ของเยอรมนีและ FTSE 100 ของอังกฤษปรับตัวลดลง 1.3-1.5% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกของยุโรป อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษช่วยจำกัดการปรับตัวลงของ FTSE 100 ในช่วงท้ายสัปดาห์
แนวโน้มที่แตกต่างกันระหว่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นทั่วโลกสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและผลกระทบจากนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ความตึงเครียดทางการค้าเริ่มปะทุขึ้นใหม่
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในสัปดาห์นี้มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยได้รับอิทธิพลหลักจากการดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของธนาคารกลางสำคัญทั่วโลก และความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น
คู่เงิน USD/JPY ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเคลื่อนตัวต่ำกว่าระดับ 152 หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ส่งสัญญาณเชิงแข็งกร้าว (Hawkish) เกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต การเปลี่ยนแปลงท่าทีของ BoJ นี้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำมาเป็นเวลานาน การแข็งค่าของเงินเยนส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกญี่ปุ่น
EUR/USD เคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 1.02-1.04 ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของยุโรปและสหรัฐฯ แม้ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะยังไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้ แต่ตลาดยังคงติดตามสัญญาณการดำเนินนโยบายในอนาคตอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในบริบทของความตึงเครียดทางการค้าที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซน
GBP/USD ปรับตัวลดลง 1% หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% พร้อมส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคต การตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของ BoE ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ท่ามกลางความท้าทายจากการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศและความไม่แน่นอนของการค้าระหว่างประเทศ
สกุลเงินของตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจส่งผลต่อการส่งออกและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงในตลาดการเงินโลกยังส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและหันไปถือครองดอลลาร์สหรัฐมากขึ้น
ตลาดคริปโตเคอเรนซีในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง ท่ามกลางปัจจัยสนับสนุนจากการยอมรับในวงกว้างและการพัฒนาของระบบนิเวศทางการเงินดิจิทัล
Bitcoin ยังคงรักษาแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.29% นับตั้งแต่ต้นปี และสามารถยืนเหนือระดับ 45,000 ดอลลาร์ได้อย่างมั่นคง การเติบโตนี้ได้รับแรงสนับสนุนหลักจากความสำเร็จของกองทุน ETF Bitcoin ที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันเข้าสู่ตลาด นอกจากนี้ ความตึงเครียดในตลาดการเงินดั้งเดิมยังส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนมองหาทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล
Ethereum แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่น่าสนใจ โดยได้รับแรงหนุนจากความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย การพัฒนาดังกล่าวมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำธุรกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการใช้งานจากภาคธุรกิจและนักพัฒนาแอปพลิเคชัน
ในกลุ่ม Altcoins มีการเคลื่อนไหวที่โดดเด่น โดย Solana ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 18% จากการขยายตัวของระบบนิเวศและการยอมรับในการใช้งานจริง โดยเฉพาะในด้านการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) และ NFT ในขณะที่ Ripple ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12% หลังจากประสบความสำเร็จในการขยายเครือข่ายพันธมิตรกับสถาบันการเงินทั่วโลก
แม้ว่าตลาดคริปโตเคอเรนซีจะแสดงสัญญาณเชิงบวก แต่นักลงทุนยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบในประเทศต่างๆ และความเชื่อมโยงที่เพิ่มขึ้นกับตลาดการเงินดั้งเดิม ซึ่งอาจส่งผลต่อความผันผวนของราคาในระยะสั้น
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่จะถึงนี้มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และพัฒนาการของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ
การประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ จะเป็นจุดสนใจหลักของตลาด โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ตัวเลขดังกล่าวจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) โดยหากตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าที่คาด อาจส่งผลให้ Fed ชะลอแผนการลดอัตราดอกเบี้ยออกไป
ในด้านการค้าระหว่างประเทศ ตลาดจะจับตาการตอบโต้จากจีนและแคนาดาต่อมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การเจรจาระหว่างประเทศคู่ค้าในสัปดาห์หน้าอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทิศทางของตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และหุ้นกลุ่มส่งออก
นอกจากนี้ การแถลงนโยบายของผู้บริหารธนาคารกลางสำคัญ ทั้ง Fed และ ECB จะเป็นอีกปัจจัยที่ตลาดให้ความสนใจ โดยนักลงทุนจะติดตามสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในระยะถัดไป รวมถึงมุมมองต่อผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าที่อาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในภาพรวม ตลาดการเงินอาจยังคงเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีและสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนไหวต่อความตึงเครียดทางการค้า ในขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและสกุลเงิน Safe-Haven อาจยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
สัปดาห์การซื้อขายที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในตลาดการเงินโลก โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากสองด้าน คือ การดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของธนาคารกลางสำคัญ และความตึงเครียดทางการค้าที่ปะทุขึ้นใหม่
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งที่สามในรอบหกเดือน สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) กลับส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ความแตกต่างของนโยบายการเงินนี้ส่งผลให้เกิดความเคลื่อนไหวที่สำคัญในตลาดค่าเงิน โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินเยนที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น
การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ ได้สร้างความกังวลต่อการค้าระหว่างประเทศและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังและหันไปให้ความสนใจกับสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น สะท้อนผ่านราคาทองคำที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 2,880 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงแสดงความแข็งแกร่ง นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับแรงหนุนจากกระแส AI ตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นกลับเผชิญกับแรงกดดัน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
สัปดาห์หน้ายังคงต้องติดตาม ตลาดการเงินจะให้ความสำคัญกับการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของ Fed นอกจากนี้ การติดตามพัฒนาการของความตึงเครียดทางการค้าและการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าจะเป็นอีกปัจจัยที่กำหนดทิศทางของตลาดในระยะข้างหน้า สถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลให้ตลาดยังคงเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวต่อนโยบายการค้าและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก