หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาด CFD ในช่วงสัปดาห์ที่ 26 พฤษภาคม ถึง 1 มิถุนายน 2025 ประสบกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเกิดจากการปะทะกันระหว่างข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวกของสหรัฐอเมริกากับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ การเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนสถาบันท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน
ปัจจัยสำคัญที่สุดในสัปดาห์ที่ผ่านมาคือการประกาศข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคแบบ Personal Consumption Expenditures ของสหรัฐอเมริกาในเดือนเมษายน ซึ่งขยายตัวเพียง 2.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าการคาดการณ์เฉลี่ยที่ 2.2 เปอร์เซ็นต์อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 2.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเท่ากับการคาดการณ์ของตลาด ข้อมูลดังกล่าวสร้างความหวังให้กับนักลงทุนว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจมีพื้นที่ในการผ่อนคลายนโยบายการเงินในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ผลกระทบจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ยังไม่ส่งผลต่อผู้บริโภคอย่างเต็มรูปแบบตามที่คาดการณ์ไว้เดิม
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดเดือนพฤษภาคมด้วยผลงานที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ดัชนี S&P 500 บันทึกการเพิ่มขึ้น 6.2 เปอร์เซ็นต์สำหรับทั้งเดือน ซึ่งถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ดัชนี Nasdaq Composite แสดงความแข็งแกร่งยิ่งกว่าด้วยการเพิ่มขึ้น 9.6 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปรับตัวขึ้น 3.9 เปอร์เซ็นต์ ความแข็งแกร่งดังกล่าวเกิดจากการที่นักลงทุนมองข้ามความกลัวเกี่ยวกับสงครามการค้า โดยเฉพาะหลังจากมีการประกาศข้อตกลงการค้าเบื้องต้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
เงินบาทไทยเผชิญกับความผันผวนที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลายเดือน โดยแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่าเจ็ดเดือนครึ่งที่ 32.38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นสัปดาห์ ก่อนที่จะกลับมาอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงและสูญเสียการเพิ่มขึ้นทั้งหมดภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน การอ่อนค่าดังกล่าวเกิดจากการรวมตัวของปัจจัยหลายประการ ได้แก่ แรงขายทำกำไรจากการลงทุนในทองคำของนักลงทุนไทย การอ่อนค่าของสกุลเงินเอเชียโดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น และการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐจากความคาดหวังเกี่ยวกับการเจรจาการค้า
ในทิศทางตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นไทยประสบกับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,149.18 จุด ลดลง 2.31 เปอร์เซ็นต์จากสัปดาห์ก่อนหน้า แรงกดดันหลักมาจากความกังวลต่อประเด็นนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกาที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย การปรับ MSCI Rebalance ที่ทำให้เกิดการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ และแรงขายทำกำไรจากนักลงทุนภายในประเทศก่อนช่วงวันหยุดยาว บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,140 และ 1,120 จุด
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แสดงการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันตามลักษณะเฉพาะของแต่ละสินค้า ราคาทองคำปรับตัวลง 0.84 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ระดับ 3,289.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากแรงขายทำกำไรหลังจากที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างแรงในช่วงก่อนหน้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อสกุลเงินเอเชียที่มีการลงทุนในทองคำในสัดส่วนสูง น้ำมันดิบ WTI เผชิญกับแรงกดดันต่อเนื่อง โดยลดลง 15.42 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่ต้นปี 2025 มาอยู่ที่ระดับ 60.79 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์โลกที่อาจชะลอตัวและการเพิ่มขึ้นของการผลิตจากหลายประเทศ
Bitcoin แสดงสัญญาณการฟื้นตัวเล็กน้อยโดยปรับตัวขึ้น 0.29 เปอร์เซ็นต์ในรอบ 24 ชั่วโมงมาอยู่ที่ระดับ 104,497 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่าประมาณ 3.43 ล้านบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น การเคลื่อนไหวในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมาแสดงการเปลี่ยนแปลงเป็นบวก 2.83 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวเล็กน้อยของตลาดสกุลเงินดิจิทัลหลังจากช่วงของการปรับฐาน สกุลเงินดิจิทัลอื่นมีการเคลื่อนไหวผสมผสาน โดย Ethereum ปรับลง 0.42 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ XRP และ Binance Coin แสดงการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของตลาดการเงินโลกที่ต้องเผชิญกับปัจจัยขัดแย้งหลายประการพร้อมกัน การที่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกายังคงแข็งแกร่งท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของระบบการเงินอเมริกัน แต่การเผชิญแรงกดดันของตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยเตือนใหให้นักลงทุนใส่ใจถึงความเสี่ยงจากการไหลออกของเงินทุนต่างชาติและผลกระทบจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ยังคงไม่แน่นอน
สัปดาห์หน้าเต็มไปด้วยเหตุการณ์เศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของตลาด CFD โดยเฉพาะการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปและรายงานตลาดแรงงานสหรัฐอเมริกาที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของนโยบายการเงินโลก นักเทรดควรให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ต่อไปนี้
06:50 Capital Spending (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: -0.2% ค่าพยากรณ์: 3.8%
07:00 FOMC Member Waller Speaks (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) การปราศรัยของสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอเมริกา
07:30 Final Manufacturing PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 49.0 ค่าพยากรณ์: 49.0
08:00 MI Inflation Gauge (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.6%
08:30 ANZ Job Advertisements (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.5%
13:00 Nationwide HPI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: -0.6% ค่าพยากรณ์: 0.0%
13:30 Commodity Prices (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: -6.1%
14:15 Spanish Manufacturing PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 48.1 ค่าพยากรณ์: 48.3
14:30 Manufacturing PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 45.8 ค่าพยากรณ์: 48.1
14:45 Italian Manufacturing PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 49.3 ค่าพยากรณ์: 49.5
14:50 French Final Manufacturing PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 49.5 ค่าพยากรณ์: 49.5
14:55 German Final Manufacturing PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 48.8 ค่าพยากรณ์: 48.8
15:00 Final Manufacturing PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 49.4 ค่าพยากรณ์: 49.4
15:30 Final Manufacturing PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 45.1 ค่าพยากรณ์: 45.1
20:30 Manufacturing PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 45.3
20:45 Final Manufacturing PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 52.3 ค่าพยากรณ์: 52.3
21:00 ISM Manufacturing PMI (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 48.7 ค่าพยากรณ์: 49.3
21:15 FOMC Member Logan Speaks (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) การปราศรัยของสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอเมริกา
23:45 FOMC Member Goolsbee Speaks (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) การปราศรัยของสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอเมริกา
00:00 Fed Chair Powell Speaks (ระดับผลกระทบ: สูง) การปราศรัยของประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา
04:30 MPC Member Mann Speaks (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) การปราศรัยของสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินอังกฤษ
05:45 Overseas Trade Index (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 3.1% ค่าพยากรณ์: 3.6%
06:50 Monetary Base (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: -4.8% ค่าพยากรณ์: -4.2%
08:30 Monetary Policy Meeting Minutes (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) รายงานการประชุมนโยบายการเงินธนาคารกลางออสเตรเลีย
13:30 CPI (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.0% ค่าพยากรณ์: 0.2%
21:00 JOLTS Job Openings (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 7.19M
23:15 Gov Board Member Tschudin Speaks (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) การปราศรัยของสมาชิกคณะกรรมการธนาคารกลางสวิส
23:45 FOMC Member Goolsbee Speaks (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) การปราศรัยของสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอเมริกา
02:30 FOMC Member Logan Speaks (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) การปราศรัยของสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอเมริกา
08:30 GDP (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.6% ค่าพยากรณ์: 0.4%
14:15 Spanish Services PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 53.4 ค่าพยากรณ์: 53.0
14:45 Italian Services PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 52.9 ค่าพยากรณ์: 52.1
14:50 French Final Services PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 47.4 ค่าพยากรณ์: 47.4
14:55 German Final Services PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 47.2 ค่าพยากรณ์: 47.2
15:00 Final Services PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 48.9 ค่าพยากรณ์: 48.9
15:30 Final Services PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 50.2 ค่าพยากรณ์: 50.2
19:15 ADP Non-Farm Employment Change (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 62K ค่าพยากรณ์: 110K
19:30 Labor Productivity (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.4% ค่าพยากรณ์: 0.6%
20:45 BOC Rate Statement (ระดับผลกระทบ: สูง) การประกาศอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางแคนาดา
20:45 Overnight Rate (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 2.75% ค่าพยากรณ์: 2.50%
20:45 Final Services PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 52.3 ค่าพยากรณ์: 52.3
21:00 ISM Services PMI (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 51.6 ค่าพยากรณ์: 52.0
21:30 BOC Press Conference (ระดับผลกระทบ: สูง) การแถลงข่าวธนาคารกลางแคนาดา
21:30 Crude Oil Inventories (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: -2.8M
01:00 Beige Book (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) รายงานสภาพเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
06:30 Average Cash Earnings (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 2.3% ค่าพยากรณ์: 2.6%
08:00 ANZ Commodity Prices (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.0%
08:30 Goods Trade Balance (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 6.90B ค่าพยากรณ์: 6.05B
08:45 Caixin Services PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 50.7 ค่าพยากรณ์: 51.1
10:35 30-y Bond Auction (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 2.94|3.1
11:20 Gov Council Member Kozicki Speaks (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) การปราศรัยของสมาชิกคณะกรรมการธนาคารกลางแคนาดา
12:45 Unemployment Rate (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 2.8% ค่าพยากรณ์: 2.8%
13:00 German Factory Orders (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: -1.1% ค่าพยากรณ์: 3.6%
14:45 MPC Member Greene Speaks (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) การปราศรัยของสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินอังกฤษ
15:00 Italian Retail Sales (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.2% ค่าพยากรณ์: -0.5%
15:30 Construction PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 46.6 ค่าพยากรณ์: 47.2
16:00 PPI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: -1.8% ค่าพยากรณ์: -1.6%
18:30 Challenger Job Cuts (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 62.7%
19:15 Main Refinancing Rate (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 2.40% ค่าพยากรณ์: 2.15%
19:15 Monetary Policy Statement (ระดับผลกระทบ: สูง) การประกาศนโยบายการเงินธนาคารกลางยุโรป
19:30 Trade Balance (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.2B ค่าพยากรณ์: -0.5B
19:30 Unemployment Claims (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 240K ค่าพยากรณ์: 232K
19:30 Revised Nonfarm Productivity (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: -0.8% ค่าพยากรณ์: -0.8%
19:30 Revised Unit Labor Costs (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 5.7% ค่าพยากรณ์: 5.7%
19:30 Trade Balance (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: -140.5B ค่าพยากรณ์: -117.2B
19:45 ECB Press Conference (ระดับผลกระทบ: สูง) การแถลงข่าวธนาคารกลางยุโรป
21:00 Ivey PMI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 47.9 ค่าพยากรณ์: 48.3
21:30 Natural Gas Storage (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 101B
23:00 FOMC Member Kugler Speaks (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) การปราศรัยของสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอเมริกา
00:30 FOMC Member Barker Speaks (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) การปราศรัยของสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอเมริกา
06:30 Household Spending (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 1.6% ค่าพยากรณ์: 2.1%
12:00 Leading Indicators (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 104.1% ค่าพยากรณ์: 108.1%
13:00 German Industrial Production (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: -0.9% ค่าพยากรณ์: 3.0%
13:00 German Trade Balance (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 20.2B ค่าพยากรณ์: 21.1B
13:00 Halifax HPI (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.4% ค่าพยากรณ์: 0.3%
13:45 French Industrial Production (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.0% ค่าพยากรณ์: 0.2%
13:45 French Trade Balance (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: -6.0B ค่าพยากรณ์: -6.2B
14:00 Foreign Currency Reserves (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 703B
16:00 Final Employment Change (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.3% ค่าพยากรณ์: 0.3%
16:00 Retail Sales (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.2% ค่าพยากรณ์: -0.1%
16:00 Revised GDP (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.4% ค่าพยากรณ์: 0.3%
19:30 Employment Change (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 7.4K
19:30 Unemployment Rate (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 6.9%
19:30 Average Hourly Earnings (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 0.3% ค่าพยากรณ์: 0.2%
19:30 Non-Farm Employment Change (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 177K ค่าพยากรณ์: 130K
19:30 Unemployment Rate (ระดับผลกระทบ: สูง) ข้อมูลก่อนหน้า: 4.2% ค่าพยากรณ์: 4.2%
02:00 Consumer Credit (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) ข้อมูลก่อนหน้า: 10.2B
14:30 ECB President Lagarde Speaks (ระดับผลกระทบ: ปานกลาง) การปราศรัยของประธานธนาคารกลางยุโรป
สัปดาห์ที่ 2-8 มิถุนายน 2025 จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ตลาดการเงินโลกต้องเผชิญกับเหตุการณ์หลักสี่ประการที่มีศักยภาพในการสร้างความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์เชิงลึกของแต่ละเหตุการณ์และการประเมินผลกระทบต่อเนื่องจะช่วยให้นักเทรดสามารถเตรียมกลยุทธ์ที่เหมาะสมและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การประชุมของธนาคารกลางยุโรปในวันที่ 4-5 มิถุนายนคาดว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบายการเงินในยูโรโซน โดยตลาดมีความคาดหวังสูงถึง 85 เปอร์เซ็นต์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยหลัก 25 จุดฐานจากระดับปัจจุบันที่ 2.40 เปอร์เซ็นต์สู่ระดับ 2.15 เปอร์เซ็นต์ การตัดสินใจนี้มีพื้นฐานมาจากการชะลอตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจในยูโรโซนที่สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตที่ยังคงอยู่ใต้เส้น 50 จุดติดต่อกันหลายเดือน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ลดลงสู่ระดับ 2.4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของธนาคารกลาง
ผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปจะส่งผลในหลายมิติ คู่สกุลเงิน EUR/USD คาดว่าจะเผชิญแรงกดดันขาลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะหากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกายังคงรักษาท่าทีเข้มงวดต่อนโยบายการเงิน ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น และอาจผลักดันให้เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์ที่อิงกับเงินยูโรไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา
ตลาดพันธบัตรรัฐบาลยุโรปคาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงบวกในระยะสั้น เนื่องจากการลดดอกเบี้ยจะเพิ่มความน่าสนใจของพันธบัตรที่มีอายุยาวขึ้น อย่างไรก็ตาม หากการลดดอกเบี้ยสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกำไรของบริษัท การแถลงข่าวของประธานลาการ์ดหลังการประชุมจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางระยะกลางของตลาด
รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 6 มิถุนายนจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในการประชุมเดือนกรกฎาคม ตลาดคาดการณ์ว่าจำนวนการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 130,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขเดือนก่อนหน้าที่ 177,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานคาดว่าจะคงที่ที่ระดับ 4.2 เปอร์เซ็นต์
ความสำคัญของรายงานนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากในบริบทปัจจุบัน เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกายังคงมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อแม้ว่าข้อมูลล่าสุดจะแสดงสัญญาณการชะลอตัว หากตัวเลขการจ้างงานออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด อาจเสริมความเชื่อมั่นของเฟดในการรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป ในทางตรงกันข้าม หากตัวเลขออกมาอ่อนแอกว่าคาด อาจเพิ่มแรงกดดันให้เฟดพิจารณาลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจะขึ้นอยู่กับการตีความของนักลงทุน หากตัวเลขการจ้างงานแสดงถึงความสมดุลที่เหมาะสม โดยไม่แข็งแกร่งจนเกินไปที่จะกระตุ้นเงินเฟ้อ แต่ก็ไม่อ่อนแอจนเกินไปที่จะสร้างความกังวลเกี่ยวกับการถดถอย ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะตอบสนองในทางบวก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปเข้าสู่ช่วงที่มีความซับซ้อนและความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ขยายกำหนดเวลาการเจรจาจากวันที่ 1 มิถุนายนไปจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 การตัดสินใจนี้แม้จะให้เวลาเพิ่มเติมสำหรับการเจรจา แต่ก็สร้างความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้อออกไปซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
การประกาศของทรัมป์เกี่ยวกับการเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากสหภาพยุโรปเป็นสองเท่าจาก 25 เปอร์เซ็นต์เป็น 50 เปอร์เซ็นต์เพิ่มความตึงเครียดให้กับการเจรจา แม้ว่าสหภาพยุโรปจะได้รับข้อได้เปรียบบางประการจากการที่ศาลการค้าสหรัฐอเมริกาตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมของภาษี reciprocal ของทรัมป์ ซึ่งอาจเป็นจุดต่อรองในการเจรจา
ผลกระทบต่อตลาดจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการเจรจา หากมีความคืบหน้าเชิงบวกหรือการบรรลุข้อตกลงเบื้องต้น คาดว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากภาษีโดยตรง ในทางตรงกันข้าม หากการเจรจาไม่มีความคืบหน้าหรือเกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนจากตลาดยุโรปไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยหรือตลาดอื่น
การประชุมรอบที่สองของการเจรจาสันติภาพยูเครน-รัสเซียที่กำหนดจะจัดขึ้นในอิสตันบูลในวันที่ 2 มิถุนายนเป็นเหตุการณ์ที่มีศักยภาพสร้างความผันผวนสูงต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะตลาดพลังงาน แม้ว่าจะมีสัญญาณเบื้องต้นที่ไม่ค่อยสร้างความหวัง เนื่องจากยูเครนยังไม่ได้รับเอกสารข้อเสนอจากรัสเซียล่วงหน้า และประธานาธิบดีเซเลนสกี้แสดงความสงสัยเกี่ยวกับเจตนาจริงของมอสโก
ความสำคัญของการเจรจานี้ต่อตลาดพลังงานไม่สามารถมองข้ามได้ เนื่องจากความขัดแย้งในยูเครนส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการจัดหาพลังงานของยุโรปและการไหลของสินค้าเกษตรจากภูมิภาคทะเลดำ หากการเจรจาบรรลุข้อตกลงหยุดยิงหรือมีความคืบหน้าเชิงบวก คาดว่าราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจะปรับตัวลดลงจากการลดความเสี่ยงด้านอุปทาน ในทางตรงกันข้าม หากการเจรจาล้มเหลวหรือเกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้ราคาพลังงานพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลกระทบรองจากการเจรจาจะส่งผลต่อสกุลเงินของประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรูเบิลรัสเซียและฮรีฟเนียยูเครน รวมถึงสกุลเงินของประเทศยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงาน นอกจากนี้ ตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์
การรวมตัวของเหตุการณ์สำคัญทั้งสี่ประการในช่วงเวลาใกล้เคียงกันจะสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนสูงและความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นสำหรับการไหลของเงินทุนระหว่างประเทศ หากธนาคารกลางยุโรปลดดอกเบี้ยขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกายังคงรักษาท่าทีเข้มงวด คาดว่าจะเกิดการไหลของเงินทุนจากยุโรปไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นและสร้างแรงกดดันต่อสกุลเงินเกิดใหม่
ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและตลาดเกิดใหม่อื่นอาจเผชิญกับแรงกดดันจากการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ โดยเฉพาะหากความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้าและการเจรจาสันติภาพสร้างความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย นักลงทุนสถาบันอาจปรับลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและเพิ่มการถือครองเงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
การประเมินสถานะทางเทคนิคและความรู้สึกของตลาดในปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมการลงทุนที่มีความซับซ้อน โดยตัวชี้วัดหลักส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันระหว่างความเชื่อมั่นในระยะสั้นและความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในระยะกลาง การวิเคราะห์เชิงลึกของตัวชี้วัดทางเทคนิคและ Market Sentiment จะช่วยให้นักเทรดสามารถกำหนดจุดเข้าและออกจากตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดัชนี VIX ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2025 อยู่ที่ระดับ 18.57 จุด ลดลง 3.18 เปอร์เซ็นต์จากวันก่อนหน้า แต่ยังคงสูงขึ้น 28.33 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ระดับปัจจุบันแม้จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว แต่การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในรอบปีสะท้อนถึงความกังวลที่สะสมเกี่ยวกับความไม่แน่นอนเชิงนโยบายการค้าและทิศทางอัตราดอกเบี้ย การมี Open Interest ใน VIX Futures สำหรับเดือนมิถุนายนสูงถึง 116,444 สัญญาชี้ให้เห็นถึงการเก็งกำไรความผันผวนในระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น
ดัชนี Fear & Greed ของ CNN ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 65.17 ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2025 ซึ่งอยู่ในโซน Greed หลังจากฟื้นตัวจากระดับ 3 ในเดือนเมษายนที่สะท้อนภาวะ Extreme Fear การฟื้นตัวดังกล่าวสัมพันธ์กับข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกาที่ดีกว่าคาดการณ์และการชะลอตัวของมาตรการภาษีจากการขยายเวลาเจรจาการค้า อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างตัวชี้วัดต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ในตลาด
อัตราส่วน Put/Call ของ CBOE ณ วันที่ 30 พฤษภาคมอยู่ที่ระดับ 0.57 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหนึ่งปีก่อนหน้า 34.48 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อยที่หันมาใช้กลยุทธ์ Long Call เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในหุ้นเทคโนโลยีและกลุ่ม Cyclical ขณะที่ SPX Put/Call Ratio ยังอยู่ที่ระดับ 1.19 แสดงการเฮดจ์ความเสี่ยงของนักลงทุนสถาบันในดัชนีกว้างยังคงมีอยู่
คู่สกุลเงิน EUR/USD ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 1.1345 และแสดงสัญญาณทางเทคนิคที่น่าสนใจหลายประการ ตัวชี้วัด RSI อยู่ที่ระดับ 70.19 ซึ่งเข้าสู่เขต Overbought และส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการปรับฐานที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม MACD ยังคงแสดงสัญญาณ Bullish ที่ 0.0016 ซึ่งสร้างความขัดแย้งในการตีความแนวโน้มระยะสั้น เส้น Moving Average แสดงให้เห็นว่า SMA-50 อยู่ที่ระดับ 1.13556 และ EMA-200 อยู่ที่ระดับ 1.13362 ซึ่งราคาปัจจุบันอยู่เหนือเส้นเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้งสองเส้น
แนวรับสำคัญของ EUR/USD อยู่ที่ระดับ 1.1345-1.1360 ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการซื้อขายหนาแน่นในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่แนวต้านหลักอยู่ที่ระดับ 1.1380-1.1400 การทะลุแนวต้านดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้ราคาเคลื่อนขึ้นสู่ระดับ 1.1450 ในขณะที่การหลุดแนวรับอาจนำราคาลงสู่ระดับ 1.1280-1.1300
คู่สกุลเงิน USD/JPY แสดงภาพทางเทคนิคที่แตกต่าง โดยมี RSI ที่ระดับ 29.85 ซึ่งเข้าสู่เขต Oversold และส่งสัญญาณถึงโอกาสการฟื้นตัว MACD อยู่ที่ระดับ 0.308 ยังคงในโซนบวกแม้ว่าจะมีแนวโน้มลดลง แนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 142.99-142.59 ขณะที่แนวต้านหลักอยู่ที่ระดับ 145.66-146.28 การที่ราคาปัจจุบันอยู่ใกล้แนวรับและมี RSI ใน Oversold Zone ทำให้มีโอกาสเกิด Technical Rebound
ดัชนี S&P 500 แสดงภาพทางเทคนิคที่แข็งแกร่งด้วย RSI ที่ระดับ 60.53 ซึ่งอยู่ในโซน Bullish แต่ยังไม่เข้าสู่เขต Overbought MACD อยู่ที่ระดับ 89.89 ส่งสัญญาณ Bullish ที่ชัดเจน เส้น Moving Average แสดงโครงสร้างที่เป็นบวก โดย SMA-50 อยู่ที่ระดับ 5,605.07 และ EMA-200 อยู่ที่ระดับ 5,787.64 แนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 5,820.85 ซึ่งเป็นระดับ 20-day SMA ขณะที่แนวต้านหลักอยู่ที่ระดับ 6,058.92 ตาม Upper Bollinger Band
ดัชนี Nasdaq 100 มีลักษณะทางเทคนิคที่น่าสนใจด้วย RSI ที่ระดับ 52.749 ซึ่งอยู่ในโซน Neutral และมีพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหวในทั้งสองทิศทาง MACD อยู่ที่ระดับ 24.32 ยังคงส่งสัญญาณ Bullish แนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 21,335.59 ตาม EMA-20 ขณะที่แนวต้านหลักอยู่ที่ระดับ 21,389.72 ตาม R3 Pivot การทะลุแนวต้านนี้จะยืนยันความแข็งแกร่งต่อเนื่องของกลุ่มเทคโนโลยี
ราคาทองคำแสดงสถานะทางเทคนิคที่มีความซับซ้อน โดย RSI อยู่ที่ระดับ 88.35 ซึ่งเข้าสู่เขต Overbought อย่างชัดเจนและส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการปรับฐาน อย่างไรก็ตาม MACD ยังคงอยู่ที่ระดับ 3,324.45 ในโซนบวก แสดงถึงแนวโน้มระยะยาวที่ยังคงเป็นบวก เส้น Moving Average แสดงโครงสร้างขาขึ้น โดย SMA-50 อยู่ที่ระดับ 3,318.77 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ EMA-200 อยู่ที่ระดับ 3,133.62 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับสำคัญของทองคำอยู่ที่ระดับ 3,280-3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นบริเวณที่เคยมีการทดสอบแล้วในอดีต ขณะที่แนวต้านหลักอยู่ที่ระดับ 3,340-3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การที่ RSI อยู่ใน Overbought Zone อาจส่งผลให้เกิดการปรับฐานสู่แนวรับก่อนที่จะมีการฟื้นตัวต่อไป
Bitcoin แสดงภาพทางเทคนิคที่สมดุลด้วย RSI ที่ระดับ 43.55 ซึ่งอยู่ในโซน Neutral และมีพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหวในทั้งสองทิศทาง MACD อยู่ที่ระดับ 513.77 แสดงความผันผวนในระดับปานกลาง เส้น Moving Average แสดงให้เห็นว่า SMA-200 อยู่ที่ระดับ 86,153.27 ดอลลาร์สหรัฐ และ EMA-50 อยู่ที่ระดับ 94,087.55 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งราคาปัจจุบันอยู่เหนือเส้นเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้งสองเส้นอย่างชัดเจน
แนวรับสำคัญของ Bitcoin อยู่ที่ระดับ 109,547.1-109,675.8 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่แนวต้านหลักอยู่ที่ระดับ 110,037-110,464.9 ดอลลาร์สหรัฐ การยืนเหนือระดับ 110,000 ดอลลาร์สหรัฐจะส่งสัญญาณเชิงบวกสำหรับแนวโน้มระยะกลาง โดยเฉพาะหากตลาดเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่งต่อไป
การวิเคราะห์โมเมนตัมรวมจากตัวชี้วัดต่างๆ แสดงให้เห็นถึงสภาพตลาดที่แตกออกเป็นสองกระแส นักลงทุนรายย่อยมีแนวโน้มมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์ Long Call ในหุ้นเดี่ยว ซึ่งเห็นได้จาก Equity Put/Call Ratio ที่ต่ำ ขณะที่นักลงทุนสถาบันยังคงใช้กลยุทธ์ Protective Put ในดัชนีกว้าง ซึ่งสะท้อนผ่าน SPX Put/Call Ratio ที่สูง
ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นใน SPY และ QQQ ETF ควบคู่กับ VIX ที่ยังอยู่ในระดับปานกลางชี้ให้เห็นถึงสภาวะ Greed with Caution โดยนักลงทุนสถาบันยังคงรอสัญญาณที่ชัดเจนจากธนาคารกลางและความคืบหน้าของการเจรจาการค้า การเคลื่อนไหวของตลาดในสัปดาห์หน้าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสามประการ ได้แก่ การทะลุระดับ 590 ดอลลาร์ใน SPY ร่วมกับปริมาณซื้อขายที่เกิน 100 ล้านหุ้นต่อวัน การเคลื่อนไหวของ VIX Futures หากทะลุ 22 จุดอาจส่งสัญญาณการปรับฐาน และการกลับมาของ Bearish Sentiment ใน AAII Survey หากเกิน 55 เปอร์เซ็นต์อาจเป็นสัญญาณซื้อในทิศทางตรงข้าม
การเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างตลาดการเงินต่างๆ เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่ตลาดมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้นจากการพัฒนาของเทคโนโลジีและการรวมตัวของระบบการเงินโลก การวิเคราะห์ความสัมพันธ์เหล่านี้ร่วมกับการประเมินปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคจะช่วยให้นักเทรดสามารถระบุโอกาสการสร้างผลตอบแทนที่มีความเสี่ยงที่เหมาะสมในสัปดาห์ข้างหน้า
ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและราคาทองคำยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่นักเทรดต้องติดตาม โดยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เชิงลบในช่วง 30 วันที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ -0.82 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบผกผันที่แข็งแกร่ง การที่เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะรักษาท่าทีเข้มงวดต่อนโยบายการเงิน ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปมีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ทองคำอาจเผชิญแรงกดดันในระยะสั้น แม้ว่าปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์จะยังคงให้การสนับสนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ความเชื่อมโยงระหว่าง Bitcoin และดัชนี Nasdaq 100 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ในเดือนมีนาคม 2025 อยู่ที่ระดับ 0.70 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสองปี การเพิ่มขึ้นของความสัมพันธ์นี้เกิดจากการที่ Bitcoin กำลังเปลี่ยนสถานะจากสินทรัพย์ทางเลือกสู่ดิจิทัลโกลด์ที่เชื่อมโยงกับสภาพคล่องโลก ความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้การเคลื่อนไหวของตลาดเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางของ Bitcoin มากขึ้น
ตลาดหุ้นเอเชียแสดงความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นกับตลาดสหรัฐอเมริกาในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยดัชนี SET ของไทยมีสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์กับ S&P 500 เพิ่มจาก 0.28 ในภาวะปกติเป็น 0.65 ในช่วงวิกฤตการค้า ขณะที่ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นมีสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ 30 วันกับ S&P 500 สูงถึง 0.90 ซึ่งสะท้อนการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันจากนโยบายการเงินและการไหลเข้าของเงินทุนสถาบัน
คู่สกุลเงิน EUR/USD นำเสนอโอกาสการเทรดที่น่าสนใจจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรปจะลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดฐานในการประชุมวันที่ 4-5 มิถุนายน ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกายังคงรักษาท่าทีระมัดระวัง การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่าคู่สกุลเงินนี้อยู่ในภาวะ Overbought ด้วย RSI ที่ระดับ 70.19 ซึ่งเพิ่มโอกาสของการปรับฐาน
กลยุทธ์การเทรดที่แนะนำคือการขายคู่สกุลเงิน EUR/USD ที่ระดับปัจจุบัน 1.1345 หรือใกล้แนวต้านที่ 1.1380 ด้วยเป้าหมายราคาที่ระดับ 1.1280-1.1300 และการตั้ง Stop Loss ที่ระดับ 1.1400 เพื่อจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่ธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจไม่ลดอัตราดอกเบี้ยตามคาด อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนของกลยุทธ์นี้อยู่ที่ประมาณ 1:1.3 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่เหมาะสมสำหรับการเทรดระยะสั้นถึงกลาง
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกานำเสนอโอกาสการซื้อในช่วงการปรับฐานที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการเพิ่มขึ้นอย่างแรงในเดือนพฤษภาคม การวิเคราะห์ทางเทคนิคของดัชนี S&P 500 แสดงให้เห็นว่ายังมีพื้นที่สำหรับการเพิ่มขึ้นต่อไป โดย RSI อยู่ที่ระดับ 60.53 ซึ่งอยู่ในโซนบวกแต่ยังไม่เข้าสู่เขต Overbought รายงานตลาดแรงงานสหรัฐอเมริกาที่จะประกาศในวันที่ 6 มิถุนายนจะเป็นตัวกำหนดทิศทางสำคัญ
แนวทางการเทรดที่แนะนำคือการรอการปรับฐานของตลาดในช่วง 2-3 วันแรกของสัปดาห์ก่อนพิจารณาซื้อ SPDR S&P 500 ETF ในราคาที่ต่ำกว่าระดับปัจจุบัน 2-3 เปอร์เซ็นต์ เป้าหมายราคาสำหรับ ETF นี้อยู่ที่ระดับ 600-605 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับการทดสอบ Upper Bollinger Band ที่ระดับ 6,058.92 จุดของดัชนีหลัก การตั้ง Stop Loss ที่ระดับ 570 ดอลลาร์สหรัฐจะช่วยจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่ตลาดเผชิญแรงขายจากปัจจัยลบที่ไม่คาดคิด
สำหรับดัชนี Nasdaq 100 ที่แสดงความแข็งแกร่งของกลุ่มเทคโนโลยี การซื้อ Invesco QQQ Trust ETF ในช่วงการปรับฐานสู่ระดับ 470-475 ดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเป้าหมายที่ระดับ 485-490 ดอลลาร์สหรัฐและ Stop Loss ที่ 460 ดอลลาร์สหรัฐจะให้อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่น่าสนใจ
ทองคำยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนจากการเจรจาสันติภาพยูเครน-รัสเซียและการเจรจาการค้าสหรัฐอเมริกา-สหภาพยุโรป แม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะแสดงให้เห็นว่าทองคำอยู่ในภาวะ Overbought ด้วย RSI ที่ระดับ 88.35 แต่ปัจจัยพื้นฐานยังคงให้การสนับสนุนระยะกลาง
กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมคือการรอซื้อทองคำในช่วงการปรับฐานสู่ระดับ 3,250-3,270 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นบริเวณแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญ เป้าหมายราคาอยู่ที่ระดับ 3,350-3,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญที่ประเมินราคาปิดเฉลี่ยในเดือนมิถุนายนที่ 3,280 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ การตั้ง Stop Loss ที่ระดับ 3,220 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์จะช่วยจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่เกิดการลดความตึงเครียดทางการเมืองอย่างกะทันหัน
ตลาดน้ำมันดิบ WTI นำเสนอโอกาสการเทรดขาขึ้นจากความเสี่ยงด้านอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากหลายปัจจัย ราคาปัจจุบันที่ระดับ 60.79 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อพิจารณาจากความเป็นไปได้ของการหยุดชะงักของอุปทานจากเหตุการณ์ทางการเมืองในหลายภูมิภาค การที่การเจรจาสันติภาพยูเครน-รัสเซียมีโอกาสล้มเหลวสูง และความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ยังคงอยู่ สร้างปัจจัยสนับสนุนสำหรับราคาน้ำมัน
แนวทางการเทรดที่แนะนำคือการซื้อน้ำมันดิบ WTI ในช่วงราคา 59-61 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ด้วยเป้าหมายระยะสั้นที่ระดับ 68-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และเป้าหมายระยะกลางที่ระดับ 72-75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลหากเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่ออุปทานอย่างจริงจัง การตั้ง Stop Loss ที่ระดับ 57 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจะช่วยป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่สถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายและลดความกังวลด้านอุปทาน
Bitcoin นำเสนอโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจจากความเชื่อมโยงที่เพิ่มขึ้นกับตลาดเทคโนโลยี การที่สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์กับดัชนี Nasdaq 100 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 0.70 ทำให้การเคลื่อนไหวของ Bitcoin มีแนวโน้มสอดคล้องกับทิศทางของตลาดหุ้นเทคโนโลยีมากขึ้น ราคาปัจจุบันที่ระดับ 104,497 ดอลลาร์สหรัฐอยู่ในช่วงที่มีโอกาสสำหรับการเพิ่มขึ้นต่อไป โดยเฉพาะหากตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกายังคงแข็งแกร่ง
กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมคือการซื้อ Bitcoin ในช่วงการปรับฐานสู่ระดับ 100,000-102,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นบริเวณแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญ เป้าหมายราคาระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 110,000-112,000 ดอลลาร์สหรัฐ และเป้าหมายระยะกลางที่ระดับ 115,000-120,000 ดอลลาร์สหรัฐหากตลาดเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกายังคงแสดงความแข็งแกร่ง การตั้ง Stop Loss ที่ระดับ 95,000 ดอลลาร์สหรัฐจะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการดิ่งลงอย่างกะทันหันที่อาจเกิดขึ้นได้ในตลาดสกุลเงินดิจิทัล
การจัดการความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงต้องอาศัยหลักการที่เข้มงวดและการวางแผนที่รอบคอบ โดยเฉพาะในสัปดาห์ที่มีเหตุการณ์สำคัญหลายประการที่อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันต่อทิศทางตลาด การประยุกต์ใช้หลักการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมจะช่วยให้นักเทรดสามารถรักษาเงินทุนและสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
การกำหนดขนาดการลงทุนที่เหมาะสมเป็นรากฐานสำคัญของการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นสัปดาห์หน้า นักเทรดควรจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดหนึ่งครั้งไม่เกินสองเปอร์เซ็นต์ของเงินทุนรวม และความเสี่ยงรวมของพอร์ตโฟลิโอไม่เกินสิบเปอร์เซ็นต์ หลักการนี้จะช่วยป้องกันการสูญเสียเงินทุนจำนวนมากจากเหตุการณ์เดียว แม้ว่าการคาดการณ์จะผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง
การใช้คำสั่ง Stop Loss อย่างเป็นระบบถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมความเสี่ยง สำหรับการเทรดระยะสั้นในช่วงที่มีข่าวสำคัญ ระดับ Stop Loss ควรตั้งใกล้กับราคาเข้าตลาดมากกว่าปกติเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้น โดยทั่วไปควรตั้ง Stop Loss ที่ระยะห่างหนึ่งถึงหนึ่งจุดครึ่งของ Average True Range ในช่วงสิบสี่วันที่ผ่านมา เพื่อให้สมดุลระหว่างการป้องกันความเสี่ยงและการหลีกเลี่ยงการถูกตัดออกจากตลาดด้วยความผันผวนปกติ
การกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์หลายประเภทและหลายตลาดจะช่วยลดผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อตลาดเฉพาะ การผสมผสานการลงทุนในสกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น และสกุลเงินดิจิทัลจะสร้างการป้องกันธรรมชาติเนื่องจากสินทรัพย์เหล่านี้มักมีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์เดียวกันในทิศทางที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม นักเทรดต้องระมัดระวังไม่ให้การกระจายความเสี่ยงมากเกินไปจนขาดการมุ่งเน้นและลดประสิทธิภาพของการเทรด
การวางแผนสำหรับสถานการณ์หลายแบบเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่มีผลลัพธ์ไม่แน่นอน สำหรับการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป นักเทรดควรเตรียมแผนสำหรับสามสถานการณ์หลัก ได้แก่ การลดอัตราดอกเบี้ยตามคาดการณ์ การลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าคาด และการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ แต่ละสถานการณ์จะส่งผลกระทบต่อคู่สกุลเงิน EUR/USD และสินทรัพย์อื่นในทิศทางที่แตกต่างกัน การเตรียมแผนการซื้อขายสำหรับแต่ละกรณีจะช่วยให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
สำหรับรายงานตลาดแรงงานสหรัฐอเมริกา การเตรียมแผนสำหรับผลลัพธ์ที่ดีกว่าคาด ตามคาด และแย่กว่าคาดเป็นสิ่งสำคัญ หากตัวเลขออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด อาจส่งผลให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นในระยะสั้นแต่เผชิญแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากตัวเลขออกมาอ่อนแอ อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงจากความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่อาจเป็นผลดีต่อตลาดพันธบัตรจากความคาดหวังการลดอัตราดอกเบี้ย
การเจรจาทางการเมืองทั้งในส่วนของการค้าสหรัฐอเมริกา-สหภาพยุโรปและการเจรจาสันติภาพยูเครน-รัสเซียมีลักษณะที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้แม่นยำ การเตรียมแผนสำหรับการพัฒนาในทิศทางบวก เป็นกลาง และลบจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสหรือป้องกันความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม การติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและการเตรียมคำสั่งซื้อขายสำรองจะช่วยให้สามารถดำเนินการได้ทันทีเมื่อมีการพัฒนาที่สำคัญ
การใช้ตัวเลือกการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์ การซื้อ Put Options สำหรับดัชนีหุ้นที่ถือครองจะสร้างการประกันภัยต่อการปรับตัวลงที่อาจเกิดขึ้นจากข่าวลบ ขณะที่การขาย Covered Calls สำหรับตำแหน่งหุ้นระยะยาวจะสร้างรายได้เพิ่มเติมและลดต้นทุนการถือครอง แม้ว่าจะจำกัดผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของราคา
การใช้เครื่องมือ Volatility Trading เช่นการซื้อ VIX Call Options หรือการลงทุนใน Volatility ETF สามารถสร้างผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของความผันผวนโดยไม่ต้องคาดการณ์ทิศทางของตลาด วิธีนี้เหมาะสำหรับช่วงที่คาดว่าจะมีข่าวสำคัญแต่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับผลกระทบต่อทิศทางราคา อย่างไรก็ตาม เครื่องมือเหล่านี้มีความซับซ้อนสูงและต้องการความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของความผันผวน
การใช้กลยุทธ์ Correlation Hedging โดยการถือครองสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์เชิงลบกันจะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตโฟลิโอ ตัวอย่างเช่น การถือครองทั้งทองคำและดัชนีดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในสัดส่วนที่เหมาะสมจะสร้างการป้องกันธรรมชาติเนื่องจากทั้งสองมีความสัมพันธ์เชิงลบที่แข็งแกร่ง การเข้าใจและใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์เหล่านี้ต้องอาศัยการติดตามและการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง
การรักษาสภาพคล่องที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง นักเทรดควรเก็บเงินสดสำรองอย่างน้อยสิบห้าถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของพอร์ตโฟลิโอเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นหรือเพิ่มตำแหน่งในกรณีที่ตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ การมีสภาพคล่องที่เพียงพอยังช่วยลดความจำเป็นในการปิดตำแหน่งด้วยราคาที่ไม่เหมาะสมในกรณีที่ต้องการเงินสดเร่งด่วน
การเลือกโบรกเกอร์ที่มีระบบการดำเนินการที่เสถียรและการเข้าถึงตลาดที่หลากหลายจะช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาทางเทคนิค การมีบัญชีสำรองกับโบรกเกอร์มากกว่าหนึ่งรายจะสร้างความมั่นใจในการดำเนินการซื้อขายแม้ในกรณีที่เกิดปัญหากับระบบหลัก การทดสอบระบบการซื้อขายและการปฏิบัติการใช้คำสั่งต่างๆ ก่อนช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูงจะช่วยให้สามารถดำเนินการได้อย่างมั่นใจและรวดเร็ว
การเข้าใจและการเตรียมพร้อมสำหรับต้นทุนการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีความผันผวนสูงเป็นสิ่งสำคัญ Bid-Ask Spread มักจะขยายตัวในช่วงที่มีข่าวสำคัญ และการดำเนินการคำสั่งขนาดใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อราคาตลาดมากกว่าปกติ การแบ่งคำสั่งขนาดใหญ่ออกเป็นส่วนเล็กๆ และการใช้คำสั่งประเภทต่างๆ อย่างเหมาะสมจะช่วยลดต้นทุนการซื้อขายและเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินการ
สำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์น้อย การมุ่งเน้นไปที่หลักการพื้นฐานและการเรียนรู้จากสถานการณ์จริงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การใช้ขนาดการลงทุนที่เล็กมากและการติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิดจะช่วยสร้างประสบการณ์โดยไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนจำนวนมาก การเก็บบันทึกการซื้อขายและการวิเคราะห์ผลลัพธ์จะช่วยในการเรียนรู้และปรับปรุงกลยุทธ์ในอนาคต
นักเทรดที่มีประสบการณ์ปานกลางสามารถใช้เทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การใช้หลายกรอบเวลาในการวิเคราะห์ การใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงขั้นพื้นฐาน และการกระจายการลงทุนในหลายตลาด การพัฒนาระบบการติดตามและการแจ้งเตือนจะช่วยให้สามารถจับโอกาสได้ดีขึ้น ขณะที่การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของตลาดในช่วงที่มีเหตุการณ์สำคัญจะเพิ่มความเข้าใจและประสิทธิภาพ
นักเทรดมืออาชีพสามารถใช้กลยุทธ์ขั้นสูงที่รวมถึงการใช้เครื่องมืออนุพันธ์ การซื้อขายในหลายตลาดพร้อมกัน และการใช้อัลกอริทึมในการช่วยตัดสินใจ การสร้างโมเดลการคาดการณ์และการใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดจะช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นต้องมาพร้อมกับการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดมากขึ้นเช่นกัน
การใช้หลักการบริหารความเสี่ยงเหล่านี้อย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอจะช่วยให้นักเทรดสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูงได้อย่างปลอดภัย และใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน การจำไว้ว่าการรักษาเงินทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจะช่วยให้มีโอกาสในการเทรดต่อไปในอนาคต และสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง