หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (Bank of England: BOE) ในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.5% ในการประชุมเดือนมีนาคม 2025 ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น
BOE ให้เหตุผลสำคัญในการคงอัตราดอกเบี้ยว่าเป็นการรอประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์และความเสี่ยงจากสงครามการค้าโลกที่กำลังก่อตัว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรในระยะต่อไป ทั้งนี้ ผู้ว่าการ BOE แอนดรูว์ เบลีย์ ได้แสดงความกังวลว่า “ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจอังกฤษ และเศรษฐกิจโลกมีอยู่อย่างมีนัยสำคัญ” และประชาชนอังกฤษจะมี “เงินในกระเป๋าน้อยลง” เป็นผลมาจากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจอังกฤษแสดงสัญญาณชะลอตัว โดยในเดือนมกราคม 2025 เศรษฐกิจหดตัวลง 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่การเติบโต 0.1% สาเหตุหลักมาจากการหดตัวในภาคการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมโลหะที่ลดลงถึง 3.3% ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการคาดการณ์เรื่องภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากสหรัฐฯ
ในขณะเดียวกัน BOE ได้คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นชั่วคราวในปี 2025 ถึงระดับ 3.7% จากปัจจุบันที่อยู่ใกล้เป้าหมาย 2% สาเหตุสำคัญมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นและการปรับขึ้นราคาในภาคส่วนต่างๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าโดยสารรถประจำทาง และภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่างไรก็ตาม BOE คาดว่าเงินเฟ้อจะลดลงสู่เป้าหมายในระยะต่อไป
ปัจจัยสำคัญอีกประการที่ส่งผลต่อตลาดการเงินคือการประกาศปรับเปลี่ยนนโยบายของเยอรมนีเกี่ยวกับการใช้จ่ายสาธารณะ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปและตลาดการเงินทั่วโลก
สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ ความท้าทายในปัจจุบันคือการระบุโอกาสและบริหารความเสี่ยงในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้น ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ และการเชื่อมโยงระหว่างตลาดต่างๆ เพื่อวางกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม
บทวิเคราะห์นี้จะนำเสนอมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยเหล่านี้ พร้อมทั้งประเมินผลกระทบต่อสินทรัพย์ประเภทต่างๆ และนำเสนอกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบัน
เศรษฐกิจอังกฤษกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดที่แสดงการหดตัว 0.1% ในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่การเติบโต 0.1% ภาคการผลิตได้รับผลกระทบอย่างหนักโดยลดลง 0.9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ภาคบริการเติบโตเพียง 0.1% ซึ่งชะลอตัวลงจากการเติบโต 0.4% ในเดือนธันวาคม และภาคการก่อสร้างยังคงหดตัวต่อเนื่องที่ 0.2%
การชะลอตัวนี้เกิดขึ้นก่อนที่มาตรการทางภาษีใหม่ของรัฐบาลอังกฤษจะมีผลบังคับใช้ และก่อนที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศจะมีผลกระทบอย่างเต็มที่ ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษได้แสดงความกังวลว่ามาตรการเพิ่มภาระภาษีสำหรับธุรกิจอาจส่งผลเชิงลบต่อการเติบโต การลงทุน และการจ้างงาน ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม
ในระดับโลก เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่กำลังทวีความรุนแรง โดยสหรัฐอเมริกาได้ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน รวมถึงความเป็นไปได้ของการเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าจากสหภาพยุโรป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก
อีกปัจจัยที่สำคัญคือการประกาศนโยบายใหม่ด้านการใช้จ่ายสาธารณะของเยอรมนี ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการกู้ยืมและการใช้จ่ายในยุโรป โดยเฉพาะในบริบทของการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมและโครงสร้างพื้นฐาน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับประเทศที่มีประวัติการรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด
ตลาดเงินมีความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐหลังการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าคาดและความไม่แน่นอนทางการค้า ล่าสุดเงินปอนด์ซื้อขายที่ระดับ 1.293 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 0.15% ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น โดยพันธบัตรอายุ 20 ปีเพิ่มขึ้น 2 basis points และพันธบัตรอายุ 30 ปีเพิ่มขึ้น 4 basis points
ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนเช่นกัน โดยความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าส่งผลให้หุ้นในกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออกได้รับแรงกดดัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ เทคโนโลยี และสินค้าอุปโภคบริโภค นักลงทุนเริ่มปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้าและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ โดยราคาเหล็กและอลูมิเนียมมีความผันผวนสูงหลังการประกาศภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรปปรับตัวลดลงประมาณ 10% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความหวังเกี่ยวกับสันติภาพในยูเครน ราคาก๊าซปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 104 ซึ่งลดลงจากระดับสูงสุดที่ 140 เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน แต่ยังคงสูงกว่าระดับ 40-50 ในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19
นโยบายการเงินของธนาคารกลางยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางตลาด โดยธนาคารแห่งประเทศอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.5% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากปัจจัยภายนอก แม้ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีในเดือนกุมภาพันธ์ และส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปี 2025 แต่ธนาคารกลางจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการควบคุมเงินเฟ้อ
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด การประกาศภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการตอบโต้ที่อาจเกิดขึ้นสร้างความไม่แน่นอนอย่างมากในระบบการค้าโลก ซึ่งส่งผลกระทบไม่เพียงแค่ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงห่วงโซ่อุปทานโลก ต้นทุนการผลิต และในที่สุดคือเงินเฟ้อ
ปัจจัยด้านการคลังและนโยบายภาษีของรัฐบาลก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยมาตรการเพิ่มภาษีสำหรับธุรกิจในอังกฤษที่จะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ อาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท การจ้างงาน และการลงทุน นอกจากนี้ การประกาศนโยบายใหม่ด้านการใช้จ่ายสาธารณะของเยอรมนียังอาจส่งผลต่อตลาดพันธบัตรและอัตราดอกเบี้ยในยุโรป
ความกังวลเกี่ยวกับผลิตภาพแรงงานที่อ่อนแอในอังกฤษเป็นประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่ง โดยเฉพาะในภาคสาธารณะซึ่งมีผลิตภาพลดลงประมาณ 8-9% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 และในภาคสุขภาพซึ่งลดลงถึง 17-18% ปัญหาดังกล่าวส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
การประกาศนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐอเมริกาได้สร้างความปั่นป่วนให้กับระบบการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากแคนาดา เม็กซิโก และการเพิ่มภาษีสำหรับสินค้าจากจีน รวมถึงการพิจารณาเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าจากสหภาพยุโรป มาตรการเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสหราชอาณาจักรทั้งทางตรงและทางอ้อม
ในส่วนของผลกระทบทางตรง แม้ว่าสหราชอาณาจักรจะยังไม่ได้ถูกกำหนดเป็นเป้าหมายเฉพาะในนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แต่สินค้าส่งออกประเภทเหล็กและอลูมิเนียมจากสหราชอาณาจักรไปยังสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า 25% ที่สหรัฐฯ กำหนดสำหรับโลหะเหล่านี้จากทั่วโลก ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษแสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตโลหะในสหราชอาณาจักรได้หดตัวลง 3.3% ในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศอังกฤษระบุว่าอาจเป็นผลมาจากการคาดการณ์เกี่ยวกับภาษีนำเข้าเหล่านี้ที่มีมาตั้งแต่ช่วงก่อนหน้า
ผลกระทบทางอ้อมอาจรุนแรงยิ่งกว่า เนื่องจากสหราชอาณาจักรมีความเชื่อมโยงทางการค้าที่สำคัญกับทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป การชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าหลักเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของสหราชอาณาจักรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกอันเนื่องมาจากสงครามการค้าจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรในที่สุด
