หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่จากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างมหาอำนาจเศรษฐกิจสองขั้วอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป การประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้า 20% สำหรับสินค้าจากสหภาพยุโรปโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก นโยบายภาษี “reciprocal tariff” ที่ครอบคลุมสินค้านำเข้าจากทั่วโลกด้วยอัตราพื้นฐาน 10% และอัตราที่สูงขึ้นสำหรับบางประเทศและภูมิภาคนี้ ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรงเท่านั้น แต่ยังได้สร้างความไม่แน่นอนและความผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลก
ปฏิกิริยาตอบโต้จากสหภาพยุโรปที่ประกาศมาตรการภาษีมูลค่า 26 พันล้านยูโร (28 พันล้านดอลลาร์) ต่อสินค้าสหรัฐฯ ยิ่งเพิ่มความกังวลว่าความขัดแย้งนี้อาจลุกลามกลายเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ การขึ้นภาษีนำเข้าในทั้งสองฝั่งสร้างแรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ราคาสินค้า และความสามารถในการแข่งขันของบริษัทต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
นักลงทุนและเทรดเดอร์ในตลาด CFD ต้องทำความเข้าใจถึงผลกระทบของความขัดแย้งทางการค้านี้อย่างลึกซึ้ง เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ (Intermarket Relationships) จะช่วยให้นักลงทุนมองเห็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสที่เกิดขึ้นจากวิกฤตครั้งนี้
บทวิเคราะห์นี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปต่อตลาดการเงินโลก พร้อมเสนอกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง เพื่อให้ลูกค้าของ FXGT สามารถนำไปใช้บริหารความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสในการทำกำไรท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
สถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าใหม่ต่อสินค้าจากสหภาพยุโรป การตัดสินใจดังกล่าวได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก ส่งผลให้สหภาพยุโรปเตรียมมาตรการตอบโต้ที่อาจนำไปสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบ
ความขัดแย้งทางการค้าครั้งนี้มีรากฐานมาจากนโยบาย “America First” ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมุ่งเน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและลดการขาดดุลการค้า ในวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศใช้ภาษีนำเข้า 20% สำหรับสินค้าจากสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายภาษี “reciprocal tariff” ที่กำหนดภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าส่วนใหญ่จากทั่วโลก โดยมีอัตราที่สูงขึ้นสำหรับบางประเทศและภูมิภาค
การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีผลกระทบต่อตลาดยุโรปแล้ว ทรัมป์ได้เรียกวันที่ 2 เมษายนว่าเป็น “วันปลดปล่อย” สำหรับสหรัฐอเมริกา เป็นวันที่เขาวางแผนที่จะเปิดเผยชุดภาษีนำเข้าที่สำคัญเพื่อขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่กล้าหาญของรัฐบาลของเขา
นโยบายภาษีดังกล่าวมิได้มีเป้าหมายเพียงสหภาพยุโรปเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมกว่า 180 ประเทศและดินแดนทั่วโลก โดยจีนเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดด้วยภาษีใหม่ 34% ซึ่งเมื่อรวมกับภาษีเดิมที่มีอยู่แล้ว 20% จะทำให้จีนต้องเผชิญกับภาษีรวมถึง 54%
ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen ได้เรียกการตัดสินใจของทรัมป์ว่าเป็น “การโจมตีครั้งใหญ่” ต่อเศรษฐกิจโลก และแสดงความกังวลว่ามาตรการดังกล่าวจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นและกระตุ้นให้เกิดการปกป้องทางการค้ามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้คนนับล้านทั่วโลก
สหภาพยุโรปไม่ได้นิ่งเฉยต่อการกระทำดังกล่าว โดยได้ประกาศแผนการตอบโต้อย่างเป็นขั้นตอน เริ่มจากมาตรการตอบโต้ภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ สหภาพยุโรปได้ประกาศว่าจะนำภาษีตอบโต้มูลค่า 26 พันล้านยูโร (ประมาณ 28 พันล้านดอลลาร์) สำหรับสินค้าของสหรัฐฯ ภาษีที่เคยถูกระงับไว้ —ซึ่งเคยบังคับใช้บางส่วนในสมัยแรกของทรัมป์— จะถูกนำมาใช้ใหม่พร้อมกับภาษีใหม่สำหรับสินค้าเพิ่มเติม
รายการสินค้าที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของสหภาพยุโรปมีความหลากหลาย ซึ่งรวมถึงเหล็กและอลูมิเนียมอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปและสำเร็จรูปที่ทำจากเหล็กและอลูมิเนียม ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักรและเข็มถัก เบอร์บอน สินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง เครื่องใช้ในบ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย
นอกเหนือจากภาษีตอบโต้แล้ว สหภาพยุโรปยังกำลังพิจารณามาตรการที่ลึกซึ้งและมีผลกระทบมากขึ้นต่อบริษัทสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคบริการ ภายใต้เครื่องมือต่อต้านการบีบบังคับ (Anti-Coercion Instrument หรือ ACI) สหภาพยุโรปอาจดำเนินการชะลอการออกใบอนุญาตธุรกิจสำหรับบริษัทสหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงสัญญาสาธารณะ จำกัดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา และแม้กระทั่งการห้ามการลงทุนในสหภาพยุโรปโดยสิ้นเชิง
มาตรการตอบโต้ชุดแรกคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในช่วงกลางเดือนเมษายน 2568 ซึ่งนับเป็นการตอบโต้ที่รวดเร็วและเด็ดขาดจากสหภาพยุโรป
ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาถือเป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก สหภาพยุโรปเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของสินค้าสหรัฐฯ ในปีที่แล้ว แซงหน้าแคนาดาและเม็กซิโก ในขณะที่สหรัฐฯ เป็นผู้ซื้อสินค้ายุโรปรายใหญ่ที่สุดในปี 2024
Ursula von der Leyen ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป โดยระบุว่ามูลค่าการค้ารวมมีมูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ และงานในสหรัฐฯ 1 ล้านตำแหน่งขึ้นอยู่กับการค้ากับยุโรปโดยตรง ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่สูงมากหากความขัดแย้งทางการค้าลุกลามเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ
แม้จะมีความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงแสดงความเปิดกว้างต่อการเจรจา von der Leyen ได้เน้นย้ำว่า “ยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไขข้อกังวลผ่านการเจรจา” และยืนยันว่าสหภาพยุโรป “ยังคงเปิดกว้างต่อการพูดคุย” รัฐมนตรีการคลังเยอรมัน Jörg Kukies ได้เรียกร้องให้มีเขตการค้าเสรีระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งจะลดภาษีเป็นศูนย์ทั้งสองฝ่าย แม้ว่าข้อเสนอนี้น่าชื่นชม แต่อาจนำไปสู่การเจรจาที่ยาวนาน
อย่างไรก็ตาม จากท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ ดูเหมือนว่าจะมีพื้นที่ไม่มากนักสำหรับการเจรจา ซึ่งสร้างความกังวลว่าความขัดแย้งนี้อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อระบบการค้าและการเงินโลก
ในบทต่อไป เราจะวิเคราะห์ผลกระทบเชิงลึกของความขัดแย้งทางการค้านี้ต่อตลาดเงินและตลาดทุน โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
การประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และแผนการตอบโต้ของสหภาพยุโรปได้สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงต่อตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเงินและตลาดทุน ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดความผันผวนในค่าเงินและดัชนีหุ้นสำคัญ ซึ่งนักลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์
คู่เงิน EUR/USD ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป หลังจากการประกาศมาตรการภาษีของทรัมป์ ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 3.5% เทียบกับยูโรในสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน การแข็งค่าของเงินดอลลาร์เกิดจากการที่นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าเศรษฐกิจยุโรปจากสงครามการค้า และการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำคาดการณ์ว่า EUR/USD อาจเคลื่อนไหวลงไปทดสอบแนวรับสำคัญที่ระดับ 1.0500 ในระยะสั้น หากความขัดแย้งทางการค้ายืดเยื้อและมาตรการตอบโต้ของทั้งสองฝ่ายทวีความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางของ EUR/USD โดย ECB อาจต้องชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยหากเงินเฟ้อในยุโรปปรับตัวสูงขึ้นจากผลของภาษีนำเข้า
คู่เงินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับยูโร เช่น EUR/JPY และ EUR/GBP ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดย EUR/JPY มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเนื่องจากเงินเยนญี่ปุ่นมีสถานะเป็นสกุลเงินปลอดภัย (safe-haven currency) ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน ส่วน EUR/GBP มีความผันผวนสูงเนื่องจากสหราชอาณาจักรอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญ
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการประกาศภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ดัชนี STOXX 600 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นยุโรปหลัก ปรับตัวลดลง 3.2% ในวันแรกที่มีการประกาศมาตรการภาษี โดยหุ้นกลุ่มส่งออกได้รับผลกระทบหนักที่สุด ดัชนี DAX ของเยอรมนีและ CAC-40 ของฝรั่งเศสซึ่งมีบริษัทส่งออกรายใหญ่หลายแห่งปรับตัวลดลงมากกว่า 3% เช่นกัน
