หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
Ethereum (ETH) กำลังอยู่ในช่วงวิกฤตสำคัญหลังจากราคาปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือนที่ $1,450 ในวันที่ 7 เมษายน 2025 การปรับฐานครั้งนี้คิดเป็นการลดลงกว่า 57.77% จากจุดสูงสุดที่ $3,364.293 ในเดือนมกราคม และสร้างความกังวลว่าตลาดคริปโตอาจกำลังเข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Market) อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันที่ 8 เมษายน ราคาได้ฟื้นตัวเล็กน้อยกลับมาซื้อขายที่ $1,563.94 ซึ่งแสดงถึงความพยายามของผู้ซื้อในการรักษาระดับราคาเหนือแนวรับสำคัญที่ $1,500 นักวิเคราะห์ทางเทคนิคกำลังจับตามองรูปแบบ Falling Wedge ที่กำลังก่อตัวบนกราฟรายวัน ซึ่งโดยทั่วไปเป็นสัญญาณบวกที่บ่งชี้ถึงโอกาสในการกลับตัวขึ้นหากราคาสามารถทะลุเส้นแนวโน้มด้านบนได้
ในขณะเดียวกัน ข้อมูลเครือข่ายแสดงให้เห็นถึงการลดลงของกิจกรรมบน Ethereum โดยจำนวนที่อยู่ที่ใช้งานรายวันลดลง 20% และจำนวนธุรกรรมรายเดือนลดลง 21% ในเดือนมีนาคม ส่งผลให้อัตราการเผาไหม้ของ ETH ลดลงและมีเหรียญเพิ่มเข้าสู่อุปทานหมุนเวียน อย่างไรก็ดี กระเป๋าสตางค์ขนาดใหญ่ (วาฬ) ยังคงแสดงความเชื่อมั่นด้วยการเพิ่มการถือครอง ETH จำนวน 130,000 เหรียญแม้ว่าราคาจะลดลงต่อเนื่อง
สัปดาห์นี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของ ETH ในระยะกลาง โดยนักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการยืนราคาเหนือแนวรับ $1,500 และการทะลุแนวต้านสำคัญที่ $1,800 และ $2,037 ซึ่งจะเป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัวของแนวโน้มหลัก
ตลาด Ethereum และสินทรัพย์ดิจิทัลโดยรวมไม่ได้เคลื่อนไหวในสุญญากาศ แต่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคระดับโลก ในสัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2025 นี้ มีเหตุการณ์สำคัญหลายประการที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางราคา ETHUSD
วันที่ 10 เมษายน 2565 Federal Reserve จะเปิดเผยรายงานการประชุมล่าสุด (FOMC Minutes) ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวคิดของคณะกรรมการต่อการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต นักลงทุนควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับความเห็นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยและการดำเนินนโยบาย Quantitative Tightening (QT) ซึ่งปัจจุบันยังคงดำเนินอยู่ที่ 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน
ความเข้มงวดในนโยบายการเงินยังคงเป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะคริปโตเคอร์เรนซี่ หากมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอการลดขนาดงบดุล หรือแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด อาจเป็นปัจจัยหนุนให้ ETHUSD ฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ
ตลาดการเงินทั่วโลกยังคงประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีการค้าใหม่ที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Donald Trump เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นและผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกได้สร้างความผันผวนในตลาดทุน และส่งผลกระทบทางอ้อมต่อตลาดคริปโตผ่านการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงตลาด (Risk Sentiment)
ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนควรติดตามปฏิกิริยาและแถลงการณ์จากประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงการประเมินผลกระทบโดยสถาบันการเงินชั้นนำ ซึ่งอาจส่งผลต่อความผันผวนของ ETHUSD โดยเฉพาะหากมีการตอบโต้ทางการค้าที่รุนแรงเกิดขึ้น
