หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาด CFD ทั่วโลกในรอบสัปดาห์ 10-14 มีนาคม 2568 เผชิญกับความผันผวนสูงอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีสาเหตุหลักมาจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรการค้าหลัก ส่งผลให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างการเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละภูมิภาค นักลงทุน CFD จึงต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศอัตราภาษี 200% บนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากยุโรป รวมทั้งไวน์และเหล้า เพื่อตอบโต้อัตราภาษี 50% ของสหภาพยุโรปบนวิสกี้อเมริกัน มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการค้าเชิงรุกของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ ในขณะเดียวกัน จีนก็ได้ประกาศการเรียกเก็บภาษีจากสินค้าการเกษตรและอาหารของแคนาดามูลค่ากว่า 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อตอบโต้ภาษีที่แคนาดาเรียกเก็บจากรถยนต์ไฟฟ้าของจีน เหล็ก และอลูมิเนียม ความตึงเครียดทางการค้าเหล่านี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสร้างความไม่แน่นอนในตลาด CFD ทั่วโลก
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างหนัก โดยปิดในแดนลบแทบทุกวันตลอดสัปดาห์ ดัชนี DJIA ร่วงลง 2.08%, S&P 500 ลดลง 2.70% และ Nasdaq ร่วงลงถึง 4.00% ในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม สถานการณ์ยังคงย่ำแย่ต่อเนื่องจนถึงวันพฤหัสบดี เมื่อดัชนี S&P 500 เข้าสู่เขตแก้ไข (correction zone) โดยลดลงมากกว่า 10% จากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ดัชนี Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนดีดตัวเพิ่มขึ้น 5% สะท้อนความกังวลที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาด
ในทางตรงกันข้าม ตลาดเอเชียโดยเฉพาะจีนกลับฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงปลายสัปดาห์ ดัชนี CH50cash พุ่งขึ้นถึง 2.6% ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบสองเดือน ดัชนี Shanghai Composite เพิ่มขึ้น 1.5% ขณะที่ CSI 300 พุ่งขึ้น 2.2% และฮ่องกง Hang Seng เพิ่มขึ้น 1.9% แรงหนุนหลักมาจากการคาดการณ์เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลจีนที่คาดว่าจะประกาศในสัปดาห์หน้า รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยและการสนับสนุนอุตสาหกรรมบริการ ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็ปิดในแดนบวกเช่นกัน โดยดัชนี TOPIX เพิ่มขึ้น 0.8% และ Nikkei 225 ขึ้น 0.4% ในวันศุกร์
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แสดงภาพที่แตกต่างกัน โดยราคาน้ำมันปรับตัวลดลงในช่วงต้นสัปดาห์จากรายงานของ EIA ที่เตือนเกี่ยวกับสภาวะอุปทานล้นตลาด (Oversupply) แต่มีการฟื้นตัวบ้างในวันศุกร์ ในทางตรงกันข้าม ทองคำปรับตัวบวกที่ 2,991.3 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 1.51% และบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ท่ามกลางสงครามการค้าที่หนุนให้กระแสเงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย
ในตลาดเงินตราต่างประเทศ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล เพิ่มขึ้น 0.14% แตะที่ระดับ 103.98 ค่าเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลง โดยคู่สกุลเงิน USD/JPY เพิ่มขึ้น 0.4% ขณะที่ค่าเงินบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมามีความผันผวน โดยช่วงต้นสัปดาห์อ่อนค่าลงตามทิศทางของเงินหยวนและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ แต่กลับมาแข็งค่าในช่วงกลางถึงปลายสัปดาห์
สำหรับนักลงทุน CFD สัปดาห์หน้าจะมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 18-19 มีนาคม ซึ่งตลาดคาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% รวมถึงการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม ที่อาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นและธนาคารกลางไต้หวันที่น่าจับตามองในสัปดาห์หน้าอีกด้วย
ตลาด Forex ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยหลายด้าน โดยเฉพาะความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศและการคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญทั่วโลก การเทรด CFD ในตลาด Forex จึงต้องอาศัยการวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ดัชนีดอลลาร์ (US Dollar Index) ซึ่งวัดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก 6 สกุล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.14% มาปิดที่ระดับ 103.98 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะเผชิญแรงกดดันจากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาดที่ 3.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 3.3%) แต่ค่าเงินดอลลาร์ยังคงได้รับแรงหนุนจากสถานะสกุลเงินปลอดภัย (safe-haven currency) ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า
คู่เงิน EUR/USD เคลื่อนไหวในกรอบแคบตลอดสัปดาห์ โดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.06% มาปิดที่ระดับ 1.0892 การเคลื่อนไหวที่จำกัดนี้สะท้อนถึงความระมัดระวังของนักลงทุนก่อนการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและการประชุมธนาคารกลาง นอกจากนี้ การประกาศภาษี 200% บนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากยุโรปโดยสหรัฐฯ ยังสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินยูโร แต่ผลกระทบถูกชดเชยบางส่วนจากความคาดหวังที่ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยช้ากว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
คู่เงิน USD/JPY ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% มาปิดที่ระดับ 149.56 ท่ามกลางความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และ Fed ความเคลื่อนไหวนี้ยังได้รับแรงหนุนจากคำกล่าวของรองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น เรียวโซ ฮิมิโนะ ที่ระบุว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องหากเศรษฐกิจและราคาสินค้าเคลื่อนไหวสอดคล้องกับที่ได้ประเมินไว้ โดยในสัปดาห์ที่แล้ว BOJ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 0.25% เป็น 0.5% ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดและกดดันค่าเงินเยน
ในภูมิภาคเอเชีย คู่เงิน USD/CNY มีความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ โดยแตะระดับสูงสุดที่ 7.2340 ในช่วงต้นสัปดาห์ก่อนจะปรับตัวลงมาปิดที่ 7.1955 ในวันศุกร์ การฟื้นตัวของค่าเงินหยวนในช่วงปลายสัปดาห์มาจากความคาดหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่จะประกาศในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม นอกจากนี้ ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนเดือนกุมภาพันธ์ที่ลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (แย่กว่าที่คาดไว้ที่ -0.4%) ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับค่าเงินบาท (THB) มีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยค่าเงินบาทมีความผันผวนสูง ในช่วงต้นสัปดาห์เงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางของเงินหยวนและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ แต่กลับมาแข็งค่าในช่วงกลางถึงปลายสัปดาห์ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ จากความกังวลเรื่องสงครามการค้า ค่าเงินบาทปิดที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันที่ 14 มีนาคม 2025 โดยได้รับแรงหนุนจากราคาทองคำในตลาดโลกที่กลับมายืนเหนือระดับ 2,900 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์อีกครั้ง และจากสัญญาณการซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ
อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในตลาด Forex ที่ควรจับตามองคือการตัดสินใจของธนาคารกลางไต้หวันในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 2% จาก 1.875% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและราคาไฟฟ้าที่อาจปรับตัวสูงขึ้นในเดือนหน้า การตัดสินใจดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ไต้หวัน (TWD) แข็งค่าขึ้นและกลายเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในภูมิภาคในสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับสัปดาห์หน้า นักลงทุน CFD ในตลาด Forex ควรติดตามการประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 18-19 มีนาคม อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการส่งสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินในระยะถัดไป ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% เนื่องจากต้องการรอดูแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า แต่อาจมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อทิศทางของค่าเงินดอลลาร์และคู่เงินหลักอื่นๆ
ท้ายที่สุด การเคลื่อนไหวในตลาด Forex ยังคงได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรง นักเทรด CFD จึงควรติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าหลัก และเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากการประกาศมาตรการตอบโต้ทางการค้าเพิ่มเติมในอนาคต
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงพลวัตที่น่าสนใจ โดยสินค้าโภคภัณฑ์หลักอย่างทองคำและน้ำมันมีทิศทางการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ท่ามกลางปัจจัยด้านความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศและการคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ นักลงทุน CFD ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ต้องปรับกลยุทธ์การซื้อขายให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ โดยในวันที่ 14 มีนาคม สัญญาทองคำปิดบวกที่ 2,991.3 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 1.51% ปรับตัวบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งกระตุ้นให้กระแสเงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย (safe-haven assets) นอกจากนี้ ตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงยังสร้างความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจเริ่มพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อราคาทองคำ
ในส่วนของตลาดทองคำจีน ราคาได้ใกล้แตะระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน โดยเพิ่มขึ้น 0.6% สู่ 9,813.75 ดอลลาร์ต่อตัน ท่ามกลางความคาดหวังที่ว่าธนาคารกลางจีน (PBoC) จะออกมาตรการกระตุ้นการเติบโตทางอุตสาหกรรมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเติบโตของราคาทองคำทั้งในตลาดโลกและตลาดจีนสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของทองคำในฐานะเครื่องป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
ในทางตรงกันข้าม ตลาดน้ำมันเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.51% ปิดที่ 66.03 ดอลลาร์/บาร์เรล และน้ำมันดิบ Brent ลดลง 1.53% ปิดที่ 69.28 ดอลลาร์/บาร์เรล แม้จะมีการฟื้นตัวบ้างในวันศุกร์ โดย Brent crude เพิ่มขึ้น 0.7% สู่ 70.34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ WTI เพิ่มขึ้น 0.7% สู่ 67.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่โดยภาพรวมแล้วราคาน้ำมันยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลง
ปัจจัยกดดันหลักของราคาน้ำมันมาจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ที่ออกเตือนเกี่ยวกับสภาวะอุปทานล้นตลาด (Oversupply) โดยคาดว่าอุปทานทั่วโลกจะมีปริมาณมากกว่าอุปสงค์ราว 600,000 บาร์เรลต่อวันในปีนี้ นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบและชาติพันธมิตร (OPEC+) ที่จะเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันดิบที่ระดับ 138,000 บาร์เรลต่อวันตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เป็นต้นไป และทยอยปรับเพิ่มกำลังผลิตอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2569 ยิ่งสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก
นอกจากปัจจัยด้านอุปทาน ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศยังส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันทั่วโลก เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรมีแนวโน้มที่จะชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดความต้องการใช้พลังงาน ทั้งในภาคการผลิตและการขนส่ง ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุน CFD ในตลาดน้ำมันต้องระมัดระวังในการเปิดสถานะซื้อในระยะสั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีดอลลาร์และราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทั่วไปแล้ว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มักมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ถูกกำหนดราคาในสกุลเงินดอลลาร์ เมื่อดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น โดยปกติจะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง แต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ดัชนีดอลลาร์จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.14% แต่ราคาทองคำกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน สะท้อนให้เห็นถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งในตลาดทองคำท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ
ในส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ราคาทองแดงปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคทองแดงรายใหญ่ที่สุดของโลก ในขณะที่ราคาข้าวโพดและถั่วเหลืองลดลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อความต้องการสินค้าเกษตรของจีน
สำหรับสัปดาห์หน้า นักลงทุน CFD ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ควรติดตามการประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากทั้งสองปัจจัยนี้จะมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของราคาทองคำและน้ำมัน หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนอาจช่วยหนุนอุปสงค์สินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม และบรรเทาแรงกดดันต่อราคาน้ำมันในระยะสั้น