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ แอนดรูว์ เบลีย์ ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจอังกฤษ และเศรษฐกิจโลกมีอยู่อย่างมีนัยสำคัญ” จากสงครามการค้าที่กำลังทวีความรุนแรง โดยประชาชนอังกฤษจะมี “เงินในกระเป๋าน้อยลง” เป็นผลมาจากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น
การตอบโต้จากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดขอบเขตและความรุนแรงของสงครามการค้า แคนาดาและเม็กซิโกได้ประกาศมาตรการตอบโต้ทันทีหลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้า โดยแคนาดาได้ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่าเทียบเท่ากับที่ได้รับผลกระทบ
จีนซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง ยังไม่ได้ประกาศมาตรการตอบโต้อย่างเป็นทางการ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการดำเนินการในลักษณะเดียวกัน ซึ่งจะยิ่งทำให้ความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มสูงขึ้น
สหภาพยุโรปอยู่ระหว่างการพิจารณาทางเลือกในการตอบสนองต่อภัยคุกคามของภาษีนำเข้า 25% จากสหรัฐฯ โดยคณะกรรมาธิการยุโรปได้ระบุว่าพร้อมที่จะเจรจากับสหรัฐฯ แต่ก็มีมาตรการตอบโต้ทางการค้าเตรียมพร้อมไว้หากจำเป็น
สำหรับสหราชอาณาจักร นายกรัฐมนตรี เคียร์ สตาร์เมอร์ ได้แสดงความผิดหวังกับนโยบายภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐฯ แต่ระบุว่ารัฐบาลจะใช้ “แนวทางที่เป็นกลาง” และกำลังเจรจาข้อตกลงทางเศรษฐกิจซึ่งครอบคลุมถึงภาษีนำเข้าหากประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่าสหราชอาณาจักรจะตอบโต้หรือไม่หากการเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ
ผู้ว่าการ BOE ได้เน้นย้ำว่าสถานที่ที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้คือเวทีพหุภาคี เช่น G7 และ G20 โดยเขาได้กล่าวว่า “ถ้าเราจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ต้องมีการพิจารณาเรื่องสมดุลในเศรษฐกิจโลกอย่างจริงจัง” ซึ่งสะท้อนมุมมองที่ว่าการกระทำทวิภาคีจะไม่ช่วยแก้ไขความไม่สมดุลที่มีอยู่ในระบบเศรษฐกิจโลก
สงครามการค้าส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินหลายประเภท:
ตลาดค่าเงิน: ความไม่แน่นอนทางการค้าได้ส่งผลต่อตลาดค่าเงิน โดยเงินปอนด์ได้อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐหลังการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าคาดและความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า ล่าสุดเงินปอนด์ซื้อขายที่ระดับ 1.293 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 0.15% ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ หากสงครามการค้าทวีความรุนแรง เนื่องจากนักลงทุนมักเลือกถือครองดอลลาร์ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง อย่างไรก็ตาม หากมีการตอบโต้จากประเทศอื่นๆ แนวโน้มนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์: ราคาเหล็กและอลูมิเนียมได้รับผลกระทบโดยตรงจากการประกาศภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยมีความผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมา ราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรปปรับตัวลดลงประมาณ 10% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความหวังเกี่ยวกับสันติภาพในยูเครน อย่างไรก็ตาม หากสงครามการค้าส่งผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์และการขนส่งเพิ่มสูงขึ้น อาจส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภทปรับตัวสูงขึ้นในระยะต่อไป
ตลาดหุ้น: ดัชนีหุ้นทั่วโลกได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า โดยเฉพาะบริษัทที่พึ่งพาการส่งออกหรือมีห่วงโซ่อุปทานข้ามประเทศ หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เทคโนโลยี และสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบมากที่สุด ในขณะที่หุ้นในกลุ่มที่พึ่งพาตลาดในประเทศเป็นหลักมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า
ตลาดพันธบัตร: ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น โดยพันธบัตรอายุ 20 ปีเพิ่มขึ้น 2 basis points และพันธบัตรอายุ 30 ปีเพิ่มขึ้น 4 basis points หลังการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าคาด สะท้อนความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
ผู้เชี่ยวชาญจาก BOE ได้วิเคราะห์ว่าผลกระทบของสงครามการค้าต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะชัดเจนกว่าผลกระทบต่อเงินเฟ้อ โดยเศรษฐกรจาก Capital Economics ได้ระบุว่าภาษีนำเข้าอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจอังกฤษแม้ว่าจะยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากธุรกิจต่างๆ ได้เริ่มปรับตัวล่วงหน้าแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ อาจเปลี่ยนแปลงไปในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการค้า โดยความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงิน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดหุ้นอาจไม่เป็นไปตามรูปแบบที่เคยเป็นมาในอดีต นักลงทุนจึงควรติดตามสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสม
โดยสรุป สงครามการค้าที่กำลังทวีความรุนแรงสร้างความไม่แน่นอนอย่างมากให้กับตลาดการเงินทั่วโลก โดยอาจส่งผลลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นถึงระยะกลาง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อเงินเฟ้อยังไม่ชัดเจนและอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น การตอบสนองของอัตราแลกเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงของการค้า และนโยบายการเงินของธนาคารกลาง
ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BOE) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.5% ในการประชุมเดือนมีนาคม 2025 โดยสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) มีความเห็นสอดคล้องกันว่าควรชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อประเมินผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ BOE ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีในเดือนกุมภาพันธ์จากระดับ 4.75% ลงมาที่ 4.5%
คณะกรรมการได้ระบุว่าการคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้มีสาเหตุสำคัญจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่อาจส่งผลต่อเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ BOE ยังได้คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นชั่วคราวในปี 2025 ถึงระดับ 3.7% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 2% อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีสาเหตุหลักจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นและการปรับขึ้นราคาในภาคส่วนต่างๆ
ดร. ฮิว พิลล์ หัวหน้าเศรษฐกรของ BOE ได้อธิบายว่ากระบวนการลดเงินเฟ้อยังคงดำเนินต่อไปหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และสงครามในยูเครน แต่ยังมีความจำเป็นที่จะต้องรักษานโยบายการเงินที่เข้มงวดในระดับหนึ่งเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อภายในประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งสะท้อนในอัตราเงินเฟ้อภาคบริการและการเติบโตของค่าจ้าง
สำหรับแนวโน้มในอนาคต คณะกรรมการ MPC ได้ส่งสัญญาณว่าจะดำเนินนโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่าง “ค่อยเป็นค่อยไป” และ “ระมัดระวัง” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า BOE อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้หากการลดลงของเงินเฟ้อยังคงดำเนินต่อไปตามคาด อย่างไรก็ตาม ขนาดและความเร็วในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับการพัฒนาของความเสี่ยงรอบทิศทางเงินเฟ้อ
ศาสตราจารย์อลัน เทย์เลอร์ สมาชิกภายนอกของคณะกรรมการ MPC ได้ให้น้ำหนักความน่าจะเป็นของสถานการณ์ต่างๆ โดยให้โอกาส 40% สำหรับกรณีที่เศรษฐกิจอ่อนแอ (dovish case) 40% สำหรับกรณีกลาง (central case) และ 20% สำหรับกรณีที่เศรษฐกิจแข็งแกร่ง (hawkish case) ซึ่งสะท้อนมุมมองว่าความเสี่ยงมีทั้งสองด้านในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง
การตัดสินใจของ BOE สอดคล้องกับแนวโน้มของธนาคารกลางสำคัญทั่วโลกที่กำลังชั่งน้ำหนักระหว่างการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการควบคุมเงินเฟ้อ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน 2024 หลังจากที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเป็นเวลาหลายเดือน และคาดว่าจะมีการปรับลดเพิ่มเติมในปี 2025 หากเงินเฟ้อยังคงลดลงตามเป้าหมาย
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ได้เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปี 2024 และคาดว่าจะดำเนินนโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2025 อย่างไรก็ตาม ECB อาจต้องปรับเปลี่ยนแผนหากการประกาศนโยบายใหม่ด้านการใช้จ่ายสาธารณะของเยอรมนีส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อในยูโรโซน
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากกว่าธนาคารกลางอื่นๆ แม้ว่าจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเล็กน้อยในช่วงปลายปี 2024 แต่ก็ยังห่างจากระดับนโยบายที่เข้มงวดอย่างมีนัยสำคัญ
ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางสำคัญทั่วโลกอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินและการไหลเวียนของเงินทุนระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของตลาดการเงินในช่วงที่เหลือของปี 2025
นโยบายการเงินของธนาคารกลางมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมเงินเฟ้อและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ในกรณีของสหราชอาณาจักร BOE ประสบความสำเร็จในการลดเงินเฟ้อจากระดับสูงสุดที่มากกว่า 11% ในปี 2022 มาอยู่ใกล้เป้าหมาย 2% ในช่วงกลางปี 2024
อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นชั่วคราวเป็น 3.7% ในปี 2025 สร้างความท้าทายใหม่สำหรับ BOE ผู้ว่าการ BOE และคณะกรรมการ MPC ได้เน้นย้ำว่าการเพิ่มขึ้นนี้มีสาเหตุหลักจากปัจจัยภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับสภาวะพื้นฐานของเศรษฐกิจ เช่น ราคาพลังงาน ราคาอาหาร และการปรับขึ้นราคาในภาคส่วนต่างๆ
คำถามสำคัญที่ BOE ต้องพิจารณาคือว่าการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในระยะสั้นนี้จะส่งผลกระทบรอบสอง (second-round effects) หรือไม่ กล่าวคือ จะส่งผลให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างและราคาในวงกว้างเพื่อชดเชยการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและอาหารหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้
ดร. พิลล์ ได้กล่าวว่ายังมีความจำเป็นที่จะต้องรักษานโยบายการเงินที่เข้มงวดในระดับหนึ่งเพื่อ “บีบแรงกดดันเงินเฟ้อภายในประเทศออกจากระบบ” ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงจากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 และสงครามในยูเครน นโยบายการเงินที่เข้มงวดช่วยลดแรงกดดันด้านทรัพยากรและลดอัตราเงินเฟ้อในระยะกลางถึงระยะยาว
ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ BOE ให้ความสำคัญคือการคงการยึดเหนี่ยวของการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวให้สอดคล้องกับเป้าหมาย 2% ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาเสถียรภาพราคาในระยะยาว โดย BOE ได้ระบุว่าการมีกรอบนโยบายการเงินที่ชัดเจนและการดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นการควบคุมเงินเฟ้อได้ช่วยให้การคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวของตลาดการเงิน ครัวเรือน และธุรกิจยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ที่ระดับที่สอดคล้องกับเป้าหมาย
สมาชิกคณะกรรมการ MPC มีความเห็นว่าความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อมีทั้งสองด้าน ในด้านหนึ่ง อุปสงค์ที่อ่อนแอกว่าคาดอาจช่วยลดแรงกดดันด้านทรัพยากรและเอื้อต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่เร็วขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง ความอ่อนแอของการเติบโตของผลิตภาพหรือการหยุดชะงักที่กว้างขึ้นในด้านอุปทานของเศรษฐกิจอาจทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อภายในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะต้องมีการถอนนโยบายการเงินที่เข้มงวดช้าลง
โดยสรุป BOE และธนาคารกลางสำคัญทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการควบคุมเงินเฟ้อในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงจากสงครามการค้าและปัจจัยภายนอกอื่นๆ การติดตามพัฒนาการของนโยบายการเงินและการส่งสัญญาณของธนาคารกลางจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนในการคาดการณ์ทิศทางของตลาดการเงินในช่วงที่เหลือของปี 2025
ในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงจากสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน นักลงทุนต้องเผชิญทั้งความเสี่ยงและโอกาสในตลาดหลักต่างๆ การวิเคราะห์อย่างรอบคอบจะช่วยให้สามารถระบุพื้นที่ที่มีศักยภาพและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตลาดเงิน: ความผันผวนในตลาดค่าเงินมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการค้าและความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางสำคัญ ในระยะสั้น เงินปอนด์อาจยังคงได้รับแรงกดดันจากการตัดสินใจของ BOE ในการคงอัตราดอกเบี้ยและข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าคาด อย่างไรก็ตาม หากสงครามการค้าทวีความรุนแรงและส่งผลลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เงินปอนด์อาจแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในระยะกลาง
นักลงทุนในตลาดเงินควรให้ความสำคัญกับการติดตามท่าทีของธนาคารกลางและข้อมูลเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาณของการปรับนโยบายการเงินจาก BOE, Fed และ ECB นอกจากนี้ ควรติดตามพัฒนาการของสงครามการค้าและการเจรจาทางการค้าระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด
ตลาดหุ้น: ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจยังคงมีความผันผวนสูงในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางการค้าและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสในบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าหรือแม้แต่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ปัจจุบัน
บริษัทที่พึ่งพาตลาดในประเทศเป็นหลักและมีอำนาจในการกำหนดราคา เช่น บริษัทในกลุ่มสาธารณูปโภค บริษัทด้านสุขภาพ และบริษัทผู้ผลิตสินค้าจำเป็น มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าจากสงครามการค้า ในขณะที่บริษัทที่มีห่วงโซ่อุปทานข้ามประเทศหรือพึ่งพาการส่งออกมาก เช่น บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เทคโนโลยี และสินค้าฟุ่มเฟือย อาจเผชิญกับความท้าทายมากกว่า
ในสหราชอาณาจักร บริษัทขนาดใหญ่ที่มีรายได้จากต่างประเทศสูงอาจได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ ในขณะที่บริษัทขนาดกลางและเล็กที่พึ่งพาตลาดในประเทศมากกว่าอาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ
ตลาดพันธบัตร: ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะยังคงปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปอาจสนับสนุนตลาดพันธบัตรในระยะสั้นถึงระยะกลาง อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจากสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกอาจสร้างแรงกดดันต่อพันธบัตรระยะยาว
นักลงทุนในตลาดพันธบัตรควรพิจารณากระจายการลงทุนในพันธบัตรที่มีอายุแตกต่างกันและอาจรวมถึงพันธบัตรที่ปรับตามเงินเฟ้อ (inflation-linked bonds) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้น
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์: ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มที่จะผันผวนสูงในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการค้า สินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษีนำเข้า เช่น เหล็กและอลูมิเนียม มีความเสี่ยงสูง ในขณะที่ทองคำและโลหะมีค่าอื่นๆ อาจได้ประโยชน์จากการที่นักลงทุนแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง
ราคาพลังงานมีแนวโน้มที่จะยังคงผันผวนจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครนและอุปสงค์ทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ในสภาวะที่มีความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ นักลงทุนควรพิจารณาสินทรัพย์ที่มีโอกาสที่จะทนทานต่อความผันผวนหรือแม้แต่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว:
การลงทุนในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูงจำเป็นต้องมีการจัดการความเสี่ยงที่รอบคอบและการพิจารณากรอบเวลาการลงทุนอย่างระมัดระวัง:
การลงทุนระยะสั้น (1-3 เดือน):
การลงทุนระยะกลาง (3-12 เดือน):
การลงทุนระยะยาว (1-3 ปี):
นอกจากนี้ นักลงทุนควรพิจารณาใช้กลยุทธ์การเข้าลงทุนแบบทยอย (Dollar-Cost Averaging) ในช่วงที่มีความผันผวนสูง เพื่อลดความเสี่ยงจากการเข้าลงทุนในจังหวะที่ไม่เหมาะสม และควรกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่เหมาะสมเพื่อจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูงไม่ได้หมายถึงการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทั้งหมด แต่หมายถึงการเข้าใจและจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม รวมถึงการรักษาสภาพคล่องที่เพียงพอเพื่อรองรับโอกาสการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง
การตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.5% สะท้อนถึงความระมัดระวังท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่กำลังทวีความรุนแรงและการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นชั่วคราวเป็น 3.7% ในปี 2025
ในขณะที่เศรษฐกิจอังกฤษกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการหดตัว 0.1% ในเดือนมกราคม 2025 และความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับภาพรวมเศรษฐกิจ การประกาศเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม 25% จากทั่วโลก รวมถึงสหราชอาณาจักร สร้างความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อการส่งออก การจ้างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม
คณะกรรมการนโยบายการเงินของ BOE ได้ส่งสัญญาณว่าจะดำเนินนโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่าง “ค่อยเป็นค่อยไป” และ “ระมัดระวัง” ในช่วงที่เหลือของปี โดยการตัดสินใจในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการพัฒนาของปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ความสำเร็จในการลดเงินเฟ้อจากระดับสูงสุดที่มากกว่า 11% ในปี 2022 มาอยู่ใกล้เป้าหมาย 2% ในช่วงกลางปี 2024 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกรอบนโยบายการเงินและการดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพราคา
การประกาศนโยบายใหม่ด้านการใช้จ่ายสาธารณะของเยอรมนีเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจยุโรปและตลาดการเงินทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายที่สำคัญในประเทศที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจยุโรป
สำหรับนักลงทุน การบริหารความเสี่ยงและการระบุโอกาสในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูงเป็นสิ่งสำคัญ การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ การพิจารณากรอบเวลาการลงทุนอย่างเหมาะสม และการติดตามพัฒนาการของปัจจัยสำคัญอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้สามารถรับมือกับความผันผวนและอาจพบโอกาสในการลงทุนที่น่าสนใจท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้น
ในระยะกลางถึงระยะยาว มุมมองต่อเศรษฐกิจอังกฤษและเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูง แต่มีแนวโน้มและปัจจัยสำคัญที่ควรติดตาม:
เศรษฐกิจและนโยบายการเงิน: BOE คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นชั่วคราวในปี 2025 ก่อนที่จะลดลงสู่เป้าหมาย 2% ในระยะต่อไป ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจยังคงอ่อนแอในระยะสั้นจากผลกระทบของมาตรการภาษีใหม่และความไม่แน่นอนทางการค้า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี 2025 อาจช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะกลาง แต่ขึ้นอยู่กับการพัฒนาของปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะเงินเฟ้อและตลาดแรงงาน
การค้าระหว่างประเทศ: สงครามการค้าที่กำลังทวีความรุนแรงอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวต่อรูปแบบการค้าโลกและห่วงโซ่อุปทาน บริษัทต่างๆ อาจต้องปรับกลยุทธ์ด้านการจัดหาและการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการค้า สหราชอาณาจักรอาจต้องเร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับประเทศต่างๆ เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในระบบการค้าโลก
ผลิตภาพและการเติบโตในระยะยาว: ความกังวลเกี่ยวกับผลิตภาพแรงงานที่อ่อนแอในอังกฤษ โดยเฉพาะในภาคสาธารณะ เป็นประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว การเพิ่มผลิตภาพผ่านการลงทุนในเทคโนโลยี การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญในการยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจและมาตรฐานการครองชีพในระยะยาว
พลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับราคาพลังงานและการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานอาจกระตุ้นให้มีการลงทุนในพลังงานทางเลือกและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระยะยาวต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและรูปแบบการลงทุน
นักลงทุนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรติดตามปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินในอนาคต:
โดยสรุป แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนสูงในระยะสั้น แต่การเข้าใจปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและตลาดการเงิน การติดตามพัฒนาการของปัจจัยสำคัญอย่างใกล้ชิด และการปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างเหมาะสมจะช่วยให้นักลงทุนสามารถรับมือกับความผันผวนและอาจพบโอกาสในการลงทุนที่น่าสนใจท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้น การบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ การกระจายการลงทุน และการมีมุมมองระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญในการนำทางผ่านช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนนี้