หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์นี้เผชิญกับความซับซ้อนที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อปัจจัยพื้นฐานหลากหลายมาบรรจบกันในเวลาเดียวกัน ตั้งแต่การตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก ไปจนถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่บานปลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบในตะวันออกกลาง
Federal Reserve ได้ส่งสัญญาณชัดเจนเมื่อวันพุธที่ผ่านมาด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยหลักไว้ที่ระดับ 4.25%-4.5% ตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่ที่น่าสนใจคือ Dot Plot ยังคงชี้ไปที่การลดดอกเบี้ย 2 ครั้งภายในปี 2025 ขณะเดียวกันก็ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อ ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีของประธานาธิบดี Trump ที่อาจกระตุ้นเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลกกำลังดำเนินนโยบายที่แตกต่างกัน ECB เพิ่งลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points ในต้นเดือนมิถุนายน RBA และ RBNZ ต่างก็มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน ขณะที่ BOJ ยังคงท่าทีระมัดระวังด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ความแตกต่างของนโยบายการเงินเหล่านี้สร้างโอกาสและความเสี่ยงใหม่ในตลาด Forex โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวของ Interest Rate Differential
สถานการณ์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกคือการบานปลายของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเป็นสงครามเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2025 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาพลังงานและการไหลของเงินทุนสู่สินทรัพย์ปลอดภัย การที่ WTI Oil ปรับตัวขึ้น 0.31% ไปที่ $75.10 ต่อบาร์เรล และทองคำยังคงอยู่ในระดับสูงที่ $3,373.04 ต่อออนซ์ แม้จะปรับลดลงเล็กน้อย สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
ตลาดหุ้นทั่วโลกแสดงความอ่อนแอในวันที่ 19 มิถุนายน 2025 โดย Dow Jones ปรับลดลง 1.79% S&P 500 ลดลง 1.13% และ NASDAQ ลดลง 1.30% ซึ่งสะท้อนถึง Risk-off Sentiment ที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 99.05 โดยเพิ่มขึ้น 0.15% และกำลังทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 98.30 การเบรกผ่านระดับนี้สามารถนำไปสู่เป้าหมายที่ 106.00 ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคู่สกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ EURUSD ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 1.1451 และ GBPUSD ที่ 1.3404
ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนเช่นนี้ การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ (Intermarket Relationships) กลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งขึ้น เทรดเดอร์จำเป็นต้องมองภาพรวมของปัจจัยทั้งทางเทคนิคและพื้นฐาน รวมถึงการไหลของเงินทุนระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เพื่อสร้างกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดปัจจุบัน
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์นี้แสดงภาพของความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น โดยมีการเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงการปรับตัวของนักลงทุนต่อปัจจัยความเสี่ยงที่หลากหลาย ตั้งแต่นโยบายการเงินที่แตกต่างกันของธนาคารกลางหลัก ไปจนถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) แสดงความแข็งแกร่งอย่างชัดเจนด้วยการปรับตัวขึ้น 0.15% ไปที่ระดับ 99.05 จุด การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความคาดหวังที่ Fed จะยังคงมีท่าทีเข้มงวดต่อการต่อสู้กับเงินเฟ้อ แม้จะมีการคาดการณ์การลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2025 แต่การปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อเป็น 3% ทำให้ดอลลาร์ยังคงได้รับการสนับสนุนจากมุมมอง Yield Advantage
ความแข็งแกร่งของดอลลาร์สะท้อนออกมาผ่านการอ่อนแอของสกุลเงินหลัก โดย EURUSD ปรับลดลง 0.13% ไปที่ 1.1451 ซึ่งเป็นผลจากการที่ ECB ได้ลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ทำให้ Interest Rate Differential ระหว่าง USD และ EUR ขยายตัวกว้างขึ้น การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับ Intermarket Analysis ที่แสดงให้เห็นถึง Inverse Correlation ระหว่าง DXY และสกุลเงินหลัก