การเคลื่อนไหวของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัจจัยที่มีผลต่อราคา และความสำคัญของการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดการเงินที่แตกต่างกัน นักลงทุน CFD จึงควรใช้ทั้งการวิเคราะห์เชิงปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค ควบคู่ไปกับการติดตามพัฒนาการด้านนโยบายการเงินและการค้าระหว่างประเทศ เพื่อปรับกลยุทธ์การซื้อขายให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ (Intermarket Analysis) มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุน CFD ที่ต้องการเข้าใจพลวัตของตลาดอย่างลึกซึ้ง ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้เห็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างตลาดการเงินประเภทต่างๆ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยเชิงนโยบายและเศรษฐกิจที่สำคัญ
ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการเงินและการเคลื่อนไหวของตลาดแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในสัปดาห์ที่ผ่านมา การคาดการณ์เกี่ยวกับแนวทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของตลาดการเงิน ตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาดที่ 3.2% (เทียบกับคาดการณ์ที่ 3.3%) สร้างความหวังว่า Fed อาจเริ่มพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นและทองคำ แต่เชิงลบต่อค่าเงินดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ดังกล่าวถูกบิดเบือนโดยความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในอนาคต และอาจทำให้ Fed ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เราเห็นได้จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้ตอบสนองในเชิงบวกต่อตัวเลข PPI ที่ดีกว่าคาด แต่กลับปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์
ในขณะเดียวกัน ในตลาดจีน เราเห็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จีนเดือนกุมภาพันธ์ที่ลดลง 0.7% (แย่กว่าคาดที่ -0.4%) สะท้อนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจจีน แต่ตลาดหุ้นจีนกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนและธนาคารกลางจีน (PBoC) จะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผลกระทบของมาตรการภาษีต่อความสัมพันธ์ระหว่างตลาดเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ การประกาศอัตราภาษี 200% บนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากยุโรปโดยสหรัฐฯ ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในยุโรปเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดโดยรวม และกระตุ้นการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างภูมิภาค
นักลงทุนได้ลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปและเพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นแม้ในช่วงที่ดัชนีดอลลาร์แข็งค่า นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้ายังส่งผลให้นักลงทุนลดการคาดการณ์เกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันเพิ่มเติมจากรายงานอุปทานล้นตลาดของ EIA
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุน CFD ต้องติดตาม ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ประมาณ 4.30% ซึ่งโดยปกติแล้วควรเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีมูลค่าจากกำไรในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq ที่ประกอบด้วยหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลัก กลับปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นว่าปัจจัยอื่นๆ เช่น ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า และผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทเทคโนโลยี มีอิทธิพลมากกว่าความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมระหว่างตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น
นอกจากนี้ เรายังเห็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจระหว่างตลาดเกิดใหม่และตลาดพัฒนาแล้ว ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปปรับตัวลง ตลาดหุ้นจีนและตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ในเอเชียกลับมีแนวโน้มเชิงบวก สะท้อนให้เห็นถึงการแยกตัว (decoupling) ของวัฏจักรเศรษฐกิจและนโยบายการเงินระหว่างภูมิภาคต่างๆ
สำหรับนักลงทุน CFD การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตลาดเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางกลยุทธ์การลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมอาจถูกบิดเบือนโดยปัจจัยเฉพาะ เช่น ความตึงเครียดทางการค้า หรือการคาดการณ์เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในสัปดาห์หน้า การประชุม FOMC และการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ หาก Fed ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยชัดเจนกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เราอาจเห็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม
ในทำนองเดียวกัน หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนมีขนาดใหญ่กว่าที่คาดการณ์ไว้ เราอาจเห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นจีนและเอเชียโดยรวม รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทองแดงและเหล็ก อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อค่าเงินหยวนและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ อาจมีความซับซ้อนมากกว่า ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของมาตรการและผลกระทบต่อดุลการชำระเงิน
โดยสรุปการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของตลาดการเงินในยุคที่มีความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงิน นักลงทุน CFD ที่สามารถเข้าใจและคาดการณ์ความสัมพันธ์เหล่านี้ได้อย่างแม่นยำจะมีความได้เปรียบในการระบุโอกาสการลงทุนและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตลาดดัชนีหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างภูมิภาค โดยตลาดตะวันตกเผชิญกับแรงขายอย่างหนัก ในขณะที่ตลาดเอเชียกลับแสดงสัญญาณของความแข็งแกร่ง ความแตกต่างนี้สร้างโอกาสและความท้าทายสำหรับนักลงทุน CFD ที่ต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่หลากหลาย
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความตึงเครียดทางการค้าและผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทเทคโนโลยี โดยในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม ดัชนี DJIA ร่วงลง 2.08%, S&P 500 ลดลง 2.70% และ Nasdaq ซึ่งประกอบด้วยหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลักร่วงลงถึง 4.00% สถานการณ์ยังคงย่ำแย่ต่อเนื่องจนถึงวันพฤหัสบดี เมื่อดัชนี S&P 500 เข้าสู่เขตแก้ไข (correction zone) ซึ่งหมายถึงการปรับตัวลดลงมากกว่า 10% จากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์
ดัชนี Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุน ดีดตัวเพิ่มขึ้น 5% สะท้อนความกังวลที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาด ผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทเทคโนโลยีเป็นอีกปัจจัยที่กดดันตลาด โดยเฉพาะ Adobe ที่ร่วงลง 13.9% หลังจากคาดการณ์ยอดขายไตรมาสถัดไปต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ SentinelOne ลดลง 5.5% และ UiPath ลดลงถึง 15.7% จากผลประกอบการและการคาดการณ์ในอนาคตที่ไม่สดใส
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความผันผวนนี้ หุ้น Intel กลับพุ่งขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 14.6% หลังประกาศแต่งตั้ง Lip-Bu Tan เป็น CEO คนใหม่ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าแม้ในตลาดขาลง การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่ดียังคงสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้
ตลาดหุ้นยุโรปไม่รอดพ้นแรงเทขายเช่นกัน โดยดัชนี STOXX 600 ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมหุ้นชั้นนำจากทั่วยุโรปปิดลดลง 1.29% ดัชนี DAX ของเยอรมนีปิดลดลง 1.69% สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งพึ่งพาการส่งออกอย่างมาก ดัชนี CAC-40 ของฝรั่งเศสลดลง 0.90% และ FTSE 100 ของอังกฤษลดลง 0.92% แรงกดดันหลักมาจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอัตราภาษี 200% บนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากยุโรป ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทผู้ผลิตสินค้าเหล่านี้
ในทางตรงกันข้าม ตลาดหุ้นจีนกลับฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงปลายสัปดาห์ โดยดัชนี CH50cash พุ่งขึ้นถึง 2.6% ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบสองเดือน ดัชนี Shanghai Composite เพิ่มขึ้น 1.5% ขณะที่ CSI 300 พุ่งขึ้น 2.2% และฮ่องกง Hang Seng เพิ่มขึ้น 1.9% ปัจจัยหนุนหลักมาจากความคาดหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะประกาศในสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มผู้บริโภคที่นำการฟื้นตัว โดยดัชนีหุ้นอุปโภคบริโภคบันทึกการเพิ่มขึ้นรายวันสูงสุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้นมากกว่า 5%
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นแสดงความแข็งแกร่งเช่นกัน โดยดัชนี TOPIX เพิ่มขึ้น 0.8% และ Nikkei 225 ขึ้น 0.4% ในวันศุกร์ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินเยนหลังจากที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังคงได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวหลังการเปิดประเทศ
สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET มีแนวโน้มลดลง โดยเคลื่อนไหวในกรอบแคบที่ 1,150-1,180 จุด ล่าสุดดัชนีลดลงต่ำกว่า 1,200 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ปัจจัยกดดันหลักรวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าทั่วโลก การลดลงของราคาน้ำมัน รวมถึงปัจจัยภายในประเทศอย่างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงถึง 89.8% ของ GDP
