หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
คู่เงิน EURUSD กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่มีความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์ที่ 23-30 พฤษภาคม 2025 โดยการเคลื่อนไหวของราคาสะท้อนให้เห็นถึงการแย่งชิงอิทธิพลระหว่างปัจจัยสนับสนุนและแรงกดดันจากหลากหลายมิติ ณ วันที่ 22 พฤษภาคม ราคาปิดที่ระดับ 1.1279 หลังจากที่เคยสามารถทดสอบจุดสูงใกล้ระดับ 1.1337 ในวันที่ 21 พฤษภาคม แต่กลับถูกกดดันลงมาอย่างรวดเร็วจากแรงขายที่เพิ่มขึ้นตามข้อมูลเศรษฐกิจที่เผยแพร่ในช่วงเวลาดังกล่าว
การฟื้นตัวที่น่าประทับใจจากระดับต่ำสุดที่ 1.1064 เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของคู่เงินนี้ภายใต้แรงกดดันที่รุนแรง การเคลื่อนไหวขึ้นมากกว่า 270 จุดภายในระยะเวลา 9 วันทำการชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของแรงซื้อที่แข็งแกร่งจากนักลงทุนสถาบัน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากรายงาน COT ที่แสดงการสะสมตำแหน่ง Long ของ Asset Manager มากถึง 432,043 สัญญา การเพิ่มขึ้น 4,726 สัญญาจากสัปดาห์ก่อนหน้าสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายใหญ่ต่อศักยภาพการฟื้นตัวของยูโรในระยะกลาง
ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเกิดขึ้นจากการเผยแพร่ข้อมูล PMI เบื้องต้นของทั้งสองภูมิภาคที่แสดงให้เห็นถึงทิศทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ข้อมูลจากยูโรปออกมาผิดหวังอย่างมาก โดยดัชนี Composite PMI ลดลงจาก 50.4 เป็น 49.5 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่บ่งชี้ถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ข้อมูลจากสหรัฐฯ กลับแสดงความแข็งแกร่งเกินคาดการณ์ โดย Manufacturing PMI เพิ่มขึ้นเป็น 52.3 จาก 50.2 และ Services PMI ปรับขึ้นเป็น 52.3 จาก 50.8 ความแตกต่างของข้อมูลเศรษฐกิจนี้ได้สร้างแรงกดดันต่อยูโรและเสริมความแข็งแกร่งให้กับดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างเห็นได้ชัด
การเคลื่อนไหวของดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางของ EURUSD ในช่วงนี้ โดย DXY ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 100.01 ในวันที่ 23 พฤษภาคม ซึ่งสร้างแรงกดดันโดยตรงต่อยูโรเนื่องจากน้ำหนักของยูโรในดัชนี DXY สูงถึง 57.6% ความสัมพันธ์เชิงลบที่แข็งแกร่งระหว่าง EURUSD และ DXY ที่ระดับ -0.87 ทำให้การแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเคลื่อนไหวของคู่เงินนี้
นอกเหนือจากปัจจัยทางเทคนิคและเศรษฐกิจแล้ว ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ต้องพิจารณา การระงับความหวังเรื่องการเจรจาหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครนหลังจากการแถลงของประธานาธิบดี Trump ได้เพิ่มความเสี่ยงให้กับสินทรัพย์ยุโรป ขณะเดียวกัน ความกังวลด้านการคลังของสหรัฐฯ จากการที่ Moody’s ลดการจัดอันดับเครดิตรัฐบาลสหรัฐฯ ประกอบกับการผ่านร่างพระราชบัญญัติภาษีที่อาจเพิ่มหนี้สาธารณะ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า กลับกลายเป็นปัจจัยที่สนับสนุนดอลลาร์ในระยะสั้นผ่านกลไกของความต้องการสภาพคล่องในสกุลเงินหลักของโลก
จากมุมมองทางเทคนิค การที่ราคา EURUSD สามารถรักษาการซื้อขายเหนือระดับแนวรับสำคัญที่ 1.1265 แสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของฐานรากการซื้อที่แข็งแกร่ง ดัชนี RSI เริ่มแสดงสัญญาณการเบี่ยงเบนเชิงบวกหลังจากที่ก่อนหน้านี้อยู่ในระดับขายมากเกินไป ซึ่งเป็นสัญญาณทางเทคนิคที่อาจสนับสนุนการปรับตัวขึ้นต่อไปในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการทะลุแนวต้านสำคัญที่ 1.1380 ซึ่งจะเป็นการยืนยันการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมจากเชิงลบเป็นเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ
เหตุการณ์เศรษฐกิจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของ EURUSD โดยเฉพาะการเผยแพร่ข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเบื้องต้นของทั้งสองภูมิภาคที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของสุขภาพเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ข้อมูล PMI ของยูโรโซนที่ออกมาในวันที่ 22 พฤษภาคมได้สร้างแรงกดดันต่อยูโรอย่างรุนแรง เมื่อดัชนี Composite PMI ลดลงจาก 50.4 เป็น 49.5 ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 50.1 และเป็นการตกต่ำกว่าเกณฑ์ที่บ่งชี้ถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2024
การลดลงของดัชนี PMI ยุโรปเกิดขึ้นจากการหดตัวของภาคบริการที่ไม่คาดคิด โดย Services PMI ลดลงจาก 50.5 เป็น 49.3 ขณะที่ Manufacturing PMI แม้จะปรับขึ้นเล็กน้อยจาก 45.8 เป็น 46.1 แต่ยังคงอยู่ในเขตหดตัวมาอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ในเยอรมนีซึ่งเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจของยุโรปแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอที่เพิ่มขึ้น เมื่อ Services PMI ลดลงจาก 49.0 เป็น 47.2 ต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 49.5 อย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลเหล่านี้ได้เสริมความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความยั่งยืนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปและเพิ่มแรงกดดันให้ธนาคารกลางยุโรปพิจารณาการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป
ในทางตรงกันข้าม ข้อมูลเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ กลับแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่เกินคาดการณ์อย่างชัดเจน ดัชนี Manufacturing PMI เพิ่มขึ้นเป็น 52.3 จากระดับ 50.2 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ Services PMI ปรับสูงขึ้นเป็น 52.3 จาก 50.8 การเพิ่มขึ้นของข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ท้าทาย ประกอบกับข้อมูลการขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลงเป็น 227,000 ราย ต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 230,000 ราย ได้เสริมความมั่นใจของนักลงทุนต่อความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐฯ และสนับสนุนการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์สำคัญอีกประการหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนคือการที่ Moody’s ได้ปรับลดการจัดอันดับเครดิตของรัฐบาลสหรัฐฯ จาก Aaa เป็น Aa1 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของการคลังระยะยาว การดำเนินการนี้เกิดขึ้นควบคู่กับการผ่านร่างพระราชบัญญัติภาษีของประธานาธิบดี Trump ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีก 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า แม้ว่าความกังวลด้านการคลังนี้ตามปกติควรจะเป็นปัจจัยลบต่อดอลลาร์ แต่กลับกลายเป็นว่าตลาดให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งของข้อมูลเศรษฐกิจมากกว่า ส่งผลให้ดอลลาร์ยังคงแข็งค่าในระยะสั้น
การมองไปข้างหน้าสำหรับสัปดาห์ที่ 26-30 พฤษภาคม เหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญหลายประการจะมีส่วนกำหนดทิศทางของ EURUSD อย่างมีนัยสำคัญ เหตุการณ์แรกที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดคือการเผยแพร่ข้อมูลดัชนีเงินเฟ้อ HICP เบื้องต้นของยูโรโซนในวันที่ 27 พฤษภาคม ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนจากระดับ 2.4% ในเดือนเมษายน หากข้อมูลออกมาสูงกว่าการคาดการณ์ อาจลดแรงกดดันให้ ECB ต้องลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง และเป็นปัจจัยสนับสนุนการแข็งค่าของยูโรในระยะสั้น
ควบคู่กันนั้น การเผยแพร่ข้อมูล PMI รอบสุดท้ายของยุโรปในวันเดียวกันจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางของกิจกรรมทางธุรกิจ โดยตลาดคาดหวังให้เห็นการปรับตัวดีขึ้นของ Composite PMI เป็น 51.0 จากระดับ 49.5 ที่ผิดหวังในรอบเบื้องต้น หาก PMI สามารถกลับขึ้นมาเหนือเกณฑ์ 50 ได้ จะเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปและสนับสนุนยูโรอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การแถลงของ Christine Lagarde ประธาน ECB ในวันเดียวกันจะเป็นจุดสำคัญที่นักลงทุนจะแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป
สำหรับด้านสหรัฐฯ เหตุการณ์ที่มีผลกระทบสูงสุดคือการเผยแพร่ข้อมูล Core PCE Price Index ในวันที่ 30 พฤษภาคม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญมากที่สุด การคาดการณ์ชี้ให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อ Core PCE รายเดือนอาจลดลงเป็น 0.0% จากระดับ 0.2% ในเดือนก่อน ขณะที่อัตราเมื่อเทียบกับปีก่อนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.3% หากข้อมูลออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ อาจเพิ่มโอกาสที่ Federal Reserve จะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันดอลลาร์และสนับสนุน EURUSD อย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูล GDP รอบสองของสหรัฐฯ สำหรับไตรมาสแรกปี 2025 ในวันที่ 29 พฤษภาคมก็เป็นอีกเหตุการณ์ที่ต้องติดตาม โดยตลาดคาดการณ์การปรับขึ้นจาก 2.4% เป็น 2.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หากข้อมูลออกมาเกินคาดการณ์ จะสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสนับสนุนดอลลาร์ต่อไป ขณะที่การแถลงของ Jerome Powell ประธาน Federal Reserve ในวันที่ 26 พฤษภาคมจะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับมุมมองของธนาคารกลางต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดรวมถึงความคืบหน้าของการเจรจางบประมาณสหรัฐฯ และการดำเนินการของร่างกฎหมายภาษีในวุฒิสภา ซึ่งอาจสร้างความผันผวนเพิ่มเติมในตลาดสกุลเงิน นอกจากนี้ การพัฒนาของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงการตอบสนองของสหภาพยุโรปต่อความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังคงเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการเคลื่อนไหวของยูโรในระยะต่อไป
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบครบวงจรของ EURUSD จำเป็นต้องพิจารณาการเคลื่อนไหวในทุกระดับเวลาเพื่อให้ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์ของแนวโน้มตลาด การวิเคราะห์นี้จะเริ่มจากกรอบเวลาระยะยาวไปสู่ระยะสั้น เพื่อระบุทิศทางหลักและหาจุดเข้าเทรดที่เหมาะสมที่สุด
ดัชนี RSI อยู่ที่ระดับ 56.6 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโมเมนตัมเชิงบวกที่ไม่เข้าสู่โซน overbought การที่ RSI สามารถฟื้นตัวจากระดับต่ำที่ 32.7 เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมขึ้นมาสู่ระดับปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงการสะสมแรงซื้อที่ค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ MACD อยู่ที่ 0.00252 เหนือระดับศูนย์ แต่อยู่ต่ำกว่าเส้น Signal line ที่ 0.00293 ทำให้ Histogram แสดงค่าลบที่ -0.00041 บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของโมเมนตัมในระยะสั้น
ดัชนี Stochastic แสดงสัญญาณที่น่าสนใจ โดย %K อยู่ที่ 26.6 และ %D อยู่ที่ 33.7 ซึ่งทั้งคู่อยู่ในโซน oversold ต่ำกว่า 30 และ 40 ตามลำดับ สภาวะนี้มักนำไปสู่การเด้งกลับในระยะสั้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับการที่ราคาได้ทดสอบแนวรับสำคัญและแสดงสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่ MACD ยังคงอยู่ในเขตบวกที่ 0.00188 แม้ว่า Histogram จะแสดงค่าลบที่ -0.00048 บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของโมเมนตัมแต่ยังไม่ถึงขั้นกลับทิศ
ดัชนี Stochastic บนกราฟรายชั่วโมงแสดงสัญญาณที่ต้องระมัดระวัง โดย %K อยู่ที่ระดับสูงถึง 88.3 และ %D อยู่ที่ 74.9 ซึ่งทั้งคู่เข้าสู่โซน overbought อย่างชัดเจน สภาวะนี้บ่งชี้ว่าการเคลื่อนไหวขึ้นในระยะสั้นอาจจะเริ่มสูญเสียโมเมนตัม ประกอบกับ MACD ที่กลับเป็นค่าลบที่ -0.00015 แสดงให้เห็นถึงการลดลงของแรงซื้อในระยะสั้น การที่ราคาสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วแต่เครื่องมือวัดโมเมนตัมเริ่มแสดงสัญญาณเตือนภัย ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการระมัดระวังการเข้าซื้อในจุดนี้
RSI บนกราฟ 30 นาทีได้แสดงการเคลื่อนไหวแบบ V-shape recovery โดยลดลงสู่ระดับ oversold ต่ำกว่า 30 ในช่วงเซสชันเอเชียตอนต้น ก่อนที่จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วไปสู่ระดับ 70+ ในช่วงเซสชันยุโรปเปิด การเคลื่อนไหวดังกล่าวบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของ sentiment อย่างรวดเร็ว ขณะที่ MACD histogram แสดงการ convergence ที่น่าสนใจ โดยเส้น MACD เริ่มเข้าใกล้เส้น signal line แม้ว่าจะยังอยู่ในเขตลบเล็กน้อย
การวิเคราะห์กราฟ 15 นาทีเป็นกรอบเวลาที่เหมาะสมสำหรับการ day trading และการหาจุด entry ที่แม่นยำ ในช่วง 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา กราฟนี้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบ ascending triangle ที่กำลังก่อตัว โดยมีแนวต้านแนวนอนที่ระดับ 1.1315-1.1318 และแนวรับที่ค่อยๆ เอียงขึ้นจาก 1.1280 ไปสู่ 1.1295 ปัจจุบัน รูปแบบนี้มักนำไปสู่การทะลุขึ้นเมื่อมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น
Stochastic oscillator บนกราฟ 15 นาทีแสดงสัญญาณ bullish crossover ที่น่าสนใจ โดย %K ได้ตัดขึ้นเหนือ %D line ในระดับ 25-30 ซึ่งเป็นสัญญาณ buying opportunity ที่มีความน่าเชื่อถือสูง การที่การ crossover เกิดขึ้นในโซน oversold ทำให้สัญญาณนี้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ประกอบกับ RSI ที่เริ่มแสดงการ positive divergence เมื่อราคาทำ lower low แต่ RSI ทำ higher low
การวิเคราะห์กราฟ 5 นาทีให้ความละเอียดสูงสุดสำหรับการ scalping และการจัดการ risk ในระยะสั้น ช่วงเวลา 2 ชั่วโมงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงการสร้าง support level ที่แข็งแกร่งที่ระดับ 1.1305-1.1308 โดยราคาได้ทดสอบระดับนี้ 3 ครั้งและสามารถเด้งกลับได้ทุกครั้ง การทดสอบแบบ multiple touch นี้เสริมความแข็งแกร่งให้กับระดับ support ดังกล่าว
Volume profile ในกราฟ 5 นาทีชี้ให้เห็นว่ามีการซื้อขายหนาแน่นที่ระดับ 1.1310-1.1313 ซึ่งสอดคล้องกับ Value Area ของเซสชันการซื้อขายในวันนี้ การที่ราคาสามารถรักษาตัวเหนือ VWAP (Volume Weighted Average Price) ที่ประมาณ 1.1295 เป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับการเคลื่อนไหวในระยะสั้น ขณะที่ order flow แสดงให้เห็นถึงการมี accumulation ของสถาบันในช่วงราคา 1.1300-1.1310
MACD บนกราฟ 5 นาทีแสดงสัญญาณ bullish momentum โดย histogram เริ่มเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว และ MACD line กำลังเข้าใกล้การตัดขึ้นเหนือ signal line การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของ volume ซึ่งเสริมความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
การวิเคราะห์แบบ multi-timeframe แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่น่าสนใจของ EURUSD ในปัจจุบัน โดยกรอบเวลาระยะยาว (Daily และ 4H) สนับสนุนแนวโน้มเชิงบวกในระยะกลาง ขณะที่กรอบเวลาระยะสั้น (H1, M30, M15, M5) แสดงให้เห็นถึงการก่อตัวของโอกาสการ breakout ที่มีศักยภาพ
จากมุมมองทางเทคนิค ระดับ 1.1315-1.1320 เป็นแนวต้านสำคัญที่หากสามารถทะลุได้ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพียงพอ อาจเปิดทางสู่การทดสอบเป้าหมายระยะสั้นที่ 1.1350-1.1380 ในทางกลับกัน การที่ราคาไม่สามารถทะลุแนวต้านนี้ได้ อาจนำไปสู่การทดสอบ support ที่ 1.1280-1.1290 อีกครั้ง
ความสอดคล้องของสัญญาณจากหลาย timeframe โดยเฉพาะการ oversold ใน Stochastic ของกราฟ 4H ที่เริ่มฟื้นตัว ร่วมกับ bullish crossover ในกราฟ M15 และ momentum เชิงบวกในกราฟ M5 สร้างภาพรวมที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวขึ้นในระยะสั้นถึงกลาง อย่างไรก็ตาม การที่ RSI ในหลาย timeframe เข้าใกล้โซน overbought ต้องการการติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าตลาดในจุดที่ไม่เหมาะสม
การระบุและวิเคราะห์ระดับต้านสำคัญของ EURUSD ในช่วงปัจจุบันต้องพิจารณาจากหลากหลายมิติ ทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิค ข้อมูลปริมาณการซื้อขาย และการกระจายตัวของตำแหน่งการลงทุนจากรายงาน COT ระดับต้านเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดกลยุทธ์การเทรดและการจัดการความเสี่ยงของนักลงทุนในทุกระดับ
ระดับต้านแรกที่ต้องเอาชนะคือช่วง 1.1315-1.1320 ซึ่งเป็นระดับที่ราคาได้ทำการทดสอบหลายครั้งในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา การวิเคราะห์จากข้อมูลกราฟหลาย timeframe แสดงให้เห็นว่าระดับนี้มีความหนาแน่นของ order ที่สูง โดยเฉพาะจากการขายทำกำไรของผู้ที่เข้าซื้อในช่วงราคาต่ำ 1.1280-1.1300 ในช่วงต้นสัปดาห์
ความสำคัญของระดับนี้เสริมด้วยการที่เป็นจุดที่ราคาได้สร้าง consolidation pattern ในรูปแบบ ascending triangle บนกราฟ 15 นาทีและ 30 นาทีอย่างชัดเจน การที่ราคาสามารถรักษาตัวเหนือแนวรับที่เอียงขึ้น ขณะที่ยังไม่สามารถทะลุแนวต้านแนวนอนนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงการสะสมพลังงานสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ หากสามารถทะลุระดับ 1.1320 ได้ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จะเป็นสัญญาณเชิงบวกที่แข็งแกร่งสำหรับการเคลื่อนไหวต่อไปยังเป้าหมายถัดไป
ระดับต้านที่สองและมีความสำคัญอย่างมากคือช่วง 1.1337-1.1345 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่ราคาได้ทดสอบเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ก่อนที่จะถูกผลักดันลงมาอย่างรุนแรงจากข้อมูล PMI ที่ผิดหวังของยุโรป ระดับนี้มีความสำคัญทางจิตวิทยาอย่างมาก เนื่องจากเป็นจุดที่นักลงทุนจำนวนมากได้เข้าซื้อและปัจจุบันอาจติดค้างหรือรอโอกาสขายคืนทุน
การวิเคราะห์จาก volume profile ในช่วงที่ราคาทดสอบระดับ 1.1337 แสดงให้เห็นถึงการมีปริมาณการซื้อขายที่สูงมาก ซึ่งบ่งชี้ถึงการต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย นอกจากนี้ การที่ RSI ในกราฟ 4 ชั่วโมงได้พุ่งสูงถึง 74.6 ในช่วงที่ราคาทดสอบระดับนี้ แสดงให้เห็นถึงสภาวะ overbought ที่รุนแรง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดแรงขายอย่างหนัก
หากราคาสามารถกลับมาทดสอบระดับ 1.1337 อีกครั้งและมีการทะลุขึ้นไปได้ จะเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของ market sentiment อย่างแท้จริง เนื่องจากจะแสดงให้เห็นว่าแรงซื้อมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเอาชนะแรงขายจากผู้ที่ติดค้างและผู้ที่รอขายทำกำไร การทะลุระดับนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวขึ้นแบบ impulsive ไปสู่เป้าหมายที่สูงขึ้น
ระดับต้านที่สามซึ่งเป็นเป้าหมายทางเทคนิคสำคัญอยู่ในช่วง 1.1380-1.1400 การกำหนดระดับนี้มาจากการประยุกต์ใช้ Fibonacci extension จากการเคลื่อนไหวขึ้นของคลื่นก่อนหน้า รวมถึงการวิเคราะห์ historical resistance levels ที่มีความสำคัญในอดีต ระดับ 1.1380 โดยเฉพาะมีความสำคัญทางเทคนิคสูง เนื่องจากเป็นระดับที่ได้รับการยืนยันจากการวิเคราะห์หลายรูปแบบ
ความสำคัญของระดับนี้เพิ่มขึ้นเมื่อพิจารณาจากข้อมูลตำแหน่งการลงทุนในรายงาน COT ที่แสดงให้เห็นว่า Dealer Intermediary มีตำแหน่ง Short สะสมอยู่ที่ 423,571 สัญญา หากราคาสามารถเคลื่อนไหวขึ้นไปถึงระดับ 1.1380 อาจเป็นจุดที่เกิด Short Squeeze ขึ้น เนื่องจาก Dealer จำนวนมากอาจต้องปิดตำแหน่ง Short ที่ขาดทุนและเปลี่ยนเป็นการซื้อคืน ซึ่งจะสร้างแรงผลักดันเพิ่มเติมให้กับราคา
การวิเคราะห์จาก implied volatility ของ options market ยังชี้ให้เห็นว่าระดับ 1.1400 เป็นจุดที่มีการเทรด options ในปริมาณสูง โดยเฉพาะ call options ที่มี strike price ในระดับนี้ การที่มี gamma exposure สูงในระดับ 1.1380-1.1400 อาจสร้างความผันผวนเพิ่มเติมเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับดังกล่าว
ระดับต้านสำคัญสุดสำหรับการเคลื่อนไหวในระยะกลางอยู่ในช่วง 1.1450-1.1480 ซึ่งเป็นระดับที่จะเข้าถึงได้หากเกิดสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยหลายประการเข้ามาร่วมกัน ได้แก่ การทะลุระดับต้านก่อนหน้าทั้งหมด การเกิด Short Squeeze จากตำแหน่งของ Dealer และการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานในทิศทางที่เอื้อต่อยูโร
การกำหนดระดับนี้อิงจากการวิเคราะห์ Elliott Wave theory ที่ชี้ให้เห็นว่าหากการฟื้นตัวปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ corrective wave ที่ใหญ่ขึ้น เป้าหมายของคลื่นปรับตัวขึ้นอาจอยู่ในช่วง 61.8% ถึง 78.6% Fibonacci retracement ของการลดลงก่อนหน้า ซึ่งจะอยู่ในช่วง 1.1450-1.1480 นอกจากนี้ ระดับนี้ยังสอดคล้องกับ projection target จากการวิเคราะห์ harmonic patterns
ข้อมูลจาก COT Reports ยังให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับระดับนี้ โดยการที่ Asset Manager มีตำแหน่ง Long สะสมถึง 432,043 สัญญา แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ต่อศักยภาพการเพิ่มขึ้นของยูโรในระยะกลางถึงยาว หากการเคลื่อนไหวขึ้นมีความต่อเนื่องและสามารถเข้าถึงระดับ 1.1450 ได้ อาจเป็นจุดที่สถาบันเหล่านี้เริ่มการขายทำกำไรบางส่วน ซึ่งอาจสร้างแรงต้านที่แข็งแกร่งในระดับดังกล่าว
ความสำเร็จในการทะลุระดับต้านต่างๆ จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ปัจจัยแรกคือปริมาณการซื้อขายที่ต้องเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อราคาเข้าใกล้แต่ละระดับ การที่มี volume confirmation จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของการทะลุและลดโอกาสของ false breakout ปัจจัยที่สองคือการสนับสนุนจากข้อมูลพื้นฐาน โดยเฉพาะผลของข้อมูล HICP ยุโรปที่จะเผยแพร่ในวันที่ 27 พฤษภาคมและข้อมูล Core PCE สหรัฐฯ ในวันที่ 30 พฤษภาคม
ปัจจัยที่สามคือพฤติกรรมของดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีความสัมพันธ์เชิงลบกับ EURUSD อย่างแข็งแกร่ง การอ่อนตัวของ DXY จากระดับปัจจุบันที่ 100.01 จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้กับการทะลุระดับต้านของ EURUSD ขณะที่ปัจจัยสุดท้ายคือการเปลี่ยนแปลงของ market sentiment เกี่ยวกับนโยบายการเงินของทั้ง ECB และ Federal Reserve
การติดตามระดับต้านเหล่านี้อย่างใกล้ชิดจะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้ระดับต้านเป็นจุดอ้างอิงสำหรับการกำหนด take profit levels และการประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้น การทะลุแต่ละระดับจะเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของแรงซื้อและเพิ่มโอกาสการเคลื่อนไหวต่อไปยังเป้าหมายที่สูงขึ้น
การระบุและวิเคราะห์แนวรับสำคัญของ EURUSD เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารความเสี่ยงและการวางแผนกลยุทธ์การลงทุน แนวรับเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นจุดหยุดขาดทุนทางเทคนิค แต่ยังเป็นตัวบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มและความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงทิศทางตลาด การวิเคราะห์แนวรับจึงต้องพิจารณาจากมิติต่างๆ อย่างครอบคลุม ทั้งข้อมูลทางเทคนิค การกระจายตัวของตำแหน่งการลงทุนจากสถาบัน และพลวัตของปัจจัยพื้นฐานที่อาจส่งผลกระทบต่อการรักษาแนวรับดังกล่าว
แนวรับแรกและมีความสำคัญสูงสุดในระยะสั้นคือช่วง 1.1265-1.1280 ซึ่งได้รับการยืนยันความแข็งแกร่งจากการทดสอบหลายครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การที่ราคาสามารถฟื้นตัวจากแนวรับนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของแรงซื้อที่แข็งแกร่งจากนักลงทุนสถาบัน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากรายงาน COT ที่แสดงการสะสมตำแหน่ง Long ของ Asset Manager ที่แนวรับ 432,043 สัญญา การเพิ่มขึ้น 4,726 สัญญาจากสัปดาห์ก่อนหน้าชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องของสถาบันการเงินขนาดใหญ่
ความสำคัญของแนวรับนี้เสริมด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แสดงให้เห็นว่าเป็นจุดบรรจบของเส้น Moving Average ระยะกลาง โดยเฉพาะ SMA 50 ที่อยู่ที่แนวรับ 1.1150 และแนวโน้มขาขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 1.1064 การที่แนวรับ 1.1265 ทำหน้าที่เป็นฐานการเด้งขึ้นที่แข็งแกร่ง สะท้อนให้เห็นถึงการรวมตัวของปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ทั้งจากมุมมองทางเทคนิคและการไหลเข้าของเงินลงทุนจากสถาบัน
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายในแนวรับนี้แสดงให้เห็นถึงการมี absorption ของแรงขายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาทดสอบแนวรับ 1.1270 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ราคากลับสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว พฤติกรรมดังกล่าวบ่งชี้ถึงการมีผู้ซื้อรอคอยอยู่ในแนวรับนี้ ซึ่งมักเป็นลักษณะของการสะสมจากนักลงทุนระยะยาว
หากราคาสามารถรักษาตัวเหนือแนวรับ 1.1265 ได้อย่างต่อเนื่อง จะเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับการเคลื่อนไหวขึ้นต่อไปยังเป้าหมายที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน การทะลุลงมาต่ำกว่าแนวรับนี้ด้วยปริมาณการซื้อขายสูงจะส่งสัญญาณเตือนภัยและอาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับถัดไป
แนวรับที่สองซึ่งมีความสำคัญเชิงจิตวิทยาสูงคือช่วง 1.1216-1.1235 การกำหนดแนวรับนี้อิงจากการวิเคราะห์ Fibonacci retracement ของการเคลื่อนไหวขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 1.1064 ไปสู่จุดสูงสุดที่ 1.1337 ซึ่งแนวรับ 38.2% retracement อยู่ที่ประมาณ 1.1233 การที่แนวรับนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลักการ Fibonacci ทำให้มีความน่าเชื่อถือทางเทคนิคสูง และมักเป็นจุดที่นักลงทุนเทคนิคัลให้ความสำคัญอย่างมาก
ความสำคัญของแนวรับนี้เพิ่มขึ้นเมื่อพิจารณาจากมุมมองของ market structure โดยการทะลุลงมาต่ำกว่า 1.1216 จะถือเป็นการทำลาย Higher Low structure ที่เกิดขึ้นในช่วงการฟื้นตัวที่ผ่านมา สถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง หรืออย่างน้อยที่สุดคือการเข้าสู่ช่วง sideways trend ที่อาจยาวนานกว่าที่คาดการณ์
การวิเคราะห์จาก sentiment indicators และข้อมูล positioning ของนักเทรดรายย่อยแสดงให้เห็นว่าแนวรับนี้เป็นจุดที่อาจเกิดการ capitulation ของผู้ถือตำแหน่ง Long ที่เข้ามาในช่วงราคาสูง หากราคาลดลงมาทดสอบแนวรับ 1.1220 อาจเกิดการขายแบบ panic selling จากกลุ่มนักเทรดรายย่อยที่มีสัดส่วน Long สูงถึง 51% ตามข้อมูลจาก IG Client Sentiment การขายจากกลุ่มนี้อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก COT Reports ชี้ให้เห็นว่าสถาบันการเงินใหญ่ยังคงมีท่าทีเชิงบวกต่อยูโร ดังนั้นหากเกิดการทดสอบแนวรับ 1.1216-1.1235 อาจเป็นโอกาสสำหรับการสะสมเพิ่มเติมจากกลุ่มนักลงทุนระยะยาว การมี institutional support ในแนวรับนี้อาจช่วยลดความรุนแรงของการลดลงและสร้างฐานสำหรับการฟื้นตัวครั้งใหม่
แนวรับสุดท้ายและมีความสำคัญสูงสุดสำหรับการรักษาแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางถึงยาวคือช่วง 1.1064-1.1090 โดยแนวรับ 1.1064 เป็นจุดต่ำสุดที่ราคาได้ทดสอบเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม และเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวที่น่าประทับใจที่เราเห็นในปัจจุบัน การกลับมาทดสอบแนวรับนี้อีกครั้งจะถือเป็น retest ของ major support ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยืนยันหรือปฏิเสธแนวโน้มขาขึ้น
ความสำคัญของแนวรับ 1.1064 ไม่เพียงแต่อยู่ที่การเป็นจุดต่ำสุดล่าสุดเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวรับที่สอดคล้องกับการวิเคราะห์หลายรูปแบบ ทั้งการเป็น 78.6% Fibonacci retracement ของการเคลื่อนไหวขึ้นก่อนหน้า และการเป็นจุดที่สร้าง double bottom potential หากได้รับการทดสอบและฟื้นตัวได้อีกครั้ง รูปแบบ double bottom จะเป็นสัญญาณ reversal ที่แข็งแกร่งและอาจนำไปสู่การขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะต่อไป
การวิเคราะห์จากมุมมองของ intermarket relationships แสดงให้เห็นว่าแนวรับ 1.1064 สอดคล้องกับจุดที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ได้แข็งค่าขึ้นสู่แนวรับสูงสุดในรอบหลายเดือน หากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีกครั้ง จะต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานที่อาจเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งก่อน โดยเฉพาะทิศทางนโยบายการเงินของ Federal Reserve และ ECB ที่อาจมีการปรับเปลี่ยนตามข้อมูลเศรษฐกิจใหม่
ข้อมูลจาก open interest ในตลาด futures แสดงให้เห็นว่ามีการสะสม Long positions อย่างมากในแนวรับใกล้เคียงกับ 1.1080-1.1100 ซึ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนสถาบันมองว่าแนวรับนี้เป็น value area ที่มีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว การมี institutional interest ในแนวรับนี้อาจทำหน้าที่เป็น safety net หากราคาลดลงมาทดสอบ
ความสำเร็จในการรักษาแนวรับต่างๆ จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการที่ต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด ปัจจัยแรกคือการเปลี่ยนแปลงของ risk sentiment ในตลาดโลก หากเกิดความไม่แน่นอนจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ อาจสร้างแรงกดดันต่อสกุลเงินเสี่ยงอย่างยูโรและทำให้การรักษาแนวรับเป็นเรื่องท้าทายมากขึ้น
ปัจจัยที่สองคือพฤติกรรมของตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะอัตราผลตอบแทน 10 ปีที่ปัจจุบันอยู่ที่ 4.54% การเพิ่มขึ้นของ yield spread ระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปอาจสร้างแรงดึงดูดให้กับดอลลาร์และกดดันยูโร ในทางกลับกัน การลดลงของ yield differential อาจช่วยสนับสนุนการรักษาแนวรับของ EURUSD
ปัจจัยที่สามคือการไหลเข้าออกของเงินลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐฯ การที่นักลงทุนต่างชาติลดการลงทุนในสินทรัพย์ยุโรปจะสร้างแรงขายต่อยูโร ขณะที่การไหลเข้าของเงินลงทุนจะช่วยสนับสนุน การติดตามข้อมูล portfolio flows จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการประเมินความยั่งยืนของแนวรับ
ปัจจัยสุดท้ายคือการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะความเป็นไปได้ของการลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB ที่ตลาดคาดการณ์อยู่ที่ 78% สำหรับการประชุมเดือนมิถุนายน หากความเป็นไปได้นี้เพิ่มขึ้นจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อการรักษาแนวรับของยูโร
การเข้าใจและติดตามแนวรับเหล่านี้อย่างละเอียดจะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนการจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้โอกาสจากการทดสอบแนวรับในการสร้างตำแหน่งการลงทุนที่เหมาะสมกับแนวรับความเสี่ยงและวัตถุประสงค์การลงทุนของแต่ละบุคคล
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของ EURUSD ในปัจจุบันต้องพิจารณาความซับซ้อนของปัจจัยขับเคลื่อนหลายมิติที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของคู่เงินนี้ ตั้งแต่ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ไปจนถึงความสัมพันธ์เชิงซับซ้อนกับตลาดการเงินอื่นและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้อย่างถ่องแท้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินแนวโน้มระยะกลางถึงยาวได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
ความแตกต่างอย่างชัดเจนของทิศทางนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของ EURUSD ในช่วงปัจจุบัน ธนาคารกลางยุโรปกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ปรากฏชัดเจนจากข้อมูล PMI ที่ลดลงสู่ระดับต่ำกว่าเกณฑ์การขยายตัวที่ 50 จุด การที่ดัชนี Composite PMI ลดลงจาก 50.4 เป็น 49.5 ในเดือนพฤษภาคมสะท้อนให้เห็นถึงการหดตัวของกิจกรรมทางธุรกิจที่อาจต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น
เจ้าหน้าที่ ECB หลายท่านได้ออกมาแสดงความคิดเห็นที่สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดย Luis De Guindos รองประธาน ECB ได้กล่าวว่าอัตราเงินเฟ้ออาจกลับสู่เป้าหมาย 2% ได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจกำลังอ่อนแอลง ความเห็นนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Boris Vujčić ที่ระบุว่าอัตราเงินเฟ้ออาจใกล้เคียงเป้าหมายภายในสิ้นปี 2025 ตลาดการเงินปัจจุบันให้ความน่าจะเป็นถึง 78% ที่ ECB จะลดอัตราดอกเบี้ย 25 หน่วยพื้นฐานในการประชุมเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันอย่างต่อเนื่องต่อยูโร
ในทางตรงกันข้าม Federal Reserve ยังคงรักษาท่าทีที่ระมัดระวังและมีแนวโน้มที่จะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งเกินคาดการณ์ โดยเฉพาะ Manufacturing PMI ที่เพิ่มขึ้นเป็น 52.3 และ Services PMI ที่ปรับสูงขึ้นเป็น 52.3 สนับสนุนการรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป ประกอบกับข้อมูลการขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลงเป็น 227,000 ราย ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานที่ยังคงสนับสนุนการรักษานโยบายการเงินที่เข้มงวด ความแตกต่างของทิศทางนโยบายนี้สร้าง negative carry trade opportunity ที่เอื้อต่อดอลลาร์และกดดันยูโรในระยะต่อไป
แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะแสดงความแข็งแกร่ง แต่ความกังวลด้านการคลังระยะยาวเริ่มส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน การที่ Moody’s ได้ปรับลดการจัดอันดับเครดิตของรัฐบาลสหรัฐฯ จาก Aaa เป็น Aa1 เป็นสัญญาณเตือนภัยเกี่ยวกับความยั่งยืนของหนี้สาธารณะ สถานการณ์นี้ทวีความรุนแรงขึ้นด้วยการผ่านร่างพระราชบัญญัติภาษีของประธานาธิบดี Trump ในสภาผู้แทนราษฎรที่คาดว่าจะเพิ่มหนี้สาธารณะอีก 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า
ความไม่แน่นอนด้านการคลังนี้ได้สะท้อนในตลาดพันธบัตรรัฐบาลผ่านการลดลงของอัตราผลตอบแทน 10 ปีสู่ระดับ 4.54% ซึ่งลดลง 0.044% ในวันที่ 22 พฤษภาคม การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการขยายตัวของหนี้สาธารณะและผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินระยะยาว อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อตลาดสกุลเงินยังคงให้การสนับสนุนดอลลาร์ เนื่องจากสถานะของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลักของโลกและความต้องการสภาพคล่องในช่วงที่มีความไม่แน่นอน
การเคลื่อนไหวของ EURUSD ไม่สามารถมองแยกจากพลวัตของตลาดการเงินอื่นได้ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีค่าสหสัมพันธ์เชิงลบถึง -0.87 การที่ DXY ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 100.01 สร้างแรงกดดันโดยตรงต่อ EURUSD เนื่องจากน้ำหนักของยูโรในการคำนวณ DXY สูงถึง 57.6% ความสัมพันธ์นี้ทำให้การแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลกระทบอย่างเข้มข้นต่อคู่เงิน EURUSD มากกว่าคู่เงินอื่น
ความสัมพันธ์เชิงบวกกับทองคำที่ระดับ +0.687 ยังให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ risk sentiment ของตลาด การที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่ำกว่า 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนให้เห็นถึงการลดลงของความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งส่งผลเสริมแรงกดดันต่อยูโรในฐานะสกุลเงินเสี่ยง การเพิ่มขึ้นของทองคำในกองทุน SPDR Gold Trust ถึง 4.01 ตันในวันที่ 23 พฤษภาคมแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างผู้ลงทุนสถาบันและการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น
ความสัมพันธ์กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ระดับ -0.535 ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทาง การลดลงของ yield differential ระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปอาจช่วยสนับสนุนยูโรในระยะสั้น แต่แนวโน้มโดยรวมยังคงเอื้อต่อดอลลาร์เนื่องจากความแตกต่างของนโยบายการเงิน
ข้อมูลจากรายงาน COT แสดงให้เห็นถึงภาพที่น่าสนใจของการกระจายตัวของตำแหน่งการลงทุน โดย Asset Manager หรือสถาบันการเงินขนาดใหญ่มีการสะสมตำแหน่ง Long EURUSD อย่างต่อเนื่องถึง 432,043 สัญญา ซึ่งเพิ่มขึ้น 4,726 สัญญาจากสัปดาห์ก่อนหน้า การสะสมนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนมืออาชีพต่อศักยภาพการฟื้นตัวของยูโรในระยะกลางถึงยาว แม้จะเผชิญกับความท้าทายในระยะสั้น
ในทางตรงกันข้าม Dealer Intermediary ยังคงรักษาตำแหน่ง Short ขนาดใหญ่ที่ 423,571 สัญญา สถานการณ์นี้สร้างศักยภาพสำหรับการเกิด Short Squeeze หากปัจจัยพื้นฐานหันมาเอื้อต่อยูโรอย่างกะทันหัน การที่ตำแหน่ง Short และ Long มีขนาดใกล้เคียงกันแสดงให้เห็นถึงการแบ่งขั้วของความเห็นในตลาด ซึ่งอาจสร้างความผันผวนสูงเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของ momentum
กองทุน Hedge Funds แสดงการปรับตำแหน่งที่น่าสนใจโดยเพิ่มตำแหน่ง Long 13,255 สัญญาและลดการเก็งกำไร Short ลง 1,153 สัญญา ส่งผลให้มี Net Long Position ที่ +20,153 สัญญา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับการปรับตัวของ risk sentiment ในตลาดโลก
ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อยูโรอย่างต่อเนื่อง การระงับความหวังเรื่องการเจรจาหยุดยิงหลังจากการแถลงของประธานาธิบดี Trump ที่ระบุว่าประธานาธิบดีปูตินไม่พร้อมที่จะยุติสงครามเพราะเชื่อว่าตนกำลังชนะ ได้เพิ่มความเสี่ยงด้านพลังงานและความมั่นคงให้กับภูมิภาคยุโรป สถานการณ์นี้ส่งผลให้นักลงทุนยังคงมองยูโรในฐานะสกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูงกว่าดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม มีข่าวเชิงบวกจากการที่สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในประเด็นสำคัญต่างๆ รวมถึงความร่วมมือด้านการป้องกันและความมั่นคง การประมง และการเคลื่อนย้ายของเยาวชน ข้อตกลงนี้ช่วยยกระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการฟื้นฟูความสัมพันธ์หลัง Brexit และอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนการไหลเข้าของเงินลงทุนสู่ภูมิภาคยุโรปในระยะยาว
ความสัมพันธ์ข้ามสกุลเงินให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่สำคัญสำหรับการทำความเข้าใจทิศทางของ EURUSD ความสัมพันธ์เชิงบวกที่แข็งแกร่งกับ GBPUSD ที่ระดับ +0.94 ชี้ให้เห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อยูโรมักจะส่งผลต่อปอนด์ในทิศทางเดียวกัน การที่ GBPUSD กำลังทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1.3535 อาจเป็นสัญญาณสำคัญสำหรับทิศทางของ EURUSD เช่นกัน
ความสัมพันธ์เชิงลบกับ USDJPY ที่ระดับ -0.87 แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเยนในฐานะสกุลเงิน safe haven การที่ USDJPY กำลังเผชิญแรงกดดันและอาจทดสอบแนวรับที่ 143.23 อาจเป็นสัญญาณของการอ่อนแอของดอลลาร์ในระยะสั้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสนับสนุน EURUSD
การเข้าใจปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้อย่างครอบคลุมจะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงและโอกาสได้อย่างแม่นยำ และวางแผนกลยุทธ์การลงทุนที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตลาดการเงินโลก การติดตามการพัฒนาของปัจจัยเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในการเทรด EURUSD ในระยะต่อไป
การวิเคราะห์แบบบูรณาการของ EURUSD ในช่วงสัปดาห์ที่ 23-30 พฤษภาคม 2025 เผยให้เห็นภาพการต่อสู้ที่ซับซ้อนระหว่างปัจจัยสนับสนุนและแรงกดดันจากหลากหลายมิติ ซึ่งสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ท้าทายแต่เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับนักเทรดที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อพลวัตของตลาด จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบหลายมิติควบคู่กับการประเมินปัจจัยพื้นฐานและความสัมพันธ์ระหว่างตลาด สามารถสรุปได้ว่าคู่เงินนี้กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญซึ่งการเคลื่อนไหวในระยะต่อไปจะขึ้นอยู่กับการมาบรรจบกันของปัจจัยสำคัญหลายประการ
ในระยะสั้น EURUSD แสดงสัญญาณที่ผสมผสานระหว่างความแข็งแกร่งทางเทคนิคและแรงกดดันจากปัจจัยพื้นฐาน การที่ราคาสามารถรักษาตัวเหนือแนวรับสำคัญที่ 1.1265 และแสดงสัญญาณการฟื้นตัวจากสภาวะ oversold ในหลาย timeframe เป็นสัญญาณเชิงบวกที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของ bullish divergence ใน RSI และ positive crossover ใน Stochastic oscillator บนกราฟ 15 นาทีและ 30 นาที การก่อตัวของ ascending triangle pattern ที่ระดับ 1.1315-1.1320 สร้างโอกาสสำหรับการ breakout ที่มีศักยภาพสูง หากสามารถทะลุด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพียงพอ
การสนับสนุนจากข้อมูล COT Reports ที่แสดงการสะสมตำแหน่ง Long อย่างต่อเนื่องจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ระดับ 432,043 สัญญา เป็นปัจจัยสำคัญที่เสริมความเชื่อมั่นในแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักมาจากการแข็งค่าของดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ระดับ 100.01 และความสัมพันธ์เชิงลบที่แข็งแกร่งระหว่าง DXY และ EURUSD ที่ระดับ -0.87 ประกอบกับข้อมูลเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างทั้งสองภูมิภาค โดยสหรัฐฯ แสดงความแข็งแกร่งขณะที่ยุโรปเผชิญการชะลอตัว
ในระยะกลาง ทิศทางของ EURUSD จะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างนโยบายการเงินระหว่าง ECB และ Federal Reserve อย่างมีนัยสำคัญ ความน่าจะเป็นที่ ECB จะลดอัตราดอกเบี้ย 25 หน่วยพื้นฐานในเดือนมิถุนายนที่ระดับ 78% สร้างแรงกดดันโครงสร้างต่อยูโร ขณะที่ Federal Reserve มีแนวโน้มที่จะรักษาท่าทีเข้มงวดต่อไปเนื่องจากความแข็งแกร่งของข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ การขยายตัวของ negative carry trade differential จะเป็นปัจจัยท้าทายสำคัญที่ยูโรต้องเผชิญ
การวิเคราะห์จากมุมมองของ market positioning แสดงให้เห็นถึงศักยภาพสำหรับการเกิด Short Squeeze จากตำแหน่ง Short ของ Dealer Intermediary ที่ 423,571 สัญญา หากปัจจัยพื้นฐานหันมาเอื้อต่อยูโรอย่างกะทันหัน เป้าหมายในระยะกลางที่ 1.1450-1.1480 ยังคงเป็นไปได้หากเกิดการทะลุแนวต้านหลักและมีการสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงของ risk sentiment และการปรับปรุงของข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับนักเทรดมือใหม่ การมุ่งเน้นที่การเรียนรู้และเข้าใจพลวัตของตลาดจากสถานการณ์ปัจจุบันจะเป็นประโยชน์มากกว่าการเสี่ยงด้วยตำแหน่งขนาดใหญ่ การใช้กลยุทธ์ Dollar Cost Averaging ในการสร้างตำแหน่ง Long ขนาดเล็กเมื่อราคาทดสอบแนวรับ 1.1280-1.1300 พร้อมการกำหนด Stop Loss ที่เข้มงวดที่ระดับ 1.1250 จะช่วยควบคุมความเสี่ยงขณะเดียวกันให้โอกาสในการเรียนรู้จากการเคลื่อนไหวของตลาด การติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและการเรียนรู้การตีความผลกระทบต่อสกุลเงินจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาทักษะการเทรดในระยะยาว
นักเทรดระดับกลางสามารถใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดและการประยุกต์ใช้กลยุทธ์ Multi-Currency Correlation Trading การเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของ GBPUSD ที่แนวต้าน 1.3535 และ USDJPY ที่แนวรับ 143.23 เพื่อใช้เป็น leading indicators สำหรับทิศทางของ EURUSD จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจ การใช้กลยุทธ์ Event-Driven Trading รอบข้อมูล HICP ยุโรปและ Core PCE สหรัฐฯ พร้อมการเตรียม Hedge Position ด้วย Options หรือการปรับขนาดตำแหน่งก่อนการประกาศจะช่วยจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น
นักเทรดมืออาชีพสามารถใช้ประโยชน์จากความซับซ้อนของสถานการณ์ปัจจุบันผ่านการสร้าง Portfolio ที่ใช้ประโยชน์จากความไม่สมดุลของ market positioning การใช้กลยุทธ์ Triangular Arbitrage ระหว่าง EURUSD, GBPUSD และ USDJPY เมื่อค่าสหสัมพันธ์เบี่ยงเบนจากระดับปกติ การสร้างตำแหน่ง Long EURUSD ควบคู่กับ Short USDJPY เพื่อใช้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของดอลลาร์ผ่านหลายช่องทาง และการใช้ Gold เป็น Hedge เมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตโฟลิโอ
การติดตามข้อมูล HICP เบื้องต้นของยูโรโซนในวันที่ 27 พฤษภาคมจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หากข้อมูลออกมาสูงกว่าคาดการณ์ที่ 2.7% อาจช่วยลดแรงกดดันให้ ECB ลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงและสนับสนุนยูโรในระยะสั้น การแถลงของ Christine Lagarde ในวันเดียวกันจะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินที่อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินยูโรอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูล Core PCE สหรัฐฯ ในวันที่ 30 พฤษภาคมจะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางสำคัญที่สุดของสัปดาห์ หากข้อมูลออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 0.0% รายเดือน อาจเพิ่มโอกาสที่ Federal Reserve จะปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายและสร้างแรงกดดันต่อดอลลาร์ การแถลงของ Jerome Powell ในวันที่ 26 พฤษภาคมจะให้สัญญาณเบื้องต้นเกี่ยวกับการตีความข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดและแนวทางการดำเนินนโยบายต่อไป
ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในช่วงการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญต้องการการเตรียมความพร้อมที่เหมาะสม การปรับลดขนาดตำแหน่งก่อนเหตุการณ์สำคัญ การใช้ Stop Loss ที่เหมาะสมกับระดับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น และการเตรียม Hedge Position ผ่าน Options หรือ Futures จะช่วยปกป้องพอร์ตโฟลิโอจากการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิด การติดตามการเปลี่ยนแปลงของค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง EURUSD กับ DXY, XAUUSD และคู่เงินหลักอื่นจะช่วยให้การปรับกลยุทธ์เป็นไปอย่างทันท่วงที
การพัฒนาของสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความคืบหน้าของสงครามยูเครน-รัสเซียและการตอบสนองของสหภาพยุโรป รวมถึงการดำเนินการของร่างกฎหมายภาษีในวุฒิสภาสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจสร้างความผันผวนโดยไม่คาดคิด การรักษาความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์และการหลีกเลี่ยงการใช้ leverage สูงเกินไปในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูงจะเป็นหลักการสำคัญสำหรับการรอดตายและเติบโตในตลาดที่ท้าทายนี้
สรุปแล้ว EURUSD ในปัจจุบันนำเสนอทั้งโอกาสและความท้าทายที่สมดุลกัน ความสำเร็จในการเทรดคู่เงินนี้จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการรวมการวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้ากับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อปัจจัยพื้นฐานและความสัมพันธ์ระหว่างตลาด พร้อมทั้งการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมการลงทุนอย่างรวดเร็ว