GBPUSD เช่นกันปรับลดลง 0.16% ไปที่ 1.3404 แม้ว่า BOE จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงที่ 4.25% แต่ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรและผลกระทบจากสถานการณ์ยุโรปทำให้ Pound อ่อนแอลง ในขณะที่ USDJPY คงที่ที่ 145.12 สะท้อนถึงการแทรกแซงที่เป็นไปได้ของ BOJ เพื่อป้องกันไม่ให้เยนอ่อนค่าลงมากเกินไป
ตลาดทองคำแสดงการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเมื่อปรับลดลงเล็กน้อย 0.36% ไปที่ $3,373.04 ต่อออนซ์ แม้จะมีการลดลง แต่ราคายังคงอยู่ในระดับสูงมาก สะท้อนถึงความต้องการ Safe Haven Assets ที่ยังคงแข็งแกร่ง การเคลื่อนไหวนี้เป็นผลจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ ความแข็งแกร่งของดอลลาร์ที่สร้างแรงกดดันลงต่อทองคำ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สนับสนุนการซื้อทองคำเป็น Safe Haven
ตลาดพลังงานแสดงปฏิกิริยาโดยตรงต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 0.31% ไปที่ $75.10 ต่อบาร์เรล การเพิ่มขึ้นนี้เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานพลังงานจากภูมิภาคตะวันออกกลาง และความเป็นไปได้ที่สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านจะขยายตัวกว้างขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ เนื่องจากตลาดยังคงมี Strategic Reserve และแหล่งอุปทานทางเลือกอื่นๆ
ตลาดหุ้นทั่วโลกแสดงความอ่อนแออย่างชัดเจนในวันที่ 19 มิถุนายน 2025 โดย Dow Jones Industrial Average ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 1.79% ไปที่ 42,198 จุด การลดลงครั้งนี้เป็นการปรับตัวที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสัปดาห์ สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และผลกระทบจากนโยบายภาษีที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของบริษัท
S&P 500 ปรับลดลง 1.13% ไปที่ 5,977 จุด โดยหุ้นในกลุ่ม Technology และ Energy เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการลดลง ขณะที่ NASDAQ ที่มีสัดส่วนหุ้น Technology สูงปรับลดลง 1.30% ไปที่ 19,407 จุด การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้าและนโยบายภาษีต่อบริษัทเทคโนโลยีที่มีการดำเนินงานระหว่างประเทศ
ในเอเชีย Nikkei 225 ปรับลดลง 0.89% ไปที่ 37,834 จุด การลดลงที่น้อยกว่าตลาดสหรัฐเป็นผลจากการอ่อนค่าของเยนที่ยังคงสนับสนุนหุ้นส่งออกญี่ปุ่น แต่ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และผลกระทบต่อการค้าโลกยังคงสร้างแรงกดดัน
การวิเคราะห์ Market Sentiment ในสัปดาห์นี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจาก Risk-on เป็น Risk-off อย่างชัดเจน ปัจจัยขับเคลื่อนหลักประกอบด้วย การคาดการณ์ของ Fed ที่เพิ่มความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเงินเฟ้อ สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางที่บานปลาย และความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐ
การไหลของเงินทุนแสดงให้เห็นถึงการหลบหนีสู่สินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้รับประโยชน์จากทั้งสถานะ Safe Haven และ Yield Advantage จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า การเคลื่อนไหวนี้สร้างผลกระทบแบบ Domino Effect ต่อสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉพาะสกุลเงินของประเทศเกิดใหม่และตลาดหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง
Intermarket Relationship ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบ Classical ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ โดยมีการเคลื่อนไหวแบบ Inverse Correlation ระหว่างดอลลาร์กับสกุลเงินหลัก การเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานควบคู่กับการลดลงของตลาดหุ้น และการคงระดับสูงของทองคำแม้จะมีดอลลาร์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการ Safe Haven ที่รุนแรง
ภูมิทัศน์ของนโยบายการเงินโลกในปี 2025 แสดงภาพของการแยกทางอย่างชัดเจนระหว่างธนาคารกลางหลัก โดยแต่ละแห่งกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการประเมินทิศทางของตลาดการเงินและโอกาสการเทรดในระยะข้างหน้า
การตัดสินใจของ Federal Reserve ในการคงอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายไว้ที่ระดับ 4.25%-4.5% สะท้อนถึงท่าทีที่ระมัดระวังอย่างยิ่งต่อสถานการณ์เศรษฐกิจที่ซับซ้อน แม้ว่า Dot Plot ยังคงชี้ไปที่การลดดอกเบี้ย 2 ครั้งภายในปี 2025 แต่การปรับเปลี่ยนคาดการณ์เศรษฐกิจแสดงให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อ
การปรับลดคาดการณ์ GDP จาก 1.7% เป็น 1.4% สำหรับปี 2025 ควบคู่กับการเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อ PCE จาก 2.7% เป็น 3.0% และ Core PCE จาก 2.8% เป็น 3.1% สะท้อนถึงสถานการณ์ที่คล้ายกับ Stagflation ที่ Fed กำลังพยายามหลีกเลี่ยง การที่ 7 จาก 19 คณะกรรมการระบุว่าไม่ต้องการการลดดอกเบี้ยเลยในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 4 คนในเดือนมีนาคม แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกภายใน Fed เกี่ยวกับทิศทางนโยบาย
ประธาน Jerome Powell ได้ส่งสัญญาณถึงความจำเป็นในการรอดูข้อมูลเพิ่มเติม โดยระบุว่า “เราอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะรอเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางที่น่าจะเป็นของเศรษฐกิจก่อนพิจารณาการปรับเปลี่ยนนโยบาย” คำกล่าวนี้บ่งบอกถึงท่าทีที่เน้นข้อมูลเป็นหลัก (Data-dependent) ของ Fed ซึ่งจะส่งผลต่อความผันผวนของตลาดในระยะสั้น
ECB ได้แสดงท่าทีที่แตกต่างจาก Fed อย่างชัดเจนด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย Deposit Facility 25 basis points เป็น 2.00% เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2025 การตัดสินใจนี้อิงจากการประเมินว่าเงินเฟ้อในยูโรโซนกำลังมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน ซึ่งให้พื้นที่สำหรับนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น
การตัดสินใจของ ECB สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตในยูโรโซนที่ยังคงอ่อนแอ โดยเฉพาะในเยอรมนีซึ่งกำลังเผชิญกับความเสี่ยงภาวะถดถอย การลดดอกเบี้ยนี้ทำให้ Interest Rate Differential ระหว่าง USD และ EUR ขยายตัวกว้างขึ้นเป็น 250 basis points ซึ่งสนับสนุนแนวโน้มการอ่อนแอของ Euro ต่อ Dollar ในระยะกลาง
BOJ ยังคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0.5% เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2025 และดำเนิน Bond Tapering Program ต่อไปจนถึงมีนาคม 2026 การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการปรับลดคาดการณ์การเติบโตและความคาดหวังว่าเงินเฟ้อจะอ่อนแอลงในระยะใกล้
แม้ว่า BOJ จะมีการปรับนโยบายให้เป็น Neutral มากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับอดีต แต่อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงต่ำกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญทำให้เยนยังคงเผชิญกับแรงกดดัน USDJPY ที่คงที่ที่ระดับ 145.12 แสดงให้เห็นถึงการแทรกแซงที่เป็นไปได้หรือการเตรียมพร้อมของ BOJ ในการป้องกันไม่ให้เยนอ่อนค่าเกินระดับที่ยอมรับได้
Reserve Bank of Australia ได้ลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points เป็น 3.85% เมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 การตัดสินใจนี้เป็นผลจากเงินเฟ้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่องและอยู่ในเป้าหมาย 2-3% ซึ่งให้พื้นที่สำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
Reserve Bank of New Zealand แสดงท่าทีที่เชิงรุกมากขึ้นด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย OCR ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 6 โดยลด 25 basis points เป็น 3.25% การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตในระยะใกล้และความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของ RBNZ ส่งผลให้ NZD อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญต่อสกุลเงินหลัก
BOE ได้ลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points เป็น 4.25% เมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมีการประชุมสำคัญในวันที่ 19 มิถุนายน 2025 การตัดสินใจของ BOE สะท้อนถึงความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอ
อัตราดอกเบี้ยของสหราชอาณาจักรที่ยังคงสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ ECB และ BOJ ทำให้ Pound ยังคงมีจุดเด่นเชิง Relative Yield แต่ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกระทบจากสถานการณ์ยุโรปสร้างแรงกดดันต่อ GBP
ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศหลักปัจจุบันสร้างโอกาสและความเสี่ยงที่ชัดเจนในตลาด Forex การที่ Fed คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงขณะที่ธนาคารกลางอื่นๆ ลดดอกเบี้ย ทำให้ Yield Advantage ของ USD เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Interest Rate Differential ระหว่าง USD/EUR ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 250 basis points USD/GBP ที่ 25 basis points และ USD/JPY ที่มากกว่า 400 basis points ความแตกต่างเหล่านี้สนับสนุน Carry Trade Strategies โดยเฉพาะการยืม JPY เพื่อลงทุนใน USD
