Table of Contents
บทนำ
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์นี้จะเผชิญกับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางของสินทรัพย์หลักทั่วโลก โดยเฉพาะการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ และรายงานการจ้างงานประจำเดือนเมษายน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในบริบทที่เศรษฐกิจโลกกำลังส่งสัญญาณชะลอตัว และความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มขึ้น
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดได้เผชิญกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ อันเนื่องมาจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ขัดแย้งกัน เช่น คำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่งถึง 9.2% แต่ดัชนี PMI ที่ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐอย่างมาก โดยดัชนี ICE U.S. Dollar ลดลงถึง 8% ในปี 2025 ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นปีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 40 ปีของดัชนีนี้ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และสกุลเงินทั่วโลก
นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรติดตามปัจจัยสำคัญในสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บทวิเคราะห์นี้จะช่วยให้คุณเข้าใจปัจจัยหลักที่อาจส่งผลต่อสินทรัพย์สำคัญ พร้อมทั้งแนวทางในการบริหารความเสี่ยงและโอกาสทางการตลาด
รายการเหตุการณ์เศรษฐกิจที่มีผลกระทบสูง (รูปแบบเวลา GMT+7)
จันทร์ที่ 28 เมษายน 2025
- 19:00 น. อัตราการว่างงานสเปน (Unemployment Rate) – คาดการณ์: 10.7%
- ทั้งวัน การเลือกตั้งระดับสหพันธรัฐแคนาดา (Federal Election) – ผลกระทบสูงต่อ CAD
อังคารที่ 29 เมษายน 2025
- 12:01 น. ดัชนีราคาร้านค้าของอังกฤษ (BRC Shop Price Index y/y) – คาดการณ์: -0.2%
- 14:00 น. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนี (German GfK Consumer Climate) – คาดการณ์: -24.5
- 20:00 น. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ (CB Consumer Confidence) – คาดการณ์: 92.9
พุธที่ 30 เมษายน 2025
- 09:30 น. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของจีน (Manufacturing PMI) – คาดการณ์: 50.5
- 09:45 น. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต Caixin ของจีน (Caixin Manufacturing PMI) – คาดการณ์: 51.2
- 12:30 น. การใช้จ่ายผู้บริโภคฝรั่งเศส (French Consumer Spending m/m) – คาดการณ์: -0.1%
- 12:30 น. GDP ฝรั่งเศสไตรมาส 1 (French Flash GDP q/q) – คาดการณ์: -0.1%
- 13:55 น. อัตราการเปลี่ยนแปลงการว่างงานเยอรมนี – คาดการณ์: เพิ่มขึ้น 26K
- 15:00 น. GDP เยอรมนีไตรมาส 1 (German Prelim GDP q/q) – คาดการณ์: -0.2%
- 19:15 น. รายงานการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯ (ADP Non-Farm Employment Change) – คาดการณ์: 155K
- 19:30 น. GDP ไตรมาส 1 ของสหรัฐฯ (Advance GDP q/q) – คาดการณ์: 2.4%
- 19:30 น. ดัชนีต้นทุนการจ้างงานสหรัฐฯ (Employment Cost Index q/q) – คาดการณ์: 0.9%
- 21:00 น. ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE Price Index m/m) – คาดการณ์: 0.4%
พฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม 2025
- เวลายังไม่ระบุ อัตราดอกเบี้ยนโยบายธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ Policy Rate) – คาดการณ์: -0.50%
- 14:30 น. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของอังกฤษ (Final Manufacturing PMI) – คาดการณ์: 44.0
- 19:30 น. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯ (Unemployment Claims) – คาดการณ์: 222K
- 21:00 น. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของสหรัฐฯ (ISM Manufacturing PMI) – คาดการณ์: 49.0
ศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2025
- 12:30 น. อัตราการว่างงานญี่ปุ่น (Unemployment Rate) – คาดการณ์: 2.4%
- 15:30 น. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของยูโรโซน (Final Manufacturing PMI) – คาดการณ์: 48.7
- 16:00 น. อัตราเงินเฟ้อยูโรโซน (CPI Flash Estimate y/y) – คาดการณ์: 2.2%
- 16:00 น. อัตราการว่างงานยูโรโซน (Unemployment Rate) – คาดการณ์: 6.1%