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่าดัชนี S&P 500 กำลังทดสอบแนวรับสำคัญที่ระดับ 5,000 จุด หากไม่สามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ อาจเห็นการปรับตัวลงต่อเนื่องไปที่ระดับ 4,800 จุด ในทางตรงกันข้าม ดัชนี CH50cash ทะลุแนวต้านที่ 14,000 จุด และหากสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง อาจเห็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องไปที่ระดับ 15,000 จุด
ความแตกต่างระหว่างผลการดำเนินงานของตลาดในแต่ละภูมิภาคสร้างโอกาสสำหรับนักลงทุน CFD ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและแสวงหาผลตอบแทนจากตลาดที่มีปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มทางเทคนิคที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม การเทรดข้ามภูมิภาคก็มาพร้อมกับความท้าทาย โดยเฉพาะในแง่ของความแตกต่างด้านเวลาและความต้องการในการติดตามปัจจัยเฉพาะของแต่ละภูมิภาค
สำหรับสัปดาห์หน้า การประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของตลาดดัชนีหุ้นทั่วโลก หาก Fed ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยชัดเจนกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เราอาจเห็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ในขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่มีขนาดใหญ่กว่าที่คาดการณ์ไว้อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนและเอเชียโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินแบบดั้งเดิม โดยมีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจและแนวโน้มที่กำลังส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน CFD ในตลาดนี้ ปัจจัยด้านนโยบายกฎระเบียบและการยอมรับในวงกว้างเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล
Bitcoin (BTC) ยังคงเป็นผู้นำในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ โดยราคายังคงเคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 95,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม 2024 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการปรับฐานลงบ้างในช่วงต้นสัปดาห์ตามทิศทางของตลาดการเงินทั่วโลก แต่ Bitcoin ได้รับแรงหนุนจากนโยบายที่เป็นมิตรต่อคริปโตของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ ซึ่งประธานาธิบดี Donald Trump ได้สัญญาว่าจะทำให้สหรัฐฯ เป็น “crypto hub” ของโลก
ปริมาณการซื้อขาย Bitcoin ยังคงอยู่ในระดับสูง สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน ข้อมูลสำรวจแสดงให้เห็นว่า 55% ของผู้ถือคริปโตในสหรัฐฯ ติดตามตลาดคริปโตบ่อยกว่าตลาดการเงินแบบดั้งเดิม และ 92% มีความหวังเกี่ยวกับศักยภาพของบล็อกเชนในการพัฒนาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับแนวโน้มในระยะยาวของตลาดนี้
กองทุน ETF Bitcoin ที่ได้รับการอนุมัติจาก SEC เมื่อต้นปี 2024 ยังคงดึงดูดเงินทุนอย่างต่อเนื่อง และช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาด Bitcoin อย่างมีนัยสำคัญ นวัตกรรมทางการเงินนี้ทำให้ Bitcoin เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนผ่านบัญชีการเงินแบบดั้งเดิม และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ราคา Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา
ด้านกฎระเบียบ ความชัดเจนที่เพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 ได้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในตลาดคริปโต ข้อมูลจากการสำรวจพบว่า 48% ของผู้ถือคริปโตในสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับนโยบายที่ปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยและมาตรฐานต่อต้านการฉ้อโกง ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนไม่เพียงต้องการผลตอบแทนสูงเท่านั้น แต่ยังต้องการความปลอดภัยและความโปร่งใสในการลงทุนอีกด้วย
อีกหนึ่งแนวโน้มสำคัญในตลาดคริปโตเคอเรนซี่คือการผสมผสานระหว่างการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) และการเงินแบบดั้งเดิม (TradFi) ซึ่งกำลังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคริปโตเคอเรนซี่มากขึ้น สถาบันการเงินแบบดั้งเดิมหลายแห่งเริ่มผสมผสานเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ากับบริการทางการเงินของตน และเสนอผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี่ให้กับลูกค้า การพัฒนานี้ช่วยเพิ่มการยอมรับและการใช้งานคริปโตเคอเรนซี่ในวงกว้าง
สเตเบิลคอยน์ (Stablecoins) ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนและการชำระเงินดิจิทัล โดยเฉพาะในประเทศที่มีภาวะเงินเฟ้อสูงหรือมีข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการทางการเงินแบบดั้งเดิม มูลค่าตลาดรวมของสเตเบิลคอยน์ทั้งหมดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับสกุลเงินดิจิทัลที่มีเสถียรภาพ