การเคลื่อนไหวของ Cross Currency ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากความแตกต่างของนโยบายการเงิน EUR/JPY GBPJPY และ AUD/JPY ล้วนแสดงแนวโน้มที่แข็งแกร่งเนื่องจาก Yield Differential ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ EUR/GBP แสดงการเคลื่อนไหวที่สัมพันธ์กับความแตกต่างของแนวทางนโยบายระหว่าง ECB และ BOE
การวิเคราะห์นี้ชี้ให้เห็นว่าในระยะข้างหน้า การติดตามการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินและการสื่อสารของธนาคารกลางจะเป็นปัจจัยสำคัญในการคาดการณ์ทิศทางของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นไปได้ของการปรับเปลี่ยนนโยบายที่อาจเกิดขึ้นหากสถานการณ์เศรษฐกิจหรือเงินเฟ้อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ในปี 2025 กลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของความผันผวนในตลาดการเงินโลก โดยเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นพร้อมกันหลายจุดทั่วโลกสร้างสภาพแวดล้อมของความไม่แน่นอนที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน การทำความเข้าใจผลกระทบเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการบริหารความเสี่ยงและการหาโอกาสในตลาดการเงิน
การบานปลายของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเป็นสงครามเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดการเงินโลก การโจมตีของอิสราเอลที่มุ่งเป้าไปที่โครงการนิวเคลียร์และโครงสร้างพื้นฐานของอิหร่าน ควบคู่กับการตอบโต้ด้วยขีปนาวุธ สร้างความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความมั่นคงของการจัดหาพลังงานในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ผลกระทบต่อตลาดพลังงานแสดงออกมาอย่างชัดเจนผ่านการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้น 0.31% ไปที่ $75.10 ต่อบาร์เรล แม้ว่าการเพิ่มขึ้นจะยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ตลาดกำลัง Price in ความเสี่ยงของการหยุดชะงักของการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดของโลก การที่อิหร่านควบคุมพื้นที่นี้ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับ Supply Disruption เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ตลาดกำลังติดตามการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของราคาพลังงานจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อทั่วโลกและอาจบังคับให้ธนาคารกลางต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน การที่ Federal Reserve แสดงความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายนอกสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของปัจจัยนี้
การไหลเงินทุนสู่สินทรัพย์ปลอดภัยเป็นอีกผลกระทบสำคัญจากสถานการณ์นี้ ทองคำแม้จะปรับลดลงเล็กน้อย 0.36% แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงมากที่ $3,373.04 ต่อออนซ์ การที่ทองคำสามารถรักษาระดับราคาสูงได้แม้ในสภาวะที่ดอลลาร์แข็งแกร่งแสดงให้เห็นถึงแรงต้องการ Safe Haven ที่รุนแรง เยนญี่ปุ่นและฟรังก์สวิสก็ได้รับประโยชน์จากสถานะ Safe Haven เช่นกัน แม้ว่าผลกระทบจะถูกลดทอนลงจากการแทรกแซงของธนาคารกลาง
นโยบายภาษีของประธานาธิบดี Trump ที่ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการหลังจาก “Liberation Day” เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดของระบบการค้าโลกในรอบศตวรรษ การกำหนดภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าเกือบทั้งหมดและการเพิ่มอัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐถึง 27% สร้างผลกระทบแบบ Cascade Effect ต่อตลาดการเงินทั่วโลก
ผลกระทบต่อเงินเฟ้อเป็นความกังวลหลักของ Federal Reserve โดยประธาน Powell ระบุอย่างชัดเจนว่า “ทุกคนที่ผมรู้จักคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเดือนข้างหน้าจากภาษีเพราะใครบางคนต้องจ่ายสำหรับภาษี” การปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อ PCE เป็น 3% และ Core PCE เป็น 3.1% สะท้อนถึงความกังวลเหล่านี้
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีการกำหนดภาษีสินค้าจีน 145% ในตอนแรก แล้วลดลงเป็น 30% หลังการเจรจา แสดงให้เห็นถึงความผันผวนและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า การที่จีนตอบโต้ด้วยภาษี 125% ในตอนแรก แล้วลดเป็น 10% สะท้อนถึงผลกระทบที่กว้างขวางต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
การเพิ่มภาษีเหล็กและอลูมิเนียมเป็น 50% เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2025 และภาษีรถยนต์นำเข้า 25% ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกสินค้าเหล่านี้ โดยเฉพาะ EUR, CAD และ JPY ที่เผชิญกับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการส่งออก
ดอลลาร์สหรัฐได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ในระยะสั้นเนื่องจากการลดการนำเข้าช่วยปรับปรุงดุลการค้า แต่ในระยะยาวอาจเผชิญกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า การที่ DXY ยังคงแข็งแกร่งที่ 99.05 แสดงให้เห็นว่าตลาดยังมองว่าประโยชน์ระยะสั้นมีน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยงระยะยาว
ยุโรปเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงที่ซับซ้อนในปี 2025 โดยผู้เชี่ยวชาญระบุความเสี่ยงสูงสุดคือการหยุดยิงที่เอื้อต่อรัสเซียในยูเครน ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ความมั่นคงในยุโรป การถอนตัวของสหรัฐจากการรับประกันความมั่นคงแก่ยุโรปภายใต้การบริหารของ Trump เป็นความกังวลเพิ่มเติมที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในสกุลเงิน Euro
การโจมตีไฮบริดต่อโครงสร้างพื้นฐานของ EU ถือเป็นภัยคุกคามระดับสูงที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน ความไม่แน่นอนเหล่านี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ ECB ต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งทำให้ Euro เผชิญกับแรงกดดันเพิ่มเติม
ในเอเชียกลาง การที่จีนเสริมสร้างอิทธิพลผ่าน Belt and Road Initiative และการจัดประชุมสุดยอดจีน-เอเชียกลางครั้งที่ 2 ในอัสตานาเมื่อวันที่ 16-18 มิถุนายน 2025 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในภูมิภาค การที่การค้าระหว่างจีนและเอเชียกลางขยายตัวจาก 460 ล้านดอลลาร์เป็น 89 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 สะท้อนถึงการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อความสมดุลของอำนาจโลกและอาจส่งผลต่อการใช้สกุลเงินในการค้าระหว่างประเทศ การที่จีนส่งเสริมการใช้ Yuan ในการค้าภูมิภาคอาจลดบทบาทของดอลลาร์ในระยะยาว แม้ว่าผลกระทบจะยังไม่ปรากฏชัดในตลาดการเงินปัจจุบัน
ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์เหล่านี้สร้างสภาพแวดล้อมของ Heightened Uncertainty ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนสถาบันและรายย่อย การที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 19 มิถุนายน 2025 สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของ Risk Appetite จาก Risk-on เป็น Risk-off
การไหลของเงินทุนแสดงรูปแบบที่ชัดเจนของ Flight to Quality โดยเงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยและสกุลเงินของประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง ดอลลาร์สหรัฐได้รับประโยชน์จากการเป็นทั้ง Safe Haven และ Reserve Currency ทำให้ DXY แข็งแกร่งขึ้นแม้จะมีความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ
Volatility Index ต่างๆ ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นถึงความคาดหวังของตลาดต่อความผันผวนที่จะเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างโอกาสสำหรับกลยุทธ์การเทรดที่เน้น Volatility และ Risk Management แต่ก็เพิ่มความท้าทายสำหรับการ Position Taking ในระยะยาว
การติดตามการพัฒนาของเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการประเมินทิศทางตลาดในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศต่างๆ และการตอบสนองของธนาคารกลางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจและการเมือง
การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ ในตลาดการเงินเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์การเทรดที่ประสบผลสำเร็จ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่ปัจจัยพื้นฐานและภูมิรัฐศาสตร์มีอิทธิพลอย่างมาก การวิเคราะห์ Intermarket Relationships จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) ปัจจุบันที่ระดับ 99.05 กำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญทางเทคนิค การที่ DXY กำลังทดสอบแนวต้านสำคัญที่ระดับ 98.30 ถือเป็นจุดสำคัญที่จะกำหนดทิศทางในระยะกลาง หากสามารถเบรกผ่านแนวต้านนี้ได้ เป้าหมายถัดไปจะอยู่ที่ระดับ 106.00 ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคู่สกุลเงินหลัก
การวิเคราะห์เทคนิคของ DXY แสดงให้เห็นถึงการสะสมพลังงานในการขึ้น (Bullish Momentum) ที่ได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานหลายประการ รวมถึง Interest Rate Differential ที่เอื้อต่อดอลลาร์ ความต้องการ Safe Haven จากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และนโยบายภาษีที่อาจส่งผลดีต่อดุลการค้าสหรัฐในระยะสั้น
EURUSD ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 1.1451 แสดงแรงกดดันลงที่ชัดเจนจากการลดดอกเบี้ยของ ECB และความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรป การที่ราคาปรับลดลง 0.13% สะท้อนถึง Bearish Sentiment ที่เพิ่มขึ้น หากทิศทางนี้ดำเนินต่อไป แนวรับถัดไปจะอยู่ที่ระดับ 1.1350 และหากเบรกลงไปแล้ว เป้าหมายระยะกลางอาจอยู่ที่ 1.1200
GBPUSD ที่ 1.3404 เผชิญกับแรงกดดันคล้ายกัน แม้ว่า BOE จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงกว่า ECB แต่ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรและผลกระทบจากสถานการณ์ยุโรปทำให้ Pound อ่อนแอลง การปรับลดลง 0.16% แสดงให้เห็นถึงแรงขายที่เข้มข้นกว่า EURUSD แนวรับสำคัญอยู่ที่ 1.3350 และหากเบรกลงไป อาจมุ่งหน้าสู่ 1.3200
USDJPY ที่คงที่ที่ 145.12 แสดงให้เห็นถึงการแทรกแซงหรือการเตรียมพร้อมแทรกแซงของ BOJ แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 145.50-146.00 ซึ่งเป็นระดับที่ BOJ เคยแทรกแซงในอดีต หากราคาเบรกขึ้นไปเหนือระดับนี้ อาจเห็นการแทรกแซงที่รุนแรงขึ้น ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 144.00-143.50
การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในวันที่ 19 มิถุนายน 2025 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของ Risk Sentiment อย่างชัดเจน Dow Jones ที่ปรับลดลง 1.79% ไปที่ 42,198 จุด S&P 500 ลดลง 1.13% ไปที่ 5,977 จุด และ NASDAQ ลดลง 1.30% ไปที่ 19,407 จุด สะท้อนถึง Risk-off Environment ที่เข้มข้น
การวิเคราะห์ Sector Rotation แสดงให้เห็นว่านักลงทุนกำลังหลีกหนีจากหุ้น Technology และ Growth Stocks ไปสู่ Defensive Sectors และ Value Stocks การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับการเสริมสร้างพอร์ตการลงทุนให้มีความปลอดภัยมากขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอน
Volatility Index (VIX) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญบ่งบอกถึงความคาดหวังของตลาดต่อความผันผวนที่จะเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า การเพิ่มขึ้นของ VIX มักจะมาพร้อมกับการอ่อนแอของตลาดหุ้นและการเสริมความแข็งแกร่งของสกุลเงิน Safe Haven
Nikkei 225 ที่ปรับลดลงเพียง 0.89% ไปที่ 37,834 จุด แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นที่ดีกว่าตลาดอื่นๆ เนื่องจากได้รับประโยชน์จากเยนที่อ่อนแอ ซึ่งสนับสนุนหุ้นส่งออกญี่ปุ่น แต่ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ยังคงสร้างแรงกดดัน
ทองคำที่ราคา $3,373.04 ต่อออนซ์ แม้จะปรับลดลง 0.36% แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงมาก สะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่างสองปัจจัยหลัก ได้แก่ ความแข็งแกร่งของดอลลาร์ที่สร้างแรงกดดันลง และความต้องการ Safe Haven จากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สนับสนุนราคา
การวิเคราะห์เทคนิคของทองคำแสดงให้เห็นถึงการสร้าง Consolidation Pattern ในระดับสูง แนวรับสำคัญอยู่ที่ $3,350 และหากเบรกลงไป อาจมุ่งหน้าสู่ $3,300 ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ $3,400 หากเบรกขึ้นไป อาจทดสอบ All-time High ใหม่ที่ $3,450
ความสัมพันธ์ระหว่างทองคำและดอลลาร์แสดง Negative Correlation ที่แข็งแกร่ง แต่ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน Safe Haven Demand ช่วยลดผลกระทบจากดอลลาร์ที่แข็งแกร่ง การติดตามอัตราแลกเปลี่ยน Real Interest Rate และ Geopolitical Risk Premium จะเป็นกุญแจสำคัญในการคาดการณ์ทิศทางของทองคำ
น้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้น 0.31% ไปที่ $75.10 ต่อบาร์เรล สะท้อนถึงการ Price in Risk Premium จากสถานการณ์ตะวันออกกลาง แม้ว่าการเพิ่มขึ้นจะยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ตลาดกำลังเฝ้าติดตามความเป็นไปได้ของการหยุดชะงักของอุปทาน
แนวต้านสำคัญของน้ำมันอยู่ที่ $76.50-77.00 หากสถานการณ์ในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงขึ้น ราคาอาจพุ่งขึ้นสู่ $80.00 หรือสูงกว่า ขณะที่แนวรับอยู่ที่ $73.00-72.50 การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันมีผลกระทบโดยตรงต่อสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกพลังงาน เช่น CAD NOK และ RUB
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดในปัจจุบันแสดงรูปแบบที่ชัดเจนของ Risk-off Environment โดยมี Negative Correlation ระหว่างตลาดหุ้นและสกุลเงิน Safe Haven การเคลื่อนไหวนี้สร้างโอกาสสำหรับกลยุทธ์ Pairs Trading และ Hedging Strategies
กลยุทธ์ USD Strength Play สามารถใช้ประโยชน์จากแนวโน้มการแข็งแกร่งของดอลลาร์ผ่านการ Short EUR, GBP หรือ Commodity Currencies เช่น AUD และ NZD ขณะเดียวกันการ Long USD ผ่าน DXY หรือ Major Pairs
Carry Trade Strategies ยังคงน่าสนใจเนื่องจาก Interest Rate Differential ที่กว้าง โดยเฉพาะการยืม JPY เพื่อลงทุนใน High-yielding Currencies แต่ต้องระวัง Risk-off Episodes ที่อาจทำให้ Carry Trades ถูก Unwind อย่างรวดเร็ว
Safe Haven Rotation Strategy เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยการหมุนเวียนการลงทุนระหว่าง USD, JPY, CHF และทองคำตามระดับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ การติดตาม VIX และ Bond Yield Spreads จะช่วยในการระบุจังหวะของการหมุนเวียนนี้
Commodity-Currency Correlation Trading สามารถใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันกับ CAD ทองคำกับ AUD และราคาโลหะกับ Chilean Peso หรือ South African Rand การเคลื่อนไหวของ Commodity Prices มักจะนำหน้าการเคลื่อนไหวของสกุลเงินที่เกี่ยวข้อง
Volatility Trading Strategies เป็นโอกาสที่น่าสนใจในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน การใช้ Options Strategies เช่น Straddles และ Strangles บนคู่สกุลเงินหลักอาจให้ผลตอบแทนที่ดีจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้น
การบริหารความเสี่ยงในสภาพแวดล้อมนี้ต้องเน้นการกระจายความเสี่ยงและการใช้ Stop Loss ที่เข้มงวด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของ Market Sentiment อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง การติดตามข่าวสารทางภูมิรัฐศาสตร์และการสื่อสารของธนาคารกลางจะเป็นสิ่งสำคัญในการปรับกลยุทธ์ให้ทันกับสถานการณ์
การวิเคราะห์ครอบคลุมในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงภูมิทัศน์ตลาดการเงินที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความท้าทาย โดยปัจจัยพื้นฐานและภูมิรัฐศาสตร์มาบรรจบกันในลักษณะที่สร้างทั้งโอกาสและความเสี่ยงให้กับเทรดเดอร์ การเตรียมพร้อมสำหรับสัปดาห์หน้าจึงต้องอาศัยการทำความเข้าใจที่ครอบคลุมและกลยุทธ์ที่มีความยืดหยุ่น
ปัจจัยการเงินและนโยบาย: Federal Reserve ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงท่าทีระมัดระวัง โดยคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25%-4.5% แต่ยังคงเปิดโอกาสการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2025 การปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อเป็น 3% สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายภาษีและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ในขณะเดียวกัน การที่ธนาคารกลางอื่นๆ เช่น ECB RBA และ RBNZ ดำเนินนโยบายผ่อนคลาย ทำให้ Interest Rate Differential เอื้อต่อความแข็งแกร่งของดอลลาร์
ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์: สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่บานปลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของความไม่แน่นอนในตลาด ผลกระทบต่อราคาพลังงานและการไหลสู่สินทรัพย์ปลอดภัยจะยังคงเป็นจุดสำคัญที่ต้องติดตาม การที่น้ำมัน WTI ปรับตัวขึ้นเพียง 0.31% แสดงว่าตลาดยังไม่ได้ Price in ผลกระทบเต็มที่ หากสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น อาจเห็นการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานอย่างมีนัยสำคัญ
นโยบายการค้าสหรัฐ: การที่ประธานาธิบดี Trump กำหนดภาษีพื้นฐาน 10% และเพิ่มภาษีเฉพาะสินค้าขึ้นเป็น 27% ส่งผลต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อและการค้าโลก แม้ว่าจะมีการเจรจาที่ลดความตึงเครียดบางส่วน แต่ผลกระทบระยะยาวต่อห่วงโซ่อุปทานและเงินเฟ้อยังคงเป็นความกังวล
Market Sentiment: การเปลี่ยนแปลงจาก Risk-on เป็น Risk-off ที่ชัดเจน โดยตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ดอลลาร์และสินทรัพย์ปลอดภัยได้รับการสนับสนุน การติดตาม VIX และ Risk Sentiment Indicators จะเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินการเปลี่ยนแปลงของกระแสตลาด
DXY (US Dollar Index): ระดับปัจจุบันที่ 99.05 กำลังทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 98.30 การเบรกผ่านระดับนี้จะเปิดทางสู่เป้าหมาย 106.00 ขณะที่แนวรับสำคัญอยู่ที่ 97.50 และ 96.80 การเคลื่อนไหวของ DXY จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของคู่สกุลเงินหลัก
EURUSD: ที่ระดับ 1.1451 เผชิญกับแรงกดดันลง แนวรับสำคัญอยู่ที่ 1.1350 และ 1.1200 ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1.1500 และ 1.1550 การลดดอกเบี้ยของ ECB และความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรปสนับสนุนแนวโน้มลง
GBPUSD: ที่ 1.3404 มีแนวรับที่ 1.3350 และ 1.3200 แนวต้านอยู่ที่ 1.3500 และ 1.3600 ความแข็งแกร่งของดอลลาร์และความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรสร้างแรงกดดัน
USDJPY: คงที่ที่ 145.12 ใกล้เขตอันตรายของการแทรกแซง BOJ แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 145.50-146.00 แนวรับที่ 144.00-143.50 การแทรกแซงของ BOJ จะเป็นปัจจัยสำคัญ
ทองคำ: ที่ $3,373.04 กำลังสร้าง Consolidation Pattern แนวรับที่ $3,350 และ $3,300 แนวต้านที่ $3,400 และ $3,450 ความสัมพันธ์ระหว่างความแข็งแกร่งของดอลลาร์และความต้องการ Safe Haven จะกำหนดทิศทาง
น้ำมัน WTI: ที่ $75.10 มีแนวต้านที่ $76.50-77.00 และ $80.00 แนวรับที่ $73.00-72.50 การพัฒนาของสถานการณ์ตะวันออกกลางจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
การประชุมธนาคารกลาง: การประชุม BOE ในวันที่ 19 มิถุนายน 2025 จะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลต่อ GBP การตัดสินใจและการสื่อสารของธนาคารกลางจะให้สัญญาณเกี่ยวกับทิศทางนโยบายในอนาคต
ข้อมูลเศรษฐกิจ: การเผยแพร่ข้อมูล PMI จากประเทศหลักจะให้ภาพความเป็นจริงของสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชียที่กำลังเผชิญกับแรงกดดัน ข้อมูล Inflation Indicators จากสหรัฐจะได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษี
พัฒนาการทางภูมิรัฐศาสตร์: การติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลางจะมีความสำคัญสูงสุด การประชุมสุดยอดจีน-เอเชียกลางที่ดำเนินต่อไปจนวันที่ 18 มิถุนายน และการพัฒนาของนโยบายการค้าสหรัฐจะส่งผลต่อ Market Sentiment
การเคลื่อนไหวของ Corporate Earnings: ผลประกอบการของบริษัทใหญ่โดยเฉพาะในกลุ่ม Technology และ Energy จะสะท้อนถึงผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและการค้า
การบริหารความเสี่ยงในสภาพแวดล้อมความไม่แน่นอนสูง: เทรดเดอร์ควรลดขนาด Position และเพิ่มการใช้ Stop Loss ที่เข้มงวด การกระจายความเสี่ยงระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ จะช่วยลดผลกระทบจาก Black Swan Events ที่อาจเกิดขึ้น
USD Strength Strategy: การใช้ประโยชน์จากแนวโน้มความแข็งแกร่งของดอลลาร์ผ่านการ Long USD ต่อสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ EURUSD และ GBPUSD ที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ การติดตาม DXY ที่ระดับ 98.30 จะเป็นสัญญาณสำคัญ
Safe Haven Rotation: การหมุนเวียนการลงทุนระหว่าง USD JPY CHF และทองคำตามระดับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ เมื่อความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ควรเพิ่มสัดส่วน Safe Haven Assets
Energy-Related Strategies: การใช้ประโยชน์จากความผันผวนของราคาพลังงานผ่านการเทรด Oil หรือ Energy-Related Currencies เช่น CAD และ NOK อย่างไรก็ตาม ต้องระวังความผันผวนที่สูงจากข่าวทางภูมิรัฐศาสตร์
Volatility Trading: การใช้ Options Strategies เพื่อใช้ประโยชน์จากความผันผวนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบนคู่สกุลเงินหลักและ Index Futures Straddles และ Strangles อาจให้ผลตอบแทนที่ดีในสภาพแวดล้อมนี้
Contrarian Approach: การเฝ้ารอโอกาส Mean Reversion เมื่อตลาดมี Oversold หรือ Overbought Conditions อย่างมาก โดยเฉพาะหากมีการ Panic Selling ในตลาดหุ้นหรือการขายทองคำมากเกินไป
ข้อควรระวังสำคัญ: เทรดเดอร์ควรหลีกเลี่ยงการใช้ Leverage สูงเกินไปและควรมี Emergency Plan สำหรับสถานการณ์ที่ตลาดเคลื่อนไหวผิดคาดการณ์ การติดตามข่าวสารแบบ Real-time จะเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะข่าวจากตะวันออกกลางและการสื่อสารของ Fed
สรุปแล้ว สัปดาห์หน้าจะเป็นช่วงที่ท้าทายและเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับเทรดเดอร์ที่เตรียมพร้อมอย่างดี การรักษาความยืดหยุ่นในกลยุทธ์ การบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด และการติดตามปัจจัยพื้นฐานอย่างใกล้ชิดจะเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการเทรดภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนนี้
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาและการวิเคราะห์เท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำการลงทุน เทรดเดอร์ควรทำการศึกษาและวิเคราะห์เพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนเฉพาะในระดับที่สามารถรับความเสี่ยงได้