- 19:30 น. อัตราค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงสหรัฐฯ (Average Hourly Earnings m/m) – คาดการณ์: 0.3%
- 19:30 น. การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ (Non-Farm Employment Change) – คาดการณ์: 228K
- 19:30 น. อัตราการว่างงานสหรัฐฯ (Unemployment Rate) – คาดการณ์: 4.2%
เสาร์ที่ 3 พฤษภาคม 2025
- ทั้งวัน การเลือกตั้งรัฐสภาออสเตรเลีย (Parliamentary Elections) – ผลกระทบสูงต่อ AUD
การวิเคราะห์เชิงลึกของแต่ละเหตุการณ์สำคัญ
สัปดาห์นี้จะมีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญหลายรายการซึ่งมีศักยภาพในการสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกกำลังเพิ่มขึ้น ต่อไปนี้เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกของเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด
การเลือกตั้งระดับสหพันธรัฐแคนาดา (28 เมษายน)
การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีความสำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจสำหรับภูมิภาคอเมริกาเหนือ ผลการเลือกตั้งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อนโยบายพลังงานและการค้าระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าหลัก
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม:
- นโยบายด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจกระทบต่อทิศทางอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของแคนาดา
- ท่าทีต่อการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ในประเด็นเกี่ยวกับสินค้าเกษตรและไม้แปรรูป
- นโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานซึ่งอาจกระตุ้นเศรษฐกิจแคนาดาและส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์แคนาดา
ผลกระทบต่อตลาด:
- ค่าเงินดอลลาร์แคนาดา (CAD) อาจเผชิญกับความผันผวนสูงในช่วงการประกาศผลและหลังการเลือกตั้ง
- หุ้นกลุ่มพลังงานของแคนาดาและบริษัทที่มีการค้าข้ามพรมแดนจะได้รับผลกระทบโดยตรง
- การเปลี่ยนแปลงนโยบายอาจส่งผลต่อราคาน้ำมันในระยะกลาง หากมีการเปลี่ยนแปลงในข้อตกลงท่อส่งน้ำมันระหว่างประเทศ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ (29 เมษายน)
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) จาก Conference Board มีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 92.9 ลดลงจากเดือนก่อนหน้า
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม:
- มุมมองผู้บริโภคต่อตลาดแรงงานและโอกาสการจ้างงานในอนาคต
- ความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจและการคาดการณ์ด้านรายได้ของครัวเรือน
- แนวโน้มการใช้จ่ายสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยและการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น บ้านและรถยนต์
ผลกระทบต่อตลาด:
- หากดัชนีต่ำกว่าคาดการณ์มาก อาจส่งสัญญาณถึงการชะลอตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภค ซึ่งจะกดดันดอลลาร์สหรัฐและตลาดหุ้น
- ดัชนีที่แข็งแกร่งกว่าคาดอาจช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสนับสนุนดอลลาร์สหรัฐในระยะสั้น
- หุ้นกลุ่มค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภคจะได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษจากข้อมูลนี้
GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ (30 เมษายน)
ตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ จะเป็นหนึ่งในข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตเพียง 0.4% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญจากไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ที่เติบโต 2.4%
ปัจจัยที่อาจกดดันตัวเลข GDP:
- การลดลงของความเชื่อมั่นผู้บริโภคส่งผลให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนชะลอตัว
- การนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีใหม่ทำให้ดุลการค้าแย่ลง
- ดัชนีภาคการผลิตและบริการที่ชะลอตัวลงในช่วงปลายไตรมาส
ผลกระทบต่อตลาด:
- หากตัวเลข GDP ต่ำกว่า 0.4% อาจส่งผลลบต่อดอลลาร์สหรัฐและตลาดหุ้น แต่อาจเพิ่มความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตลาดพันธบัตรและทองคำ
- หากตัวเลข GDP สูงกว่า 0.4% จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลบวกต่อดอลลาร์สหรัฐและตลาดหุ้น แต่อาจลดความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ย
- นักลงทุนควรให้ความสนใจกับองค์ประกอบของ GDP โดยเฉพาะการใช้จ่ายผู้บริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งจะบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งพื้นฐานของเศรษฐกิจ
ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) (30 เมษายน)
Core PCE เป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ให้ความสำคัญมากที่สุด คาดการณ์ว่า Core PCE จะเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งยังคงสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของ Fed ที่ 2%
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม:
- แนวโน้มของ Core PCE เมื่อเทียบกับตัวชี้วัดเงินเฟ้ออื่นๆ เช่น CPI
- ผลกระทบของการอ่อนค่าของดอลลาร์ต่อราคาสินค้านำเข้าและเงินเฟ้อโดยรวม
- การกระจายตัวของแรงกดดันด้านราคาในภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจ
ผลกระทบต่อตลาด:
- หาก Core PCE สูงกว่าคาดการณ์ อาจทำให้ Fed ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลบวกต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่กดดันตลาดหุ้นและพันธบัตร
- หาก Core PCE ต่ำกว่าคาดการณ์ อาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นและพันธบัตร แต่อาจกดดันดอลลาร์สหรัฐ
- ข้อมูลนี้จะมีผลอย่างมากต่อความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินของ Fed และทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
นโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) (1 พฤษภาคม)
BOJ มีกำหนดประกาศนโยบายการเงินในวันที่ 1 พฤษภาคม โดยตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ -0.50% การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นครั้งแรกหลังจากที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมที่ผ่านมา
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม:
- มุมมองของ BOJ ต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในญี่ปุ่นและความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2%
- การประเมินผลกระทบของการอ่อนค่าของเยนต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
- ความเป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยนมาตรการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (YCC)
ผลกระทบต่อตลาด:
- หาก BOJ ส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต จะส่งผลบวกต่อเยนญี่ปุ่นและกดดันคู่สกุลเงิน USD/JPY และ EUR/JPY
- หาก BOJ ยังคงมีท่าทีผ่อนคลาย เยนญี่ปุ่นอาจยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า
- ตลาดพันธบัตรญี่ปุ่นและตลาดหุ้นโตเกียวจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการตัดสินใจครั้งนี้
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) (1-2 พฤษภาคม)
สัปดาห์นี้จะมีการประกาศดัชนี PMI ภาคการผลิตของประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งจะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับภาวะของภาคการผลิตทั่วโลก ดัชนีที่อยู่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงการหดตัว ในขณะที่ดัชนีที่สูงกว่า 50 แสดงถึงการขยายตัว
ข้อมูล PMI ที่สำคัญ:
- สหรัฐฯ ISM Manufacturing PMI (1 พฤษภาคม) – คาดการณ์: 49.0
- อังกฤษ Final Manufacturing PMI (1 พฤษภาคม) – คาดการณ์: 44.0
- ยูโรโซน Final Manufacturing PMI (2 พฤษภาคม) – คาดการณ์: 48.7
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม:
- องค์ประกอบย่อยของดัชนี โดยเฉพาะคำสั่งซื้อใหม่ การจ้างงาน และราคาวัตถุดิบ
- ความแตกต่างระหว่างดัชนี PMI ของประเทศต่างๆ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก
- ความเห็นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเกี่ยวกับผลกระทบของความตึงเครียดทางการค้าต่อธุรกิจ
ผลกระทบต่อตลาด:
- ดัชนี PMI ที่อ่อนแอกว่าคาดอาจเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง
- ดัชนี PMI ที่แข็งแกร่งกว่าคาดอาจช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจโลกและสนับสนุนสินทรัพย์เสี่ยง
- ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างประเทศอาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวของกระแสเงินทุนระหว่างประเทศและส่งผลต่อค่าเงิน
รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (2 พฤษภาคม)
รายงานการจ้างงานประจำเดือนเมษายนเป็นข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญมากอีกรายการหนึ่งในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานประมาณ 228,000 ตำแหน่ง อัตราการว่างงานคงที่ที่ 4.2% และค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม:
- จำนวนการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคบริการและการผลิต
- อัตราค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวชี้วัดแรงกดดันเงินเฟ้อที่สำคัญ
- อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงานและแนวโน้มค่าจ้าง
ผลกระทบต่อตลาด:
- หากตัวเลขการจ้างงานแข็งแกร่งกว่าคาดและค่าจ้างเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด อาจลดความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลบวกต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่อาจกดดันตลาดหุ้นและพันธบัตร
- หากตัวเลขการจ้างงานอ่อนแอกว่าคาดและค่าจ้างเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด อาจเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลลบต่อดอลลาร์สหรัฐและตลาดหุ้น แต่อาจส่งผลบวกต่อพันธบัตรและทองคำ
- ข้อมูลนี้จะมีผลอย่างมากต่อความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินของ Fed ในการประชุมครั้งต่อไป
การเลือกตั้งรัฐสภาออสเตรเลีย (3 พฤษภาคม)
การเลือกตั้งรัฐสภาออสเตรเลียจะมีความสำคัญต่อนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) และความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะจีนและสหรัฐฯ
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม:
- นโยบายด้านพลังงานและเหมืองแร่ ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจออสเตรเลีย
- ท่าทีต่อความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของออสเตรเลีย
- นโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงานสะอาด ซึ่งอาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมถ่านหินและแร่ธาตุ
ผลกระทบต่อตลาด:
- ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) อาจเผชิญกับความผันผวนในช่วงการประกาศผลและหลังการเลือกตั้ง
- หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และพลังงานของออสเตรเลียจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลใหม่
- ความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนอาจส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะเหล็กและถ่านหิน ซึ่งออสเตรเลียเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่
การวิเคราะห์เชิงลึกของเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนและเทรดเดอร์สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ โดยการปรับกลยุทธ์การซื้อขายให้สอดคล้องกับผลกระทบที่คาดการณ์ไว้ และบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
สรุปผลกระทบโดยรวมและข้อสรุปสำหรับเทรดเดอร์
สัปดาห์ที่จะถึงนี้ (28 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2025) จะเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับตลาดการเงินโลก โดยมีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีน้ำหนักและการประกาศข้อมูลสำคัญที่อาจสร้างความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญในทุกประเภทสินทรัพย์ การทำความเข้าใจถึงผลกระทบโดยรวมและความสัมพันธ์ระหว่างตลาดจะช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยงและระบุโอกาสการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผลกระทบต่อตลาดสกุลเงิน
ตลาดสกุลเงินจะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวเลข GDP และรายงานการจ้างงาน ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งลดลงถึง 8% ในปี 2025 และถือเป็นการเริ่มต้นปีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 40 ปีของดัชนีนี้ อาจมีการฟื้นตัวทางเทคนิคในระยะสั้น หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
คู่เงิน EUR/USD มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวระหว่างแนวรับสำคัญที่ 1.07 และแนวต้านที่ 1.09 โดยทิศทางจะขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ หากตัวเลข GDP สหรัฐฯ ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก (น้อยกว่า 0.4% QoQ) อาจเพิ่มแรงกดดันต่อดอลลาร์สหรัฐและผลักดันให้คู่เงิน EUR/USD ทะลุแนวต้าน 1.09
ในขณะเดียวกัน การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ในวันที่ 1 พฤษภาคม จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินเยน หากมีสัญญาณของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือการเปลี่ยนแปลงในมาตรการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตร อาจทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะกดดันคู่เงิน USD/JPY และ EUR/JPY
ผลกระทบต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
ราคาน้ำมันดิบ WTI ซึ่งปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ $62.27 ต่อบาร์เรลในวันที่ 25 เมษายน 2025 (ลดลง 10.22% จากต้นเดือน) อาจยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะหากตัวเลข GDP สหรัฐฯ และดัชนี PMI ของประเทศเศรษฐกิจหลักออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ แนวรับสำคัญอยู่ที่ $60 ต่อบาร์เรล และหากทะลุระดับนี้ไป อาจทดสอบระดับ $58 ต่อบาร์เรล
ราคาทองคำ XAUUSD ปิดตลาดล่าสุดในวันที่ 28 เมษายน 2025 อยู่ที่ 3,272.90 USD ต่อทรอยออนซ์ (ราคา Bid) และ 3,274.90 USD ต่อทรอยออนซ์ (ราคา Ask) โดยปรับตัวลดลง 45.40 USD (-1.37%) จากวันก่อนหน้า เนื่องจากความแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐและความผ่อนคลายของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน อย่างไรก็ตาม ทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง โดยมีแนวรับสำคัญที่ 3,265-3,260 USD และแนวต้านหลักที่ 3,366-3,368 USD ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกว่าคาดและความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลกอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนสำหรับทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ผลกระทบต่อตลาดพันธบัตรและอัตราดอกเบี้ย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งลดลงมาอยู่ที่ 4.32% ในวันที่ 24 เมษายน 2025 (ลดลงจาก 4.40% ในวันก่อนหน้า) อาจยังคงมีแนวโน้มลดลงต่อไปหากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ เนื่องจากนักลงทุนจะเพิ่มความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและตลาดหุ้นมีความซับซ้อนมากขึ้นในสภาวะปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้ว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงมักส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นเติบโต (Growth Stocks) และบริษัทเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม หากอัตราผลตอบแทนลดลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการถดถอยของเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นอาจได้รับผลกระทบในทางลบแทน
กลยุทธ์การซื้อขายแนะนำ
ในภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้ การวางแผนกลยุทธ์การซื้อขายที่รอบคอบและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ต่อไปนี้คือข้อแนะนำสำหรับเทรดเดอร์ในกลุ่มสินทรัพย์หลัก:
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น:
- Forex:
- EUR/USD: พิจารณาเปิดสถานะซื้อที่แนวรับใกล้ 1.07 โดยมีเป้าหมายที่ 1.09 และตั้ง stop loss ไว้ที่ 1.065 กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่คาดว่าข้อมูล GDP สหรัฐฯ จะออกมาต่ำกว่าคาดการณ์
- USD/JPY: ติดตามการประชุม BoJ อย่างใกล้ชิด และอาจพิจารณาเปิดสถานะขายหากมีสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่อาจทำให้เยนแข็งค่า
- ระมัดระวังการซื้อน้ำมัน WTI ในระยะสั้น เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อ่อนแอลง
- อาจพิจารณาเปิดสถานะขายที่แนวต้านใกล้ $65 ต่อบาร์เรล โดยมีเป้าหมายที่แนวรับ $60 และตั้ง stop loss ที่ $67
- พิจารณาเปิดสถานะซื้อที่แนวรับใกล้ 3,265 USD โดยมี stop loss ที่ 3,250 USD และเป้าหมายทำกำไรที่ 3,366-3,368 USD
- ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับผลของข้อมูล GDP สหรัฐฯ และรายงานการจ้างงาน ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของราคาทองคำอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว:
- การกระจายความเสี่ยง:
- เน้นการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดใดตลาดหนึ่ง
- พิจารณาการเพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลคุณภาพสูงและทองคำ เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
- พิจารณาสะสมทองคำในกรณีที่ราคาปรับตัวลงสู่ระดับ 3,200 USD โดยอ้างอิงการคาดการณ์ระยะยาวของสถาบันการเงินชั้นนำ เช่น JP Morgan ที่มองว่าราคาทองคำจะแตะ 4,000 USD ต่อออนซ์ภายในไตรมาส 2/2026
- ติดตามพัฒนาการของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและตลาดการเงิน
- ให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ โดยเฉพาะ Fed, ECB และ BoJ
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง
นักลงทุนควรตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงหลักที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดในสัปดาห์นี้:
- การชะลอตัวของเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่าคาด: หากตัวเลข GDP สหรัฐฯ ต่ำกว่า 0.4% หรือติดลบ อาจสร้างความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ (Recession) และส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
- ภาวะ Stagflation: ความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมกับเงินเฟ้อสูง หากตัวเลข GDP ต่ำแต่ดัชนี Core PCE ยังคงสูงกว่าเป้าหมายของ Fed มาก
- ความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรง: หากมีการประกาศมาตรการตอบโต้ทางการค้าเพิ่มเติมระหว่างสหรัฐฯ และจีน อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดและเพิ่มความผันผวน
- การเปลี่ยนแปลงท่าทีของธนาคารกลางอย่างกะทันหัน: การแถลงการณ์หรือเปลี่ยนนโยบายของธนาคารกลางที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า อาจสร้างความตกใจให้กับตลาดและนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อย่างรุนแรง
บทสรุป
สัปดาห์ที่จะถึงนี้จะเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับตลาดการเงินโลก ด้วยข้อมูลเศรษฐกิจและการประกาศนโยบายที่สำคัญหลายรายการ นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้น
ตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ และรายงานการจ้างงานจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดในระยะสั้น โดยเฉพาะตลาดสกุลเงินและพันธบัตร ในขณะที่การประชุมนโยบายการเงินของ BoJ จะส่งผลกระทบต่อค่าเงินเยนและความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงินในภูมิภาคเอเชีย
การบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและการกระจายการลงทุนยังคงเป็นสิ่งสำคัญในสภาวะตลาดปัจจุบัน นักลงทุนควรพิจารณาการใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง (Hedging) และไม่ควรใช้เลเวอเรจสูงเกินไปในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
ด้วยการวิเคราะห์ที่รอบคอบ การติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เทรดเดอร์สามารถระบุโอกาสในการทำกำไรและป้องกันพอร์ตการลงทุนจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึงนี้
ข้อความสงวนสิทธิ์: เนื้อหาและข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกแสดงไว้ ณ ที่นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในด้านการตลาดแบบทั่วไปเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำหรือการแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนและไม่ถือเป็นการเชิญชวนให้ซื้อตราสารทางการเงินใด ๆ และ/หรือเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางการเงินใด ๆ นักลงทุนเป็นผู้รับผิดชอบความเสี่ยงจากการตัดสินใจลงทุนของตัวเองและนักลงทุนควรหาคำแนะนำจากมืออาชีพที่มีความเป็นอิสระก่อนทำการตัดสินใจใด ๆ การวิเคราะห์และความคิดเห็นตามที่ปรากฏอยู่ ณ ที่นี่ไม่ได้มีการคำนึงถึงวัตถุประสงค์ในการลงทุนส่วนบุคคล สถานภาพทางการเงิน หรือความจำเป็นส่วนบุคคลของคุณ โปรดอ่านข้อความสงวนสิทธิ์ของบทวิจัยการลงทุนที่เป็นอิสระ
ที่นี่.
ข้อมูลความเสี่ยง: CFD เป็นตราสารที่มีความซับซ้อนและมีระดับความเสี่ยงสูงที่จะขาดทุน อ่านข้อมูลความเสี่ยงฉบับเต็ม
ที่นี่ .