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนมีนาคม 2025 มีกำหนดเปิดเผยในวันที่ 11 เมษายน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ Fed ใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงิน ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดอาจทำให้ Fed ต้องคงนโยบายเข้มงวดนานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อราคา ETHUSD
ในทางกลับกัน หากตัวเลขเงินเฟ้อชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด อาจเพิ่มความเชื่อมั่นว่า Fed จะสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึง ETHUSD
นอกเหนือจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคแล้ว ความเคลื่อนไหวของ Bitcoin ยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อทิศทางของ Ethereum และคริปโตเคอร์เรนซี่อื่นๆ การวิเคราะห์คู่เทียบ ETH/BTC จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจความแข็งแกร่งเชิงเปรียบเทียบของ Ethereum
ในสัปดาห์นี้ หาก Bitcoin สามารถยืนเหนือระดับ $76,000 ได้อย่างมั่นคง และอัตราส่วน ETH/BTC เริ่มปรับตัวขึ้น จะเป็นสัญญาณบวกที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งขึ้นของ ETHUSD ในทางกลับกัน หาก Bitcoin ทดสอบระดับต่ำกว่า $70,000 อาจส่งผลให้ ETHUSD ทดสอบแนวรับที่ $1,420 หรือต่ำกว่า
การติดตามเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญเหล่านี้และประเมินผลกระทบอย่างเป็นระบบจะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น ในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงเช่นนี้ การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกจึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคบนกราฟราคา
การวิเคราะห์กราฟราคา ETHUSD ในหลายกรอบเวลา (Multiple Timeframes) ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของแนวโน้มตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในส่วนนี้ เราจะวิเคราะห์แนวโน้มตั้งแต่กราฟรายวัน (D1) ไปจนถึงกราฟ 15 นาที (M15) เพื่อระบุจุดซื้อขายที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง
กราฟรายวันของ ETHUSD แสดงให้เห็นแนวโน้มขาลงอย่างชัดเจนตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 โดยราคาได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจากจุดสูงสุดที่ $3,364.293 มาอยู่ที่ระดับปัจจุบันประมาณ $1,563.94 ซึ่งคิดเป็นการปรับตัวลงกว่า 53%
จุดที่น่าสนใจคือการก่อตัวของรูปแบบ Falling Wedge บนกราฟรายวัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่มักนำไปสู่การกลับตัวขึ้น รูปแบบนี้ประกอบด้วยเส้นแนวโน้มลงสองเส้นที่กำลังบีบเข้าหากัน โดยเส้นแนวโน้มด้านล่างมีความชันน้อยกว่าเส้นด้านบน
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) ทั้ง 50 วัน ($2,137.45) และ 200 วัน ($2,834.88) อยู่เหนือราคาปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งยืนยันแนวโน้มขาลงในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ดัชนี RSI ที่ 31.19 ใกล้เข้าสู่เขตภาวะขายมากเกินไป (Oversold) บ่งชี้ว่าอาจมีการดีดตัวกลับในระยะสั้น
MACD ยังคงอยู่ในแดนลบและเส้น Histogram กำลังกว้างขึ้น ซึ่งแสดงถึงแรงขายที่ยังคงมีอยู่ แต่หากเส้น MACD เริ่มตัดขึ้นผ่านเส้น Signal จะเป็นสัญญาณแรกของการกลับตัว
บนกราฟ 4 ชั่วโมง เราสามารถเห็นการพยายามสร้างฐานรองรับที่ระดับ $1,500-1,550 ราคาได้ทดสอบแนวรับนี้หลายครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังคงยืนอยู่เหนือระดับนี้ แม้จะมีแรงขายที่รุนแรงก็ตาม
ค่า RSI บนกราฟ H4 แสดงการก่อตัวของ bullish divergence เล็กน้อย โดย RSI สร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น ในขณะที่ราคายังคงทำจุดต่ำสุดที่ต่ำลง ซึ่งเป็นสัญญาณแรกของการอ่อนแรงลงของแนวโน้มขาลง
นอกจากนี้ เส้น %K และ %D ของ Stochastic Oscillator เริ่มตัดกันขึ้นในเขตภาวะขายมากเกินไป ซึ่งมักเป็นสัญญาณซื้อในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรรอการยืนยันจากรูปแบบแท่งเทียนและการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายก่อนตัดสินใจเข้าซื้อ
กราฟ 1 ชั่วโมงแสดงให้เห็นการแกว่งตัวในกรอบแคบระหว่าง $1,520-1,580 ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ถึงการรวมตัวของราคา (Consolidation) ก่อนการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
จุดที่น่าสนใจคือการก่อตัวของรูปแบบ Ascending Triangle เล็กๆ ซึ่งประกอบด้วยแนวต้านแนวนอนที่ $1,580 และเส้นแนวโน้มขึ้นที่เชื่อมจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หากราคาสามารถทะลุแนวต้านที่ $1,580 ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่การทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $1,650
Fractal indicators บนกราฟ H1 แสดงให้เห็น Up Fractal ล่าสุดที่ $1,594 และ Down Fractal ที่ $1,512 ซึ่งอาจเป็นจุดกลับตัวสำคัญในระยะสั้น การทะลุผ่านระดับเหล่านี้อาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่รุนแรงในทิศทางนั้นๆ
กราฟ 15 นาทีเหมาะสำหรับการหาจุดเข้าและออกจากตลาดที่แม่นยำยิ่งขึ้น ในปัจจุบัน เราสามารถเห็นการก่อตัวของรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งชี้ถึงการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยเฉพาะการเกิดแท่งเทียน Doji และ Spinning Top ซึ่งแสดงถึงความลังเลในตลาด
หนึ่งในสัญญาณที่น่าจับตามองคือการเกิด Three White Soldiers (แท่งเทียนขาวสามแท่งต่อเนื่อง) ซึ่งหากเกิดขึ้นพร้อมกับการทะลุแนวต้าน $1,580 จะเป็นสัญญาณซื้อที่แข็งแกร่ง ในทางตรงกันข้าม หากเกิด Three Black Crows (แท่งเทียนดำสามแท่งต่อเนื่อง) และหลุดแนวรับ $1,520 จะเป็นสัญญาณขายที่ชัดเจน
จากการวิเคราะห์กราฟในหลายกรอบเวลา เราสามารถสรุปได้ว่า ETHUSD กำลังอยู่ในแนวโน้มขาลงหลัก แต่มีสัญญาณเบื้องต้นของการกลับตัวในระยะสั้น โดยมีจุดสำคัญดังนี้:
การระบุระดับแนวต้านที่สำคัญเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวางแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพ สำหรับ ETHUSD ในสภาวะตลาดปัจจุบัน แนวต้านเหล่านี้ไม่เพียงเป็นอุปสรรคที่ต้องเอาชนะ แต่ยังเป็นระดับที่อาจเกิดแรงขายทำกำไรหรือการกลับตัวของราคา การเข้าใจแนวต้านเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดเป้าหมายกำไรและประเมินความเป็นไปได้ของการเคลื่อนไหวราคาในอนาคต
ระดับแนวต้านแรกที่ ETHUSD ต้องเผชิญอยู่ในช่วง $1,580-1,600 ซึ่งเป็นระดับที่ราคาถูกปฏิเสธหลายครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บนกราฟ H1 ระดับนี้ปรากฏเป็นแนวต้านบนของรูปแบบ Ascending Triangle ที่กำลังก่อตัว การทะลุผ่านระดับนี้ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นจะเป็นสัญญาณแรกของการฟื้นตัว และอาจนำไปสู่การทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $1,650-1,680
นักลงทุนควรสังเกตรูปแบบแท่งเทียนเมื่อราคาทดสอบระดับนี้ หากเกิดแท่งเทียนรูปแบบกลับตัว เช่น Shooting Star หรือ Bearish Engulfing อาจบ่งชี้ถึงโอกาสในการเข้าขายระยะสั้น
แนวต้านสำคัญถัดไปอยู่ในช่วง $1,650-1,680 ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci Retracement 23.6% จากการเคลื่อนไหวขาลงตั้งแต่จุดสูงสุดในเดือนมกราคม นอกจากนี้ ยังเป็นระดับที่มีการซื้อขายหนาแน่นในอดีต โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนมีนาคม
แนวต้านนี้มีความสำคัญทางจิตวิทยา เนื่องจากหากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง จะเป็นการยืนยันการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มระยะสั้นจากขาลงเป็นขาขึ้น ซึ่งอาจดึงดูดนักลงทุนระยะสั้นให้เข้ามามากขึ้น
แนวต้านที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือเส้นแนวโน้มขาลงด้านบนของรูปแบบ Falling Wedge บนกราฟรายวัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ $1,780-1,820 การทะลุผ่านแนวต้านนี้จะเป็นการยืนยันการสมบูรณ์ของรูปแบบ Falling Wedge และอาจนำไปสู่การฟื้นตัวที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ปริมาณการซื้อขายเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อราคาทดสอบแนวต้านนี้ หากการทะลุเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (อย่างน้อย 50% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 วัน) จะเป็นสัญญาณยืนยันที่น่าเชื่อถือมากขึ้น
ระดับ $2,000 เป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญมาก เนื่องจากเป็นตัวเลขกลมที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ในอดีต ETHUSD มักพบการขายทำกำไรอย่างหนักเมื่อเข้าใกล้หรือทะลุระดับนี้ นอกจากนี้ ระดับนี้ยังอยู่ใกล้กับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน ($2,137.45) ซึ่งเป็นแนวต้านทางเทคนิคที่สำคัญในช่วงแนวโน้มขาลง
การทะลุผ่านระดับ $2,000 และการยืนเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันได้อย่างมั่นคงจะเป็นสัญญาณบวกที่แข็งแกร่ง บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหลักจากขาลงเป็นขาขึ้น
หากรูปแบบ Falling Wedge สมบูรณ์และราคาสามารถทะลุผ่านแนวต้านที่กล่าวถึงข้างต้นได้ เป้าหมายทางเทคนิคของรูปแบบนี้อยู่ที่ประมาณ $2,500-2,600 ซึ่งสอดคล้องกับระดับ Fibonacci Retracement 38.2% ของการเคลื่อนไหวขาลงทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวไปสู่ระดับนี้อาจไม่เกิดขึ้นในทันที และอาจมีการพักตัวหรือการปรับฐานที่แนวต้านระหว่างทาง โดยเฉพาะที่ระดับ $2,000 และ $2,200
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันที่ $2,834.88 เป็นแนวต้านระยะยาวที่สำคัญมาก โดยในตลาดการเงินทั่วไป การยืนเหนือค่าเฉลี่ยนี้มักถูกมองว่าเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน การซื้อขายใต้ค่าเฉลี่ยนี้มักถูกมองว่าอยู่ในแนวโน้มขาลง
การทะลุและยืนเหนือระดับนี้จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ETHUSD ได้กลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นระยะยาวอีกครั้ง แต่เป้าหมายนี้อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนในการบรรลุ ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อมของตลาดโดยรวม
สำหรับนักลงทุนที่กำลังถือ ETHUSD ควรพิจารณาการทยอยขายทำกำไรบางส่วนเมื่อราคาเข้าทดสอบแนวต้านสำคัญ โดยเฉพาะที่ $1,650-1,680 และ $2,000 ในขณะที่นักลงทุนที่กำลังรอโอกาสเข้าซื้อควรพิจารณาการรอการยืนยันการทะลุแนวต้านด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น แทนที่จะเข้าซื้อทันทีที่ราคาแตะแนวต้าน
ในสภาวะตลาดที่ผันผวนเช่นนี้ การใช้คำสั่ง Stop Limit ในการเข้าซื้อเมื่อราคาทะลุแนวต้านที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าซื้อจากการทะลุปลอม (False Breakout)
ในภาวะตลาดที่ผันผวนของ ETHUSD การระบุระดับแนวรับที่แม่นยำมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารความเสี่ยงและการวางแผนการลงทุน แนวรับเหล่านี้เปรียบเสมือนเส้นป้องกันที่ราคามักจะดีดตัวกลับ หรือหากถูกทำลาย อาจนำไปสู่การปรับตัวลงอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น การเข้าใจถึงแนวรับเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดจุดตัดขาดทุน และระบุโอกาสในการเข้าซื้อที่มีความเสี่ยงต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวรับที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันของ ETHUSD อยู่ที่ระดับ $1,500 ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาสำคัญที่ราคาได้ทดสอบหลายครั้งในช่วงวันที่ 7-8 เมษายน 2025 ความสำคัญของแนวรับนี้มาจากหลายปัจจัย:
การยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อโอกาสในการฟื้นตัวของ ETHUSD หากราคาปิดต่ำกว่าระดับนี้บนกราฟรายวัน โดยเฉพาะหากมีแท่งเทียนขนาดใหญ่และปริมาณการซื้อขายสูง จะเป็นสัญญาณเตือนที่น่ากังวลว่าตลาดอาจมีการปรับตัวลงอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น
ข้อมูลจาก Coinglass ระบุว่ามี Long Position มูลค่ากว่า $3.3 พันล้านที่อาจถูกล้างพอร์ตหากราคาหลุดแนวรับนี้ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันเพิ่มเติมต่อราคา
หากราคาไม่สามารถยืนเหนือ $1,500 ได้ แนวรับสำคัญถัดไปอยู่ในช่วง $1,420-1,450 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่ ETHUSD ทดสอบในวันที่ 7 เมษายน 2025 ระดับนี้ยังสอดคล้องกับระดับราคาต่ำสุดในช่วงต้นปี 2023 ทำให้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
แนวรับนี้อาจเป็นจุดที่นักลงทุนระยะยาวเริ่มสะสม ETH หากพวกเขาเชื่อในศักยภาพพื้นฐานของเครือข่าย Ethereum ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การหลุดแนวรับนี้จะเปิดทางสู่การปรับฐานที่รุนแรงยิ่งขึ้น
หากทั้งสองแนวรับข้างต้นถูกทำลาย แนวรับสำคัญถัดไปอยู่ที่ช่วง $1,350-1,370 ซึ่งตรงกับระดับ Fibonacci Extension 200% ของการฟื้นตัวในช่วงปลายปี 2023 นอกจากนี้ ยังเป็นบริเวณที่มีการซื้อขายหนาแน่นในช่วงต้นปี 2023
แนวรับนี้เป็นระดับสุดท้ายที่จะป้องกันการปรับตัวลงที่รุนแรงยิ่งขึ้นไปสู่ระดับ $1,200 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในช่วงวิกฤตตลาดคริปโตปี 2022-2023
แนวรับเชิงโครงสร้างที่สำคัญอยู่ที่ช่วง $1,280-1,300 ซึ่งเป็นระดับที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี 2020-2021 นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 สัปดาห์ ซึ่งมักเป็นแนวรับสุดท้ายในช่วงตลาดหมีของคริปโตเคอร์เรนซี่
การทดสอบระดับนี้จะเป็นการทดสอบความเชื่อมั่นของนักลงทุนระยะยาวอย่างแท้จริง และอาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อที่มีความเสี่ยงต่ำสำหรับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนระยะยาว
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากแนวรับทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นถูกทำลาย แนวรับสุดท้ายอยู่ในช่วง $1,000-1,200 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในช่วงวิกฤตตลาดคริปโตปี 2022 นอกจากนี้ ระดับ $1,000 ยังเป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญมาก
การทดสอบระดับนี้จะบ่งชี้ถึงการเข้าสู่ตลาดหมีอย่างเต็มรูปแบบของ ETHUSD และอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของ Ethereum โดยรวม รวมถึงแรงจูงใจของ Validator และความมั่นคงของเครือข่าย
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น การเข้าซื้อเมื่อราคาทดสอบแนวรับสำคัญควรทำด้วยความระมัดระวัง โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนใต้แนวรับนั้นๆ ประมาณ 2-3% ขึ้นอยู่กับความผันผวนของตลาดในขณะนั้น
นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการยืนยันทางเทคนิคเมื่อราคาดีดตัวจากแนวรับ เช่น การเกิดแท่งเทียนรูปแบบกลับตัว (Hammer, Bullish Engulfing) การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขาย หรือสัญญาณซื้อจากตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ
สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวที่ต้องการสะสม ETHUSD ในช่วงตลาดผันผวนนี้ การใช้กลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging (DCA) โดยทยอยเข้าซื้อที่แนวรับต่างๆ จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาและลดผลกระทบจากอารมณ์ในการตัดสินใจ
ในปัจจุบัน แนวรับที่สำคัญที่สุดของ ETHUSD คือระดับ $1,500 ซึ่งการยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคงเป็นสิ่งจำเป็นต่อโอกาสในการฟื้นตัวในระยะสั้นถึงระยะกลาง หากแนวรับนี้ถูกทำลาย นักลงทุนควรระมัดระวังและพิจารณาลดขนาดการลงทุนลง รวมถึงเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้น
การติดตามพฤติกรรมของราคาที่แนวรับเหล่านี้ และการตระหนักถึงปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตโดยรวม จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้นในสภาวะตลาดที่ท้าทายนี้
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของ Ethereum มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว ปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสุขภาพของเครือข่าย แนวโน้มการใช้งาน และศักยภาพในการเติบโตในอนาคต ซึ่งมีผลต่อมูลค่าที่แท้จริงของ ETH ในระยะยาว
ข้อมูลจาก Artemis แสดงให้เห็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของกิจกรรมบนเครือข่าย Ethereum ในเดือนมีนาคม 2025 โดยจำนวนที่อยู่ที่ใช้งานรายวัน (Daily Active Addresses) ลดลง 20% และจำนวนธุรกรรมรายเดือนลดลง 21% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า การลดลงของกิจกรรมนี้สอดคล้องกับการปรับฐานของราคาและอาจเป็นทั้งสาเหตุและผลลัพธ์ของความเชื่อมั่นที่ลดลงในตลาด
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในระยะยาว แม้จะมีการลดลงในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่กิจกรรมบนเครือข่าย Ethereum ยังคงสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 15% ซึ่งบ่งชี้ถึงการเติบโตในระยะยาวที่ยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ การพัฒนาโซลูชัน Layer 2 เช่น Arbitrum, Optimism และ zkSync ช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับธุรกรรมของระบบนิเวศ Ethereum โดยรวม
การลดลงของกิจกรรมบนเครือข่ายส่งผลโดยตรงต่ออัตราการเผาไหม้ของ ETH ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลไก EIP-1559 ที่นำมาใช้ตั้งแต่ปี 2021 ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าในช่วง 30 วันที่ผ่านมา มีการเพิ่ม ETH จำนวน 74,322.37 เหรียญเข้าสู่อุปทานหมุนเวียน แทนที่จะเป็นการลดลงของอุปทานเหมือนในช่วงที่ตลาดคึกคัก
Gabriel Halm นักวิเคราะห์วิจัยที่ IntoTheBlock ระบุว่าอัตราเงินเฟ้อประจำปีของ ETH อยู่ที่ 0.73% ซึ่งยังต่ำกว่ายุคก่อนการ Merge แต่การเพิ่มขึ้นของอุปทานในระยะสั้นอาจเป็นปัจจัยกดดันราคาเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในระยะยาว อัตราเงินเฟ้อนี้ยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ และไม่ควรเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดราคา ETH ในระยะยาว
ข้อมูลจาก Coinglass แสดงให้เห็นว่า Open Interest ของ ETH ในตลาดอนุพันธ์อยู่ในระดับสูงถึง $21 พันล้าน ซึ่งเพิ่มขึ้น $4 พันล้านในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ระดับ Open Interest ที่สูงนี้บ่งชี้ถึงความเสี่ยงของการล้างพอร์ตที่อาจเกิดขึ้นหากราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
แผนที่การล้างพอร์ต (Liquidation Map) ชี้ให้เห็นว่ามีการเปิด Long Position มูลค่า $3.3 พันล้าน เทียบกับ Short Position $2.95 พันล้าน โดยจุดล้างพอร์ต Long ส่วนใหญ่อยู่ใกล้ระดับ $1,500 ซึ่งหากราคาหลุดระดับนี้อย่างมีนัยสำคัญ อาจกระตุ้นให้เกิดการล้างพอร์ตขนาดใหญ่และการปรับฐานที่รุนแรงยิ่งขึ้น
แม้ว่าราคา ETH จะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ข้อมูลจาก IntoTheBlock แสดงให้เห็นว่ากระเป๋าสตางค์ขนาดใหญ่ (วาฬ) ยังคงเพิ่มการถือครอง ETH อย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 5 เมษายน มีการเพิ่มการถือครอง ETH จำนวน 130,000 เหรียญ พฤติกรรมนี้อาจบ่งชี้ว่านักลงทุนรายใหญ่มองว่าระดับราคาปัจจุบันเป็นโอกาสในการสะสมและยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของ Ethereum
นอกจากนี้ อัตรา Netflow บวกที่ +2.15% ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ามีเงินทุนไหลเข้าสู่ ETH มากกว่าที่ไหลออก ซึ่งเป็นสัญญาณบวกในระยะกลางถึงระยะยาว
Ethereum ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามโรดแมปที่วางไว้ โดยการอัปเกรดครั้งสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ “Pectra” ซึ่งมีกำหนดในกลางปี 2025 การอัปเกรดนี้มุ่งเน้นที่การปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของเครือข่าย รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการรองรับธุรกรรม (Scalability)
ความคืบหน้าในการพัฒนานี้แสดงให้เห็นว่าแม้ในช่วงตลาดขาลง ทีมพัฒนา Ethereum ยังคงมุ่งมั่นในการปรับปรุงเทคโนโลยีพื้นฐาน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนมูลค่าในระยะยาว
ความสัมพันธ์ระหว่าง ETH และดัชนี S&P 500 ยังคงอยู่ในระดับสูง (+0.78) ซึ่งบ่งชี้ว่า Ethereum ยังคงได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและความเสี่ยงตลาด (Risk Sentiment) โดยรวม
นโยบาย Quantitative Tightening (QT) ของ Federal Reserve ที่ยังคงดำเนินอยู่ แม้จะลดขนาดลงจาก 60,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนเหลือ 40,000 ล้านดอลลาร์ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึง Ethereum นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายภาษีการค้าใหม่ที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ก็เป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงตลาดโดยรวม
เมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานทั้งหมด Ethereum ยังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในระยะยาว แม้จะเผชิญกับความท้าทายในระยะสั้น การลดลงของกิจกรรมบนเครือข่ายและการเพิ่มขึ้นของอุปทานในระยะสั้นเป็นปัจจัยกดดันราคา แต่การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องและการสะสมของนักลงทุนรายใหญ่เป็นปัจจัยสนับสนุนในระยะยาว
นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการติดตามตัวชี้วัดพื้นฐานเหล่านี้ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมบนเครือข่าย อัตราการเผาไหม้ของ ETH และพฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่ เพื่อประเมินแนวโน้มระยะกลางถึงระยะยาวของ ETHUSD ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การวิเคราะห์ ETHUSD ในช่วงสัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2025 นี้ นำเสนอภาพของสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำที่กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ราคาที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจากจุดสูงสุดที่ $3,364.293 มาอยู่ที่ระดับปัจจุบันประมาณ $1,563.94 ได้สร้างความกังวลในตลาด แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มีกลยุทธ์ชัดเจน
Ethereum กำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งในแง่ของปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน แนวโน้มหลักยังคงเป็นขาลงตามที่เห็นได้จากราคาที่ซื้อขายใต้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้ง 50 วันและ 200 วัน อย่างไรก็ตาม การก่อตัวของรูปแบบ Falling Wedge บนกราฟรายวันและการเข้าใกล้เขตภาวะขายมากเกินไปของ RSI เปิดโอกาสให้เกิดการฟื้นตัวทางเทคนิคในระยะสั้นถึงระยะกลาง
จุดสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้คือความสามารถในการยืนเหนือแนวรับ $1,500 ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาสำคัญและเป็นเส้นป้องกันสุดท้ายก่อนที่ราคาอาจปรับตัวลงรุนแรงยิ่งขึ้นไปทดสอบแนวรับที่ $1,420 หรือต่ำกว่า ในทางตรงกันข้าม การทะลุแนวต้านระยะสั้นที่ $1,580-1,600 และแนวต้านที่สำคัญยิ่งขึ้นที่ $1,780-1,820 จะเป็นสัญญาณบวกที่บ่งชี้ถึงโอกาสในการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ปัจจัยพื้นฐานของ Ethereum แสดงภาพที่ผสมผสาน ในด้านลบ กิจกรรมบนเครือข่ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญในเดือนมีนาคม ส่งผลให้อัตราการเผาไหม้ของ ETH ลดลงและมีเหรียญเพิ่มเข้าสู่อุปทานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม ในด้านบวก การพัฒนาเทคโนโลยียังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตามโรดแมป และกระเป๋าสตางค์ขนาดใหญ่ (วาฬ) ยังคงสะสม ETH แม้ในช่วงตลาดขาลง ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาว
ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญต่อตลาดคริปโตโดยรวม โดยเฉพาะนโยบาย Quantitative Tightening ที่ยังคงดำเนินอยู่และความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายภาษีการค้าใหม่ นักลงทุนควรติดตามการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะรายงานการประชุม FOMC และข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของ ETHUSD
สำหรับกลยุทธ์การเทรด ในระยะสั้น (1-3 วัน) การเทรดในกรอบราคาระหว่าง $1,500-1,650 โดยมีอคติเชิงลบอาจเป็นวิธีที่เหมาะสม ในระยะกลาง (1-2 สัปดาห์) การรอสัญญาณยืนยันการทะลุรูปแบบ Falling Wedge ก่อนเข้าซื้อจะช่วยลดความเสี่ยง และในระยะยาว (หลายเดือน) การทยอยสะสม ETH ที่ระดับราคาสำคัญตั้งแต่ $1,500 ลงไปถึง $1,200 อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักลงทุนที่เชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของ Ethereum
ในสภาวะตลาดที่ผันผวนเช่นนี้ การบริหารความเสี่ยงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นักลงทุนควรจำกัดขนาดการลงทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้งไม่เกิน 2-5% ของพอร์ตโฟลิโอ ใช้จุดตัดขาดทุนที่ชัดเจน และพร้อมปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
ท้ายที่สุด ETHUSD กำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการทดสอบ ทั้งในแง่ของราคาและความเชื่อมั่นของตลาด การปรับฐานที่เกิดขึ้นอาจเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส ขึ้นอยู่กับมุมมองการลงทุนและกรอบเวลาของแต่ละบุคคล นักลงทุนที่เข้าใจทั้งปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน พร้อมทั้งมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี จะสามารถนำทางผ่านความผันผวนนี้และอาจพบโอกาสที่น่าสนใจในตลาด ETHUSD