บริษัทยุโรปที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นสัดส่วนสูงได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมต่อไปนี้:
ในทางตรงกันข้าม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบน้อยกว่า โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยหลังการประกาศมาตรการภาษี บริษัทสหรัฐฯ ที่พึ่งพาการส่งออกไปยังยุโรปหรือนำเข้าวัตถุดิบจากยุโรปอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของ EU แต่ในภาพรวม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความยืดหยุ่นมากกว่าเนื่องจากปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้กระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวของเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย (safe-haven assets) ดังนี้:
เงินทุนได้ไหลออกจากกองทุนที่ลงทุนในหุ้นยุโรปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกองทุนที่มีการลงทุนในบริษัทส่งออกรายใหญ่ ในขณะเดียวกัน กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและทองคำได้รับเงินทุนไหลเข้าเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากยุโรปไปยังตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าจากผลกระทบของสงครามการค้า โดยเฉพาะประเทศในเอเชียที่อาจได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้า (trade diversion) เมื่อบริษัทต่างๆ มองหาแหล่งนำเข้าและตลาดส่งออกใหม่
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าความผันผวนในตลาดการเงินจะยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้า โดยเฉพาะหากมีการประกาศรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้ของสหภาพยุโรป และการตอบโต้เพิ่มเติมจากสหรัฐฯ นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดเงินและตลาดทุน และพิจารณากระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง
ในบทต่อไป เราจะวิเคราะห์ผลกระทบของความขัดแย้งทางการค้านี้ต่อสินค้าโภคภัณฑ์และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจลงทุนในตลาด CFD
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก ภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ราคาวัตถุดิบ และความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในหลายอุตสาหกรรม การวิเคราะห์ผลกระทบเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนในตลาด CFD ที่ต้องการระบุความเสี่ยงและโอกาสในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง
ตลาดเหล็กและอลูมิเนียมได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้ของสหภาพยุโรป รายงานจาก BBC ไทยระบุว่า ภาษี 25% ต่อเหล็กและอลูมิเนียมที่เริ่มบังคับใช้ในเดือนมีนาคม 2568 ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบในยุโรปปรับตัวสูงขึ้น 12% ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์
ราคาเหล็กในตลาดโลกมีความผันผวนอย่างมาก โดยราคาเหล็กแผ่นรีดร้อน (Hot-rolled coil) ในยุโรปปรับตัวขึ้น 8-10% หลังการประกาศมาตรการภาษี เนื่องจากผู้ผลิตในยุโรปเร่งสต็อกสินค้าเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทาน และอาจมีการเปลี่ยนเส้นทางการส่งออกของผู้ผลิตจากประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบเข้ามายังตลาดยุโรปมากขึ้น
ในส่วนของอลูมิเนียม ราคาในตลาดโลกปรับตัวขึ้น 5-7% หลังการประกาศมาตรการภาษี โดยเฉพาะอลูมิเนียมแปรรูปที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์และการบิน อุตสาหกรรมเหล็กและอลูมิเนียมของฝรั่งเศสและเยอรมนี ซึ่งพึ่งพาการส่งออกไปอเมริกากว่า 15% กำลังพิจารณาปรับลดกำลังการผลิตและเบี่ยงเบนการส่งออกไปยังตลาดอื่น
นอกจากนี้ สินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้านี้ ได้แก่:
ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้สร้างโอกาสสำหรับนักลงทุนในตลาด CFD ที่สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาทั้งขาขึ้นและขาลง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังและติดตามพัฒนาการของสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหากมีการเจรจาหรือมาตรการตอบโต้เพิ่มเติม
ผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคอุตสาหกรรม โดยบางอุตสาหกรรมเผชิญกับความเสี่ยงสูง ในขณะที่บางอุตสาหกรรมอาจพบโอกาสใหม่ๆ:
อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง:
นักลงทุนในตลาด CFD ควรพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับแนวโน้มเหล่านี้ โดยอาจลดสัดส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง และเพิ่มสัดส่วนในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตในสภาวะตลาดปัจจุบัน
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปกำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก โดยบริษัทต่างๆ พยายามปรับตัวเพื่อลดความเสี่ยงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้า:
การปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานเหล่านี้อาจมาพร้อมกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 15-20% ในระยะสั้น แต่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างโอกาสสำหรับนักลงทุนที่สามารถระบุบริษัทที่มีความสามารถในการปรับตัวได้ดี และมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก
ในบทต่อไป เราจะวิเคราะห์การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดการเงินภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าที่ดำเนินอยู่ รวมถึงผลกระทบต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางและสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน โดยเฉพาะในด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และนโยบายการเงินของธนาคารกลาง การวิเคราะห์การคาดการณ์แนวโน้มเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น
ผลกระทบของมาตรการภาษีระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้น โดยจากการวิเคราะห์ของสถาบันการเงินและองค์กรเศรษฐกิจระหว่างประเทศ พบว่า:
การเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนอาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยภาษี 20% ของสหรัฐฯ อาจลดการเติบโตของ GDP ในยูโรโซนลง 0.3% ในช่วงสองปีข้างหน้า เมื่อพิจารณาเฉพาะผลกระทบการค้าโดยตรงและโดยอ้อม นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในยูโรโซนสำหรับปี 2568 เหลือ 0.6% (จาก 0.7% เดิม) และสำหรับปี 2569 เหลือ 1.0% (จาก 1.4% เดิม)
หากความขัดแย้งทางการค้าลุกลามและมีการใช้มาตรการตอบโต้เต็มรูปแบบจากทั้งสองฝ่าย ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประเมินว่า GDP ของสหภาพยุโรปอาจหดตัวถึง 0.5% ในปี 2568 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและการลงทุนในภูมิภาค
ในส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า โดยการเติบโตของ GDP อาจลดลงเพียง 0.1-0.2% เนื่องจากการพึ่งพาการส่งออกน้อยกว่าและมีตลาดภายในประเทศที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตและภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่พึ่งพาการส่งออกไปยังยุโรปจะได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของสหภาพยุโรป
ผลกระทบต่อเงินเฟ้อมีความซับซ้อนและจะแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค:
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมคาดว่าจะเป็นลบ โดยองค์การการค้าโลก (WTO) ประมาณการว่าการค้าโลกในปี 2568 อาจเติบโตเพียง 2.6% แทนที่จะเป็น 3.3% ตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปดำเนินต่อไป
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปส่งผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก:
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในระยะสั้น เงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้าอาจทำให้ ECB ต้องชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ECB อาจจำเป็นต้องรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบันเป็นเวลานานกว่าที่วางแผนไว้เดิม หรืออาจลดอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ช้าลงในปี 2568
ในระยะยาว หากเศรษฐกิจยูโรโซนชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ ECB อาจต้องหันมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยและอาจพิจารณาการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจมีความยืดหยุ่นมากกว่าในการดำเนินนโยบายการเงิน เนื่องจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม Fed ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้า ซึ่งอาจทำให้ Fed ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยที่วางแผนไว้สำหรับปี 2568
ความแตกต่างในนโยบายการเงินระหว่าง ECB และ Fed จะส่งผลโดยตรงต่ออัตราแลกเปลี่ยนระหว่างยูโรและดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องต่อการนำเข้า-ส่งออก และความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในทั้งสองภูมิภาค
เพื่อช่วยนักลงทุนวางแผนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูง เราได้วิเคราะห์สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป:
สถานการณ์ด้านลบ (Negative Scenario):
ความขัดแย้งทางการค้าลุกลามเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ โดยทั้งสองฝ่ายเพิ่มภาษีนำเข้าและใช้มาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มเติม สหภาพยุโรปอาจใช้มาตรการภายใต้เครื่องมือต่อต้านการบีบบังคับ (ACI) อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการจำกัดการเข้าถึงตลาดบริการและการลงทุนสำหรับบริษัทสหรัฐฯ
ในสถานการณ์นี้ เศรษฐกิจยูโรโซนอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย โดย GDP อาจหดตัว 0.5-0.7% ในปี 2568 ตลาดหุ้นยุโรปอาจปรับตัวลดลง 15-20% จากระดับปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ค่าเงินยูโรอาจอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.03-1.05 ดอลลาร์ต่อยูโร
สถานการณ์กลาง (Base Case Scenario):
ความขัดแย้งทางการค้ายังคงอยู่ในระดับปัจจุบัน โดยสหภาพยุโรปใช้มาตรการตอบโต้ตามที่ประกาศไว้ แต่ไม่มีการเพิ่มมาตรการจากทั้งสองฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญ การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่ไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนในระยะสั้น
ในสถานการณ์นี้ เศรษฐกิจยูโรโซนจะยังคงเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงที่ 0.5-0.6% ในปี 2568 ตลาดหุ้นยุโรปอาจมีความผันผวนสูงแต่ไม่มีการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยเป็นการปรับตัวลงในบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ค่าเงินยูโรอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 1.06-1.09 ดอลลาร์ต่อยูโร
สถานการณ์ด้านบวก (Positive Scenario):
สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปบรรลุข้อตกลงหลังการเจรจา โดยมีการผ่อนคลายหรือยกเลิกมาตรการภาษีบางส่วนหรือทั้งหมด อาจมีการตกลงจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปในระยะยาว ตามข้อเสนอของรัฐมนตรีการคลังเยอรมัน Jörg Kukies
ในสถานการณ์นี้ เศรษฐกิจยูโรโซนอาจฟื้นตัวและเติบโตในอัตรา 1.0-1.2% ในปี 2568 ตลาดหุ้นยุโรปอาจปรับตัวขึ้น 10-15% จากระดับปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ค่าเงินยูโรอาจแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.12-1.15 ดอลลาร์ต่อยูโร
ในปัจจุบัน สถานการณ์กลาง (Base Case Scenario) มีความเป็นไปได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และปรับกลยุทธ์การลงทุนตามพัฒนาการของสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
ในบทต่อไป เราจะนำเสนอกลยุทธ์การเทรดและการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับสภาวะตลาดในปัจจุบัน รวมถึงเทคนิคการบริหารความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปสร้างทั้งความเสี่ยงและโอกาสสำหรับนักลงทุนในตลาด CFD การเข้าใจและปรับใช้กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการลงทุน ในส่วนนี้ เราจะนำเสนอกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพในช่วงความขัดแย้งทางการค้า รวมถึงเทคนิคการบริหารความเสี่ยงและโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ
ตลาด Forex ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะคู่เงิน EUR/USD ซึ่งเป็นคู่เงินที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดในตลาด กลยุทธ์การเทรด Forex ที่มีประสิทธิภาพในสภาวะปัจจุบันประกอบด้วย:
1. การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Following) สำหรับ EUR/USD
แนวโน้มระยะกลางของคู่เงิน EUR/USD มีทิศทางอ่อนค่าลงหลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ นักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มโดยการเปิดสถานะขาย (Short Position) เมื่อราคาทดสอบแนวต้านสำคัญและมีการยืนยันจากตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น Moving Average Convergence Divergence (MACD) หรือ Relative Strength Index (RSI)
นักเทรดควรกำหนดเป้าหมายกำไรที่ระดับแนวรับสำคัญ เช่น 1.0500 และ 1.0350 และวางจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เหนือระดับแนวต้านที่สำคัญเพื่อจำกัดความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ควรระวังการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ หากมีสัญญาณบวกจากการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ทิศทางของคู่เงินอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
2. การเทรดความผันผวน (Volatility Trading) ในคู่เงินหลัก
ช่วงความขัดแย้งทางการค้ามักสร้างความผันผวนสูงในตลาด Forex นักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์การเทรดความผันผวนผ่านการใช้ออปชั่น (Options) หรือการเทรด Breakouts เมื่อมีการประกาศข่าวสำคัญเกี่ยวกับมาตรการทางการค้า
สำหรับกลยุทธ์ Breakout Trading นักเทรดควรระบุระดับราคาสำคัญและเตรียมเข้าเทรดเมื่อราคาเคลื่อนที่ทะลุระดับเหล่านั้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับช่วงที่มีการประกาศมาตรการตอบโต้จากสหภาพยุโรปหรือมีความคืบหน้าในการเจรจา
3. การเทรดค่าเงินที่เป็น Safe Haven
ในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง ค่าเงินที่มีสถานะเป็น Safe Haven เช่น เงินสวิสฟรังก์ (CHF) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มักจะแข็งค่าขึ้น นักลงทุนอาจพิจารณาการเปิดสถานะซื้อ (Long Position) ในคู่เงิน CHF/EUR หรือ JPY/EUR เมื่อมีสัญญาณของความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในความสัมพันธ์ทางการค้า
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงินต่างๆ (Currency Correlations) มีความสำคัญมากขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้าอาจไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค นักเทรดที่เข้าใจความสัมพันธ์เหล่านี้จะสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
แม้ว่าความขัดแย้งทางการค้าจะสร้างความไม่แน่นอนในตลาดโดยรวม แต่ยังมีโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในบางกลุ่มอุตสาหกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์:
ตลาดหุ้น:
สินค้าโภคภัณฑ์:
การบริหารความเสี่ยงมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจากความขัดแย้งทางการค้า นักลงทุนควรใช้เทคนิคต่อไปนี้เพื่อปกป้องพอร์ตการลงทุน:
1. การกระจายความเสี่ยง (Diversification)
การกระจายการลงทุนข้ามประเภทสินทรัพย์ ภูมิภาค และสกุลเงินจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดใดตลาดหนึ่ง นักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์เชิงลบ (Negative Correlation) หรือความสัมพันธ์ต่ำ (Low Correlation) กับสินทรัพย์หลักในพอร์ต
ในสถานการณ์ปัจจุบัน นักลงทุนอาจพิจารณาการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปน้อยกว่า หรือสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนเส้นทางการค้า (Trade Diversion)
2. การใช้ Stop Loss และ Take Profit ที่เหมาะสม
ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การกำหนด Stop Loss และ Take Profit ที่เหมาะสมมีความสำคัญมากขึ้น นักลงทุนควรกำหนด Stop Loss ที่ระดับราคาที่ยอมรับความเสี่ยงได้ และไม่ควรปรับเปลี่ยนเมื่อตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกับที่คาดหวัง
สำหรับ Take Profit นักลงทุนอาจพิจารณาการทยอยปิดสถานะเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการ แทนที่จะรอให้ถึงเป้าหมายทั้งหมด เพื่อล็อคกำไรบางส่วนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
3. การลดขนาดการเทรด (Position Sizing)
ในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนควรพิจารณาการลดขนาดการเทรดลงเพื่อจำกัดความเสี่ยง การใช้กฎการจัดการเงินทุน เช่น ไม่เสี่ยงมากกว่า 1-2% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง จะช่วยปกป้องพอร์ตการลงทุนจากการขาดทุนอย่างรุนแรงในกรณีที่ตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับที่คาดการณ์ไว้
4. การใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedging)
นักลงทุนอาจพิจารณาการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เช่น ออปชั่น (Options) หรือการเปิดสถานะที่มีทิศทางตรงข้ามกับสถานะหลักในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กัน เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง
ตัวอย่างเช่น นักลงทุนที่มีสถานะซื้อในหุ้นยุโรปอาจพิจารณาการเปิดสถานะขายในดัชนีหุ้นยุโรป หรือการซื้อ Put Options เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นยุโรปโดยรวม
5. การติดตามข่าวสารและการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง
การติดตามข่าวสารและพัฒนาการของความขัดแย้งทางการค้าอย่างใกล้ชิดมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงนี้ นักลงทุนควรให้ความสนใจกับการประกาศนโยบายการค้า ความคืบหน้าในการเจรจา และข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
การวิเคราะห์ผลกระทบของข่าวสารต่อสินทรัพย์ต่างๆ และการปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างทันท่วงทีจะช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ แพลตฟอร์มการเทรดของ FXGT มีเครื่องมือวิเคราะห์และแหล่งข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อช่วยนักลงทุนในการตัดสินใจ
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปที่เกิดขึ้นจากการประกาศใช้ภาษีนำเข้า 20% ของประธานาธิบดีทรัมป์ และมาตรการตอบโต้ของสหภาพยุโรป กำลังสร้างความท้าทายและความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินโลก การเข้าใจพลวัตของความขัดแย้งทางการค้านี้และผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักลงทุนและเทรดเดอร์ที่ต้องการนำทางตลาดที่มีความผันผวนสูง
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปมีประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ ดังนี้:
การประกาศใช้ภาษีนำเข้า 20% สำหรับสินค้าจากสหภาพยุโรปเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “reciprocal tariff” ที่กว้างขวางของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีผลกระทบต่อสินค้านำเข้าจากกว่า 180 ประเทศและดินแดนทั่วโลก
สหภาพยุโรปไม่ได้นิ่งเฉยต่อมาตรการดังกล่าว โดยได้ประกาศมาตรการตอบโต้มูลค่า 26 พันล้านยูโร (28 พันล้านดอลลาร์) สำหรับสินค้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในช่วงกลางเดือนเมษายน 2568
ผลกระทบของความขัดแย้งทางการค้านี้ได้สร้างความผันผวนในตลาดการเงิน โดยเฉพาะในตลาดเงินและตลาดทุน ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อบริษัทที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ
เศรษฐกิจยูโรโซนคาดว่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยการเติบโตของ GDP ในยูโรโซนอาจลดลง 0.3% ในช่วงสองปีข้างหน้า และอาจนำไปสู่ภาวะถดถอยหากความขัดแย้งลุกลามเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ
ภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกของยุโรป เช่น ยานยนต์ เครื่องจักรกล และเภสัชภัณฑ์ จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น เหล็ก อลูมิเนียม และสินค้าเกษตร มีความผันผวนสูงจากการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เผชิญกับความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงินที่รักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อทิศทางของอัตราดอกเบี้ยและค่าเงินในอนาคต
นักลงทุนควรให้ความสนใจกับปัจจัยสำคัญต่อไปนี้ซึ่งจะมีผลต่อพัฒนาการของความขัดแย้งทางการค้าและผลกระทบต่อตลาดการเงิน:
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปสร้างทั้งความเสี่ยงและโอกาสสำหรับนักลงทุน คำแนะนำสุดท้ายสำหรับการนำทางตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูงในช่วงนี้ประกอบด้วย:
1. ใช้แนวทางที่ระมัดระวังและยืดหยุ่น
ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรใช้แนวทางที่ระมัดระวังและยืดหยุ่นในการเทรด โดยพร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนตามพัฒนาการของสถานการณ์ ควรใช้การวิเคราะห์ทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคในการตัดสินใจ และไม่ยึดติดกับความคิดเห็นหรือคาดการณ์ของตนเองมากเกินไป
2. บริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด
การบริหารความเสี่ยงมีความสำคัญมากขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรใช้เทคนิคการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น การกระจายความเสี่ยง การกำหนด Stop Loss ที่เหมาะสม การลดขนาดการเทรด และการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงตามที่ได้อธิบายไว้ในส่วนก่อนหน้า
3. มองหาโอกาสในความผันผวน
ความผันผวนในตลาดสร้างโอกาสสำหรับนักเทรด CFD ที่สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาทั้งขาขึ้นและขาลง นักลงทุนควรระบุสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงและมีสภาพคล่องดี เช่น EUR/USD หรือสัญญา CFD ของดัชนีหุ้นยุโรป และใช้กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมกับสภาวะตลาด
4. ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือและบริการของ FXGT
แพลตฟอร์มการเทรด CFD ของ FXGT มีเครื่องมือวิเคราะห์และทรัพยากรที่ครบถ้วนเพื่อช่วยนักลงทุนในการนำทางตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนควรใช้ประโยชน์จากเครื่องมือเหล่านี้ รวมถึงการวิเคราะห์ตลาดและบทวิเคราะห์จากทีมผู้เชี่ยวชาญของ FXGT เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่มีข้อมูลครบถ้วน
5. เตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์
แม้ว่าสถานการณ์กลาง (Base Case Scenario) ที่ความขัดแย้งทางการค้ายังคงอยู่ในระดับปัจจุบันจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด แต่นักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับทั้งสถานการณ์ด้านลบ (ความขัดแย้งลุกลามเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ) และสถานการณ์ด้านบวก (การบรรลุข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป) ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละสถานการณ์
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปคาดว่าจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดการเงินโลกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า นักลงทุนที่มีความเข้าใจในพลวัตของความขัดแย้ง สามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่มีต่อสินทรัพย์ต่างๆ และมีกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสม จะอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบในการนำทางตลาดที่มีความผันผวนสูงและแสวงหาโอกาสในการทำกำไรในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้