ในขณะเดียวกัน มีมคอยน์ (Meme coins) ก็ได้รับความนิยมอย่างมากจากกระแสไวรัลในโซเชียลมีเดียและการสนับสนุนจากบุคคลมีชื่อเสียง โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดี Trump เปิดตัวโทเคน TRUMP ของตัวเอง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่ามีมคอยน์มีความเสี่ยงสูงและความผันผวนมากกว่าคริปโตเคอเรนซี่หลัก เนื่องจากมูลค่าส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความนิยมในระยะสั้นมากกว่าปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
สำหรับนักลงทุน CFD ในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ การเข้าใจพื้นฐานเทคโนโลยีและปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคามีความสำคัญอย่างยิ่ง ความผันผวนสูงในตลาดคริปโตสร้างทั้งโอกาสในการทำกำไรและความเสี่ยงที่สำคัญ นักลงทุนควรพิจารณาใช้เครื่องมือจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เช่น การกำหนดจุด stop-loss ที่ชัดเจนและการจัดสรรเงินลงทุนอย่างรอบคอบ
แนวโน้มทางเทคนิคของ Bitcoin แสดงให้เห็นว่าราคาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันที่ประมาณ 90,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นแนวรับที่สำคัญในระยะสั้น หากสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ ราคามีโอกาสที่จะทดสอบระดับสูงสุดทางประวัติศาสตร์ที่ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หากราคาหลุดลงต่ำกว่าแนวรับนี้ อาจเห็นการปรับฐานลงสู่ระดับ 85,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
มองไปข้างหน้า สัปดาห์หน้าตลาดคริปโตเคอเรนซี่จะยังคงได้รับอิทธิพลจากทั้งปัจจัยภายในของตลาดคริปโตเองและปัจจัยจากตลาดการเงินแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะผลการประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อสภาพคล่องในระบบการเงินโดยรวม และอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโตเคอเรนซี่
ท้ายที่สุด การเติบโตของตลาดคริปโตเคอเรนซี่ยังคงได้รับแรงหนุนจากการยอมรับของสถาบันการเงินและนักลงทุนรายใหญ่ ตลอดจนความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและการนำไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง นักลงทุน CFD ที่สามารถติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีความได้เปรียบในการระบุโอกาสการลงทุนและจัดการความเสี่ยงในตลาดที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและน่าตื่นเต้นนี้
สัปดาห์หน้า (17-21 มีนาคม 2025) จะเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับตลาดการเงินทั่วโลก โดยมีเหตุการณ์หลักที่นักลงทุน CFD ควรติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของราคาสินทรัพย์ประเภทต่างๆ การเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นและการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดจะเป็นกุญแจสำคัญในการบริหารความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 18-19 มีนาคม 2025 เป็นไฮไลท์สำคัญของสัปดาห์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า Fed จะคงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% เนื่องจาก Fed รอดูแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ตัวเลขล่าสุดแสดงว่าเงินเฟ้อยังอยู่สูงกว่าเป้าหมายของ Fed และตลาดแรงงานยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาคือการส่งสัญญาณของ Fed เกี่ยวกับแผนการปรับลดดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งอาจมีผลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของตลาด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ โดยจังหวะการปรับลดขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ อาจมีการส่งสัญญาณชะลอการทำ Quantitative Tightening (QT) ลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อสภาพคล่องในระบบการเงิน
อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญคือการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2025 เจ้าหน้าที่จากหลายกระทรวงของจีน รวมถึงกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารกลางจีน เตรียมแถลงข่าวเพื่อประกาศมาตรการกระตุ้นการบริโภค คาดว่าจีนจะให้ความสำคัญกับการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศในปี 2025 เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปีที่ 5%
มาตรการกระตุ้นใหม่จะดำเนินการผ่านทั้งนโยบายการเงินและการคลัง รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยและการขยายการขาดดุลงบประมาณ ธนาคารกลางจีนได้ให้คำมั่นที่จะพัฒนาโครงการการเงินสำหรับผู้บริโภค โดยสนับสนุนให้ธนาคารเร่งการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลและเพิ่มการจัดหาเงินทุนสำหรับอุตสาหกรรมบริการ นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับที่อยู่อาศัยในปัจจุบันอาจถูกลดลงเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้ายังมีการประชุมของธนาคารกลางอื่นๆ ที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งเพิ่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และอาจมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต รอง Governor ของ BOJ ได้แสดงความเห็นว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องหากเศรษฐกิจและราคาสินค้าเคลื่อนไหวสอดคล้องกับที่ได้ประเมินไว้
ปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือพัฒนาการของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าหลัก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลกและเพิ่มความผันผวนในตลาด CFD
ตลาด Forex:
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์:
ตลาดดัชนีหุ้น:
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่:
เนื่องจากสัปดาห์หน้ามีเหตุการณ์สำคัญหลายรายการที่อาจส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนสูง นักลงทุน CFD ควรให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงเป็นพิเศษ ด้วยการดำเนินการดังนี้:
ตลาด CFD ทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา (10-14 มีนาคม 2025) เผชิญกับความผันผวนสูงจากปัจจัยหลายด้าน โดยเฉพาะความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างการเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละภูมิภาค โดยตลาดตะวันตกปรับตัวลง ขณะที่ตลาดเอเชียแสดงสัญญาณของการฟื้นตัว
สรุปภาวะตลาดและปัจจัยสำคัญ
ภาพรวมของตลาด CFD ในสัปดาห์ที่ผ่านมาสามารถสรุปได้ดังนี้:
ตลาดดัชนีหุ้น: ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงอย่างหนัก โดยดัชนี S&P 500 เข้าสู่เขตแก้ไข (correction zone) ลดลงมากกว่า 10% จากจุดสูงสุด ดัชนี VIX ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% ตลาดยุโรปก็ปรับตัวลงเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม ตลาดหุ้นจีนแสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่น่าประทับใจ โดยดัชนี CH50cash พุ่งขึ้นถึง 2.6% ในวันศุกร์
ตลาด Forex: ดัชนีดอลลาร์เพิ่มขึ้น 0.14% แม้จะมีแรงกดดันจากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาด คู่เงิน EUR/USD เคลื่อนไหวในกรอบแคบ เพิ่มขึ้นเพียง 0.06% ในขณะที่ USD/JPY ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ค่าเงินบาทมีความผันผวนสูง แต่กลับมาแข็งค่าในช่วงปลายสัปดาห์
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำแสดงความแข็งแกร่ง ปิดบวกที่ 2,991.3 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 1.51% ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการค้า ในทางตรงกันข้าม น้ำมันเผชิญแรงกดดันจากรายงานอุปทานล้นตลาด (Oversupply) ของ EIA และการตัดสินใจของกลุ่ม OPEC+ ที่จะเพิ่มกำลังการผลิต
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่: Bitcoin ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูงเหนือ 95,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้รับแรงหนุนจากนโยบายที่เป็นมิตรต่อคริปโตของรัฐบาลสหรัฐฯ และการยอมรับที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อย
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาประกอบด้วย:
ในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงและมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน นักเทรด CFD ควรระมัดระวังประเด็นต่อไปนี้:
นักเทรด CFD ทุกระดับสามารถใช้เทคนิคต่อไปนี้เพื่อวิเคราะห์ตลาดและตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ:
โดยสรุป สัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความท้าทายของตลาด CFD ในยุคที่มีความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงิน สัปดาห์หน้าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางของตลาดในระยะกลาง นักเทรด CFD ที่มีการเตรียมพร้อม วิเคราะห์ตลาดอย่างรอบคอบ และจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ จะมีโอกาสที่ดีในการสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจท่ามกลางความผันผวนและความท้าทายที่เกิดขึ้น
นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและพัฒนาการของตลาดอย่างใกล้ชิด ศึกษาและทำความเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่สนใจ และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีวินัยในการเทรดและไม่ให้อารมณ์มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ แม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง หรือเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด