หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยหลายด้าน โดยเฉพาะการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ และทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก รายงานการประชุม FOMC ล่าสุดสะท้อนความระมัดระวังของ Fed ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญชี้ถึงการฟื้นตัวที่ไม่สม่ำเสมอในภูมิภาคต่างๆ
การประกาศมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็น 25% ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม 2568 ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 2.51% ในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า เช่น ยานยนต์และเทคโนโลยี ความกังวลต่อผลกระทบด้านเงินเฟ้อจากมาตรการดังกล่าวยังกดดันให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวขึ้น 10 bps มาอยู่ที่ 4.25%
ในด้านนโยบายการเงิน รายงานการประชุม FOMC เผยว่าคณะกรรมการยังคงกังวลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงกว่าเป้าหมาย แม้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 2.6% ในสิ้นปี 2567 การปรับลดคาดการณ์การลดดอกเบี้ยในปี 2568 จาก 4 ครั้งเหลือ 2 ครั้ง สะท้อนท่าทีระมัดระวังของ Fed ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก
ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาทองคำปรับตัวขึ้น 1.8% มาปิดที่ 2,850 ดอลลาร์/ทรอย ออนซ์ จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลง 2.3% มาอยู่ที่ 82.50 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความกังวลต่ออุปสงค์ที่อ่อนแอในจีนและอุปทานที่เพิ่มขึ้นจาก OPEC+
ตลาดเงินตราต่างประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมาเผชิญกับความผันผวนจากความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลัก และผลกระทบจากมาตรการการค้าใหม่ของสหรัฐฯ ดัชนีดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวแข็งค่าขึ้น 0.6% สะท้อนบทบาทของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
คู่เงิน EUR/USD เคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 1.0850-1.0950 โดยมีแรงกดดันจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลง 0.25% เป็น 3.50% การปรับลดประมาณการ GDP ปี 2568 จาก 1.4% เป็น 1.3% สะท้อนความกังวลต่อภาคการผลิตที่อ่อนแอ ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการของยูโรโซนที่ 52.4 ยังคงอยู่เหนือระดับขยายตัว
USD/JPY ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 148.50 หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25 bps ในเดือนมกราคม การแข็งค่าของเงินเยนได้รับแรงหนุนจากการปรับนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น แม้ว่าข้อมูล GDP ไตรมาส 4/2567 ของญี่ปุ่นจะขยายตัวเพียง 0.2% QoQ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 0.3%
GBP/USD เผชิญแรงกดดันขาลงจากข้อมูลเงินเฟ้อสหราชอาณาจักรที่ชะลอตัวลงสู่ระดับ 3.4% ในเดือนมกราคม เพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงครึ่งปีหลัง การเคลื่อนไหวของคู่เงินนี้ยังได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรปภายหลัง Brexit
AUD/USD ปรับตัวลง 0.8% หลังรายงานการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี ความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนแอยังคงเป็นปัจจัยกดดันสกุลเงินของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกวัตถุดิบ
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัยและสินค้าพลังงาน สะท้อนถึงความซับซ้อนของปัจจัยพื้นฐานและการตอบสนองต่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
ราคาทองคำปรับตัวขึ้น 1.8% มาปิดที่ 2,850 ดอลลาร์/ทรอย ออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ข้อมูลจาก World Gold Council แสดงให้เห็นการไหลเข้าของเงินลงทุนในกองทุน ETF ทองคำทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1,400 ล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายน 2567 สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันต่อแนวโน้มราคาทองคำในระยะยาว
ตลาดน้ำมันดิบเผชิญแรงกดดันจากความกังวลด้านอุปสงค์ โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลง 2.3% มาอยู่ที่ 82.50 ดอลลาร์/บาร์เรล อุปสงค์ที่อ่อนแอในจีนและการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ส่งผลให้ตลาดน้ำมันดิบอยู่ในภาวะอุปทานส่วนเกิน แม้ความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะสร้างความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทาน แต่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่สูงขึ้นยังคงกดดันราคา
ราคาโลหะอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ราคาเหล็กและอะลูมิเนียมในตลาดล่วงหน้าปรับตัวขึ้น 3.2% และ 2.8% ตามลำดับ จากความกังวลเรื่องอุปทานที่อาจตึงตัวหลังการบังคับใช้ภาษีนำเข้า 25% ในวันที่ 4 มีนาคม 2568 การปรับขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบอาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะต่อไป
กลุ่มสินค้าเกษตรยังคงเผชิญความผันผวนจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า ราคาข้าวโพดและถั่วเหลืองในตลาดชิคาโกปรับตัวลง 1.5% และ 0.8% ตามลำดับ จากการคาดการณ์ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในอเมริกาใต้ อย่างไรก็ตาม ความต้องการนำเข้าที่แข็งแกร่งจากจีนอาจช่วยพยุงราคาในระยะกลาง
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดการเงินในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของนโยบายการค้าและทิศทางนโยบายการเงินต่อการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และรายงานการประชุม FOMC ได้สร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ส่งผลกระทบข้ามตลาด
ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีดอลลาร์และสินทรัพย์เสี่ยงยังคงเด่นชัด โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ 0.6% ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 2.51% สะท้อนการไหลออกของเงินทุนจากตลาดหุ้นสู่สินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำกลับแสดงความแข็งแกร่งด้วยการปรับตัวขึ้น 1.8% แม้ดอลลาร์จะแข็งค่า สะท้อนบทบาทที่เพิ่มขึ้นของทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการค้า
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับตัวขึ้น 10 bps มาอยู่ที่ 4.25% สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะ NASDAQ 100 ที่ปรับตัวลง 1.8% ในวันพฤหัสบดี ความอ่อนไหวของหุ้นเทคโนโลยีต่ออัตราดอกเบี้ยสะท้อนผ่านค่าสหสัมพันธ์เชิงลบที่ -0.78 ระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรและดัชนี NASDAQ
มาตรการภาษีนำเข้าใหม่ยังส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม โดยหุ้นผู้ผลิตเหล็กและอะลูมิเนียมในสหรัฐฯ เช่น Nucor และ Alcoa ปรับตัวขึ้น 0.5-1% ในขณะที่หุ้นกลุ่มยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ที่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนการประเมินใหม่ของนักลงทุนต่อผลกระทบของนโยบายการค้าต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
ตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาเผชิญกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยหลักจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC ที่สะท้อนท่าทีระมัดระวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 2.51% มาปิดที่ระดับ 5,150 จุด โดยการเคลื่อนไหวแสดงรูปแบบ Bull Flag Breakout ที่กำลังถูกทดสอบ แรงขายหลักมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า โดยเฉพาะหลังการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็น 25% ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยที่ 3,450 ล้านหุ้นต่อวัน สูงกว่าค่าเฉลี่ย 50 วันถึง 8% สะท้อนการปรับพอร์ตลงทุนครั้งใหญ่ของนักลงทุนสถาบัน
ดัชนี NASDAQ 100 ได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลง 1.8% ในวันพฤหัสบดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนการกู้ยืมสูงได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากความกังวลเรื่องต้นทุนทางการเงินที่อาจสูงขึ้นหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ในยุโรป ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลดลง 0.8% ท่ามกลางความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจ การปรับลดคาดการณ์ GDP ของ ECB สำหรับปี 2568 จาก 1.4% เป็น 1.3% สะท้อนความเปราะบางของการฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคแสดงความแข็งแกร่งจากกระแสการลงทุนในพลังงานสะอาด
ตลาดหุ้นเอเชียแสดงการฟื้นตัวที่น่าสนใจ โดยดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่นปรับตัวขึ้น 0.26% มาปิดที่ 38,776.94 จุด แม้จะมีแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินเยน ขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับตัวขึ้น 0.85% หลังประธานาธิบดีทรัมป์ส่งสัญญาณเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่กับจีน
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากการเข้ามาของนักลงทุนสถาบันผ่าน ETF และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ราคา Bitcoin ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 95,802.7 ดอลลาร์ โดยมีจุดสูงสุดในปี 2568 ที่ 109,114.88 ดอลลาร์ ปริมาณการซื้อขาย 24 ชั่วโมงที่ 16.53 พันล้านดอลลาร์สะท้อนสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
การเปิดตัว Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ สร้างแรงขับเคลื่อนใหม่ให้กับตลาด โดยมีเงินไหลเข้า 4.4 พันล้านดอลลาร์ระหว่างวันที่ 13 มกราคม ถึง 5 กุมภาพันธ์ 2568 BlackRock (IBIT) และ Fidelity (FBTC) เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 45% ของเงินลงทุนทั้งหมด การเข้ามาของสถาบันการเงินขนาดใหญ่นี้ช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือของ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ลงทุนทางเลือก
นโยบายสนับสนุนคริปโตเคอเรนซี่ของรัฐบาลทรัมป์ โดยเฉพาะแผนการสร้าง Strategic Bitcoin Reserve มูลค่า 1 ล้าน BTC สำหรับคลังสำรองประเทศ ส่งผลให้ราคา Bitcoin ปรับตัวขึ้น 27% ภายใน 1 สัปดาห์หลังการประกาศเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 การปรับปรุงกรอบกฎระเบียบให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจคริปโตและการคัดค้านการพัฒนา CBDC สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Glassnode เผยว่า 62% ของเงินไหลเข้า Bitcoin ETF มาจากกลยุทธ์ Cash-and-Carry Trade ของสถาบันการเงิน ซึ่งอาจสร้างความผันผวนในระยะสั้นหากเกิดการทำกำไรพร้อมกัน นอกจากนี้ การปรับลดปริมาณเปิดสัญญาใน CME Bitcoin Futures ลง 6.5% ในเดือนมกราคม 2568 อาจสะท้อนการทำกำไรจากส่วนต่างราคา (Premium) ที่สูงถึง 10%
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์หน้าจะเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจหลักและการบังคับใช้มาตรการทางการค้าใหม่ การประกาศ GDP ไตรมาส 4 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงินของ Fed และการเคลื่อนไหวของตลาดทุนโลก
นักวิเคราะห์คาดการณ์การขยายตัวของ GDP สหรัฐฯ ที่ 2.3% แบบ Annualized ลดลงจาก 3.1% ในไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม แบบจำลอง GDPNow ของ Fed สาขาแอตแลนตาชี้การปรับขึ้นเป็น 3.2% สะท้อนศักยภาพการปรับปรุงข้อมูลภาคการบริโภคและการลงทุน หากตัวเลขออกมาสูงกว่าคาด อาจลดแรงกดดันให้ Fed ปรับลดดอกเบี้ยในครึ่งปีหลัง 2568
ดัชนี PMI ของยุโรปที่จะประกาศในสัปดาห์หน้ามีความสำคัญต่อทิศทางค่าเงินยูโร HCOB Eurozone Composite PMI คาดอยู่ที่ 50.2 จุด โดยภาคบริการยังคงขยายตัวที่ 51.3 จุด ขณะที่ภาคการผลิตหดตัวชะลอลงสู่ 46.6 จุด ข้อมูลที่อ่อนแอกว่าคาดอาจกดดันให้ EUR/USD ทดสอบแนวรับที่ 1.0800
การบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในวันที่ 4 มีนาคม จะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า โดยเฉพาะยานยนต์และเทคโนโลยี นักลงทุนควรติดตามการประกาศผลประกอบการและการปรับประมาณการของบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด
กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำสำหรับสัปดาห์หน้าประกอบด้วย การเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ปลอดภัยในพอร์ตเป็น 25-30% โดยเน้นทองคำและพันธบัตรรัฐบาลระยะกลาง สำหรับตลาด Forex แนะนำกลยุทธ์ Range Trading ในคู่ EUR/USD ระหว่าง 1.0800-1.0950 และการใช้สัญญา Options เพื่อป้องกันความเสี่ยงในพอร์ตหุ้นกลุ่มส่งออก
สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับนักลงทุน ด้วยการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และทิศทางนโยบายการเงินที่ยังไม่ชัดเจนของธนาคารกลางหลัก เหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อตลาดการเงินประกอบด้วยการประกาศมาตรการภาษีนำเข้า 25% สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียม การเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC ที่ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรป
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของนักลงทุน โดยเฉพาะการไหลของเงินทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ดัชนีดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น 0.6% สะท้อนบทบาทของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้น 1.8% แม้ดอลลาร์จะแข็งค่า แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการค้า
สำหรับสัปดาห์หน้า นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการประกาศ GDP ไตรมาส 4 ของสหรัฐฯ และดัชนี PMI ของยุโรป ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงินและการเคลื่อนไหวของตลาดทุน การบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าในวันที่ 4 มีนาคม อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พึ่งพาการส่งออก
ข้อแนะนำสำหรับเทรดเดอร์ในระยะสั้นคือการรักษาสถานะการลงทุนที่ระมัดระวัง โดยเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ปลอดภัยและใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอย่างเหมาะสม การใช้กลยุทธ์ Range Trading ในตลาด Forex และการทยอยสะสมหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการการค้าใหม่อาจเป็นโอกาสสำหรับการทำกำไรในภาวะตลาดที่ผันผวน อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ควรติดตามพัฒนาการของนโยบายการค้าและการเงินอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางตลาดในระยะถัดไป