หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในสัปดาห์วันที่ 7-11 เมษายน 2025 เผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรงท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจระดับโลกและเหตุการณ์เฉพาะในอุตสาหกรรม ช่วงเวลานี้เป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของตลาดคริปโตอย่างแท้จริง โดย Bitcoin ประสบกับการลดลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 5 เดือน ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมลดลงกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
ในวันที่ 7 เมษายน ราคา Bitcoin ดิ่งลงอย่างรวดเร็วจากระดับ 83,017 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาแตะระดับต่ำสุดที่ 74,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนจะมีการฟื้นตัวเล็กน้อย การเคลื่อนไหวนี้สัมพันธ์กับการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงทั่วทุกตลาด ไม่เพียงแต่ Bitcoin เท่านั้น Ethereum ก็ปรับตัวลดลง 13.08% มาอยู่ที่ 1,572 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ Solana (SOL) และ Dogecoin (DOGE) ลดลง 13.47% และ 12.69% ตามลำดับ
ปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดในสัปดาห์นี้ ได้แก่:
การปลดล็อกโทเค็น Solana มูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 4 เมษายน ส่งผลให้มีการถอนโทเค็นจากสเตกกิ้งและโอนเข้าศูนย์ซื้อขายกลางจำนวนมาก ก่อให้เกิดแรงกดดันด้านอุปทานและส่งผลต่อราคา SOL ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
การพิจารณาคดี Do Kwon อดีตซีอีโอ Terraform Labs ในวันที่ 10 เมษายน ที่ศาลรัฐบาลกลางแมนฮัตตัน ซึ่งเขาถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงหลักทรัพย์และสมคบฟอกเงินจากการล่มสลายของ TerraUSD และ Luna ในปี 2022 คดีนี้มีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของตลาดคริปโตโดยรวม โดยเฉพาะในกลุ่ม Stablecoin
การประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐฯ ในวันที่ 10 เมษายน ที่แสดงอัตราเงินเฟ้อปีต่อปีที่ 2.8% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย ข้อมูลนี้ยิ่งกดดันตลาดคริปโตให้ปรับตัวลงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกจากการประชุมสุดยอดคริปโตที่ทำเนียบขาวในวันที่ 11 เมษายน โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้จัดการประชุมร่วมกับผู้บริหารอุตสาหกรรมและนักลงทุนสถาบัน เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายสนับสนุนบล็อกเชนและการจัดตั้ง “ทุนสำรอง Bitcoin ยุทธศาสตร์” (Strategic Bitcoin Reserve) ซึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณถึงการสนับสนุนคริปโตในระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ
สัปดาห์นี้เผยให้เห็นถึงการเติบโตของความสัมพันธ์ระหว่างตลาดคริปโตกับระบบการเงินดั้งเดิมที่มากขึ้น ทำให้ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะเดียวกัน การพัฒนาด้านเทคโนโลยีในวงการคริปโต โดยเฉพาะการ Tokenization ของสินทรัพย์จริง (Real World Assets) กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวโน้มสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของตลาดในอนาคต
ในส่วนต่อไป เราจะวิเคราะห์เชิงลึกถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์คริปโตหลัก พร้อมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างตลาดและแนวโน้มในอนาคต
ราคา Bitcoin ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงการทดสอบระดับสนับสนุนสำคัญอย่างมีนัยยะสำคัญ การที่ราคาร่วงลงจาก 83,017 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาทดสอบระดับ 74,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในเวลาอันรวดเร็วเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แสดงถึงแรงเทขายที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม จุดน่าสนใจคือระดับราคา 72,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน ที่สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง โดยในวันที่ 8 เมษายน ราคาได้ทดสอบแนวรับนี้และเกิดการฟื้นตัวเล็กน้อย
การวิเคราะห์ทางเทคนิคยังแสดงให้เห็นว่าดัชนี RSI ของ Bitcoin ได้ลดลงมาอยู่ในเขต Oversold ที่ระดับ 28 ในวันที่ 7 เมษายน ซึ่งหมายความว่าราคาอาจมีการฟื้นตัวในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวที่ยั่งยืนจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการยืนเหนือระดับ 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และการดีดตัวกลับขึ้นไปทดสอบระดับ 80,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะกลายเป็นแนวต้านสำคัญในระยะสั้น
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน การประชุมสุดยอดคริปโตที่ทำเนียบขาวในวันที่ 11 เมษายน มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอนาคตของ Bitcoin การประกาศเกี่ยวกับการจัดตั้ง “ทุนสำรอง Bitcoin ยุทธศาสตร์” แสดงให้เห็นถึงการยอมรับ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์สำรองในระดับประเทศ ซึ่งเป็นการตอกย้ำคุณค่าในระยะยาวของ Bitcoin ในระบบการเงินโลก
การไหลเข้า-ออกของเงินทุนในกองทุน Bitcoin ETF ยังคงเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของความเชื่อมั่นในตลาด โดยในช่วงต้นสัปดาห์นี้ มีการไหลออกสุทธิประมาณ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หลังจากการประชุมสุดยอดคริปโตที่ทำเนียบขาว เริ่มเห็นสัญญาณการไหลเข้าของเงินทุนอีกครั้ง แสดงถึงความเชื่อมั่นที่เริ่มกลับมา
Ethereum ปรับตัวลดลง 13.08% มาอยู่ที่ 1,572 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ สอดคล้องกับการลดลงของตลาดโดยรวม อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาคือความสำเร็จของ Ethereum ในการกลับมาครองอันดับ 1 บนแพลตฟอร์ม DEX แซงหน้า Solana เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน โดยมียอดซื้อขายในเดือนมีนาคม 2025 สูงถึง 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายบน DEX ของ Ethereum แสดงให้เห็นถึงการกลับมาของความนิยมในระบบนิเวศ Ethereum และความมั่นใจในความปลอดภัยของเครือข่าย การพัฒนาล่าสุดของโปรโตคอล Layer 2 เช่น Arbitrum และ Optimism ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ทำให้ผู้ใช้งานจำนวนมากกลับมาใช้บริการ DEX บน Ethereum อีกครั้ง
ในมุมมองทางเทคนิค ราคา Ethereum กำลังทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหากสามารถรักษาระดับนี้ได้ จะมีโอกาสฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้านที่ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะกลาง การที่ดัชนี RSI อยู่ในเขต Oversold เช่นเดียวกับ Bitcoin ยิ่งเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวในระยะสั้น
นอกจากนี้ การพัฒนา Tokenization บนเครือข่าย Ethereum ยังได้รับความสนใจจากสถาบันการเงินชั้นนำ โดย BlackRock ได้เปิดตัวกองทุน Tokenization บนบล็อกเชนของ Ethereum เพื่อให้นักลงทุนรับผลตอบแทนจากการฝากเงินสดและตราสารหนี้ระยะสั้นของสหรัฐฯ การพัฒนานี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเชื่อมโยงระหว่างการเงินแบบดั้งเดิมกับการเงินแบบ DeFi ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับการเติบโตของ Ethereum ในระยะยาว
Solana (SOL) ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการปลดล็อกโทเค็นมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 4 เมษายน โดยพบการถอนโทเค็นจากสเตกกิ้งถึง 425,000 SOL (ประมาณ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และมีการโอนเข้าสู่ศูนย์ซื้อขายกลางกว่า 280,000 SOL ภายใน 48 ชั่วโมง กิจกรรมนี้สร้างแรงกดดันด้านอุปทานในตลาด ส่งผลให้ราคา SOL ลดลงต่อเนื่อง โดยในวันที่ 7 เมษายน ราคาลดลงถึง 13.47% มาอยู่ที่ 103.93 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ปริมาณการซื้อขายบน DEX ของ Solana ลดลงถึง 80% ในเดือนมีนาคม สะท้อนถึงการลดลงของกิจกรรมในระบบนิเวศ ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่ามาจากการเสื่อมถอยของกระแส Memecoin และการลดลงของสภาพคล่อง มูลค่าล็อคทั้งหมด (TVL) ในเครือข่ายลดลงจาก 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนมกราคม เหลือเพียง 6,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นแง่ลบสำหรับ Solana การเปิดตัว Saga Phone รุ่นใหม่ในวันที่ 10 เมษายน พร้อมฟีเจอร์การสเตกโทเค็นแบบบูรณาการ ได้รับความสนใจและช่วยดึงดูดผู้ใช้งานรายใหม่ได้บางส่วน ความสามารถทางเทคนิคของเครือข่าย Solana ในด้านความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำยังคงเป็นจุดแข็งที่ทำให้มีพัฒนาการในแง่ของนวัตกรรมและแอปพลิเคชันใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
ในมุมมองระยะกลางถึงระยะยาว Solana ยังคงมีศักยภาพในการเติบโต โดยเฉพาะจากการพัฒนา DApp และเกมบนบล็อกเชน แต่ในระยะสั้น นักลงทุนควรระมัดระวังเนื่องจากยังมีแรงกดดันจากการปลดล็อกโทเค็นและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจาก Ethereum และบล็อกเชนอื่นๆ
การประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐฯ ในวันที่ 10 เมษายน ที่แสดงอัตราเงินเฟ้อปีต่อปีที่ 2.8% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดคริปโต ข้อมูลนี้ทำให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจลดลง
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดคริปโตกับตลาดหุ้นยิ่งชัดเจนขึ้นในสัปดาห์นี้ โดยดัชนี Nasdaq Composite ปรับตัวลดลง 2.8% ในวันที่ 7 เมษายน สอดคล้องกับการลดลงของ Bitcoin ในวันเดียวกัน ค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin กับ Nasdaq เพิ่มขึ้นเป็น 0.68 ในสัปดาห์นี้ แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกันมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,167 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ สะท้อนให้เห็นถึงการแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ปรากฏการณ์นี้เป็นที่น่าสนใจเนื่องจาก Bitcoin ซึ่งมักถูกมองว่าเป็น “ทองคำดิจิทัล” กลับไม่ได้รับประโยชน์จากความกังวลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนอย่างสูง สินทรัพย์ดั้งเดิมอย่างทองคำยังคงเป็นที่พึ่งของนักลงทุน
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงทั่วทุกตลาด รวมถึงตลาดคริปโต นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ามาตรการภาษีนำเข้านี้อาจนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ซึ่งจะส่งผลลบต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหมด
การพิจารณาคดี Do Kwon อดีตซีอีโอ Terraform Labs ที่เริ่มขึ้นในวันที่ 10 เมษายน มีนัยสำคัญต่อตลาดคริปโต โดยเฉพาะในแง่ของความเชื่อมั่นต่อ Stablecoin การที่อัยการนำเสนอหลักฐานใหม่ 4 เทราไบต์ รวมข้อมูลจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และบัญชีการเงินของ Kwon ซึ่งเปิดเผยกลไกการพยุงราคา TerraUSD ผ่านบริษัทเทรดดิ้งความถี่สูง ยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินงานของโครงการคริปโตบางประเภท
อย่างไรก็ตาม การประชุมสุดยอดคริปโตที่ทำเนียบขาวในวันที่ 11 เมษายน เป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต การที่ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความมุ่งมั่นที่จะทำให้สหรัฐฯ เป็น “ศูนย์กลาง Crypto ของโลก” และมีการหารือเกี่ยวกับการจัดตั้ง “ทุนสำรอง Bitcoin ยุทธศาสตร์” แสดงให้เห็นถึงทิศทางของนโยบายที่เป็นมิตรต่ออุตสาหกรรมนี้
ประเด็นสำคัญจากการประชุมคือการพัฒนาเทคโนโลยี Tokenization สำหรับสินทรัพย์จริง (RWA) โดย Vlad Tenev จาก Robinhood เสนอให้ใช้บล็อกเชนเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงตลาดเอกชน ขณะที่ Sergey Nazarov จาก Chainlink กล่าวถึงความจำเป็นในการแปลงสินทรัพย์เช่น Treasury Bills และอสังหาริมทรัพย์เป็นโทเค็นดิจิทัล แนวคิดนี้สอดคล้องกับการพัฒนาล่าสุดของ BlackRock ในการเปิดตัวกองทุน Tokenization บนบล็อกเชนของ Ethereum
ในด้านกฎระเบียบ คณะกรรมการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้อนุมัติร่างกฎหมายเกี่ยวกับ Stablecoin โดยมีเป้าหมายที่จะให้กฎหมายนี้ได้รับการอนุมัติขั้นสุดท้ายภายในเดือนสิงหาคม 2025 แม้ว่าพรรคเดโมแครตจะยังคงกังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นของประธานาธิบดีทรัมป์ การมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนสำหรับ Stablecoin จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและการยอมรับในวงกว้าง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเติบโตของระบบนิเวศคริปโตโดยรวม
การพัฒนาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น แต่แนวโน้มระยะยาวของอุตสาหกรรมคริปโตยังคงได้รับการสนับสนุนจากนโยบายและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับระบบการเงินดั้งเดิมผ่านเทคโนโลยี Tokenization ซึ่งอาจเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในระลอกถัดไปของตลาดคริปโต
สัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2025 นับเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบอย่างแท้จริงสำหรับตลาดคริปโตเคอร์เรนซี การร่วงลงอย่างรุนแรงของ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนไหวของตลาดต่อปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเศรษฐกิจระดับมหภาค ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ หรือความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ผันผวนตามข่าวในอุตสาหกรรม
ประเด็นสำคัญที่เราได้เห็นคือการเชื่อมโยงที่เพิ่มขึ้นระหว่างตลาดคริปโตกับตลาดการเงินดั้งเดิม โดยปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค อย่างเช่นการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาคริปโต ในขณะเดียวกัน เรายังได้เห็นการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่มุ่งเชื่อมโยงสินทรัพย์ดิจิทัลกับสินทรัพย์จริง (RWA) ผ่านการ Tokenization ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันและนำไปสู่การยอมรับในวงกว้างมากขึ้น
แม้ว่าในระยะสั้น ตลาดคริปโตอาจยังคงเผชิญกับความผันผวนอันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ แต่ในระยะยาว เราคาดว่าแนวโน้มเชิงบวกจะยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐฯ และการพัฒนากฎระเบียบที่ชัดเจนมากขึ้น
หากมองไปข้างหน้า เราคาดว่า Bitcoin จะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 72,000-83,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัปดาห์ถัดไป โดยมีแนวรับสำคัญที่ 72,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ มีโอกาสที่จะเกิดการฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้านที่ 80,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ อีกครั้ง
สำหรับ Ethereum เราคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,500-1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยความสำเร็จในการยืนเหนือระดับ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ จะเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับการฟื้นตัวในระยะสั้น ในขณะที่ Solana อาจยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากการปลดล็อกโทเค็น แต่หากราคาสามารถรักษาระดับเหนือ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ ก็มีโอกาสที่จะเกิดการฟื้นตัวในระยะกลาง
สำหรับนักลงทุนในสภาวะตลาดปัจจุบัน เราขอเสนอกลยุทธ์การลงทุนดังนี้:
1. การลงทุนระยะยาว (HODLers)
การลงทุนแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA) เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมในช่วงตลาดผันผวน โดยการทยอยลงทุนในสินทรัพย์หลักอย่าง Bitcoin และ Ethereum อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น
สำหรับนักลงทุนที่มองการณ์ไกล ควรพิจารณาจัดสรรพอร์ตโฟลิโอให้สมดุล โดยเน้นสินทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและมีการใช้งานจริง อย่างเช่น Bitcoin, Ethereum และโปรเจ็กต์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี Tokenization และ Real World Assets
2. การเทรดระยะกลาง (Swing Traders)
สำหรับนักเทรดระยะกลาง การใช้กลยุทธ์ซื้อบริเวณแนวรับสำคัญและขายบริเวณแนวต้านอาจเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในช่วงตลาดผันผวนเช่นนี้ โดยควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคควบคู่ไปกับการติดตามปัจจัยพื้นฐานที่อาจส่งผลต่อทิศทางตลาด
การเข้าซื้อ Bitcoin บริเวณแนวรับ 72,000-74,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายที่ 80,000-83,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ อาจเป็นโอกาสในการทำกำไรในระยะกลาง ในขณะที่ Ethereum อาจพิจารณาเข้าซื้อที่แนวรับ 1,500-1,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายที่ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ
3. การบริหารความเสี่ยง
ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบใด การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยควรจำกัดการลงทุนในแต่ละครั้งไม่เกิน 2-5% ของพอร์ตโฟลิโอทั้งหมด และควรกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่ชัดเจนเพื่อป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นหากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ ควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงโดยไม่ลงทุนในสินทรัพย์เดียวมากเกินไป และอาจพิจารณาถือครอง Stablecoins บางส่วนเพื่อรองรับโอกาสในการเข้าซื้อหากตลาดปรับตัวลงมากขึ้น
ในสัปดาห์ถัดไป นักลงทุนควรติดตามปัจจัยสำคัญต่อไปนี้ที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มตลาด:
ท้ายที่สุดนี้ ตลาดคริปโตอาจยังคงเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น แต่แนวโน้มในระยะยาวยังคงมีทิศทางเชิงบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการพัฒนาเทคโนโลยี Tokenization ที่เชื่อมโยงสินทรัพย์ดิจิทัลกับสินทรัพย์จริง และการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ นักลงทุนที่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจะสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาดที่ผันผวนนี้ได้ ในขณะที่ยังคงรักษาเป้าหมายการลงทุนในระยะยาว