หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ทองคำปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในวันจันทร์ โดยราคาทองคำตลาดสปอตเพิ่มขึ้น 2.9% แตะระดับ $3,332.57 ต่อออนซ์ ส่วนสัญญาทองคำล่วงหน้าของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% สู่ระดับ $3,341.30 ต่อออนซ์ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากปัจจัยสำคัญสองประการ คือ ความอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven Demand) ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างประเทศที่อาจรุนแรงขึ้น
ดัชนีดอลลาร์ลดลง 0.2% ซึ่งทำให้ทองคำมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น นอกจากนี้ การประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าภาพยนตร์จากต่างประเทศในอัตรา 100% ได้จุดประกายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้าโลก ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
ในสัปดาห์นี้ ตลาดจับตามองการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) และความเห็นของประธาน Jerome Powell ที่มีกำหนดในวันพุธ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25%-4.50% ตามที่เป็นมาตั้งแต่เดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับทิศทางนโยบายในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากนโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 26% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน สร้างสถิติราคาสูงสุดใหม่หลายครั้ง โดย Goldman Sachs คาดการณ์ว่าทองคำจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเงิน แต่ก็ระบุว่าความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้นในปี 2025 น่าจะส่งผลดีต่อราคาเงินด้วยเช่นกัน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
ในสัปดาห์นี้ มีเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อราคาทองคำและสินทรัพย์ปลอดภัย ดังต่อไปนี้:
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) – กำหนดในวันพุธนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญสูงสุดของสัปดาห์ แม้ว่าตลาดจะคาดการณ์ว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25%-4.50% แต่นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับถ้อยแถลงของประธาน Jerome Powell เกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต ความเห็นที่บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ในการลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้จะส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำ ในทางกลับกัน หากมีท่าทีที่เข้มงวดมากขึ้น อาจทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงในระยะสั้น
ดัชนีภาคบริการ ISM ของสหรัฐฯ – ล่าสุดรายงานเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งแสดงตัวเลขที่ 51.6 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50.4 การขยายตัวของภาคบริการที่แข็งแกร่งกว่าคาด อาจทำให้ Fed มีท่าทีระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย และอาจส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ
ประกาศนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ – การประกาศขึ้นภาษีภาพยนตร์จากต่างประเทศ 100% เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าโลก มีการคาดการณ์ว่าอาจมีการประกาศมาตรการภาษีเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ความไม่แน่นอนทางการค้าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (Non-Farm Payrolls) – ตัวเลขการจ้างงานเดือนมีนาคมที่แข็งแกร่งส่งผลให้ Fed มีแนวโน้มชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย การติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดแรงงานจะช่วยให้นักลงทุนประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ Fed ได้ดียิ่งขึ้น
การแถลงนโยบายของรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Scott Bessent – การให้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา รัฐมนตรีคลังได้ปกป้องนโยบายภาษีของทรัมป์ โดยเน้นย้ำว่าวาระนโยบายที่กว้างขึ้น รวมถึงการลดภาษีจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ท่าทีของรัฐมนตรีคลังและการประกาศนโยบายทางการคลังเพิ่มเติมอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดและค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งจะกระทบต่อราคาทองคำโดยตรง
การประชุมธนาคารกลางในยุโรป – ธนาคารกลางนอร์เวย์และสวีเดนมีกำหนดประชุมในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ส่วนธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะประชุมในวันพฤหัสบดี โดยมีการคาดการณ์ว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 4.25% นโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักๆ มีผลต่อค่าเงินและอาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำโดยอ้อม
นักลงทุนควรติดตามเหตุการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีศักยภาพในการสร้างความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญในตลาดทองคำและสกุลเงินหลัก การเตรียมพร้อมรับมือกับความเคลื่อนไหวของตลาดจะช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างทันท่วงที
การวิเคราะห์กราฟทองคำในหลาย timeframe แสดงให้เห็นแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง โดยมีรายละเอียดการวิเคราะห์ดังนี้:
กราฟรายวัน (D1) ราคาทองคำสร้างแนวโน้มขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเคลื่อนตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) ทั้ง 50, 100 และ 200 วัน อย่างชัดเจน แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งในระยะกลางถึงระยะยาว ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาได้ทะลุแนวต้านสำคัญที่ $3,300 และสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ $3,332.57
ค่า RSI ในกราฟรายวันอยู่ที่ประมาณ 70-75 ซึ่งเข้าสู่เขต overbought แต่ยังไม่มีสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังการปรับฐานในระยะสั้น เนื่องจากราคาได้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ส่วนค่า MACD ยังคงอยู่เหนือเส้น Signal แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ยังมีกำลังซื้อต่อเนื่อง
กราฟ 4 ชั่วโมง (H4) ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง ราคาทองคำแสดงสัญญาณที่แข็งแกร่ง โดยมีรูปแบบแท่งเทียนแบบ Regular Bullish ปรากฏขึ้นหลายครั้งในช่วงการเคลื่อนไหวขาขึ้น ค่า Stochastic Oscillator (%K และ %D) มีการตัดกันขึ้น (Bullish Crossover) หลายครั้ง ซึ่งสนับสนุนการเข้าซื้อในจังหวะที่ราคาย่อตัว
Up Fractals ที่ปรากฏในกราฟช่วยระบุจุดเปลี่ยนแนวโน้มสำคัญ ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวต้านในอนาคตหากราคามีการย่อตัวลงมา ส่วน Down Fractals ได้กลายเป็นแนวรับที่สำคัญสำหรับการเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาทดสอบ
กราฟรายชั่วโมง (H1) กราฟรายชั่วโมงให้ภาพที่ชัดเจนของแนวโน้มระยะสั้น โดยราคามีการเคลื่อนไหวในลักษณะ Higher Highs และ Higher Lows อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันแนวโน้มขาขึ้น ค่า RSI และ RSI-based MA มีการตัดกันขึ้นหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา สร้างโอกาสในการเข้าซื้อที่ดี
ช่วงล่าสุด ราคาได้พักตัวและสร้างฐานที่แข็งแกร่ง ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นอีกครั้ง โดยมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในทิศทางขาขึ้นของทองคำ
กราฟระยะสั้น (M30, M15, M5) การวิเคราะห์กราฟระยะสั้นตั้งแต่ M5 ถึง M30 มีประโยชน์สำหรับการหาจังหวะเข้าซื้อขายที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง ในกราฟ M30 มีรูปแบบแท่งเทียนแบบ Regular Bullish ปรากฏขึ้นหลังจากการย่อตัวลงมาของราคา ซึ่งให้สัญญาณที่ดีสำหรับการเข้าซื้อ
ในกราฟ M15 และ M5 ค่า Stochastic Oscillator มีการเคลื่อนไหวเข้าสู่เขต oversold และมีการตัดกันขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้โอกาสในการเข้าซื้อระยะสั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรใช้สัญญาณจากกราฟเหล่านี้ร่วมกับการยืนยันจากกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า เพื่อลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก
บทสรุปการวิเคราะห์กราฟ จากการวิเคราะห์กราฟในหลาย timeframe พบว่าทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้รับการยืนยันจากเครื่องมือทางเทคนิคหลายตัว แม้ว่าในระยะสั้นอาจเกิดการพักฐานหรือปรับตัวลงบ้าง แต่แนวโน้มหลักยังคงเป็นขาขึ้น นักลงทุนควรพิจารณาการเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาที่แนวรับสำคัญ และระมัดระวังการเข้าขายในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก เว้นแต่จะมีสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน
การระบุระดับแนวต้านสำคัญมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการวางแผนกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาทองคำอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการวิเคราะห์กราฟและข้อมูลทางเทคนิค สามารถระบุแนวต้านสำคัญสำหรับ XAUUSD ได้ดังนี้:
แนวต้านระดับที่ 1: $3,350 ระดับนี้เป็นแนวต้านจิตวิทยาที่สำคัญ และอยู่ใกล้กับระดับสูงสุดล่าสุดที่ราคาทองคำทำได้ จากการวิเคราะห์ Up Fractals ในกรอบเวลา H4 พบว่ามีการก่อตัวของจุดสูงสุดในบริเวณใกล้เคียงกับระดับนี้ หากราคาสามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ จะเป็นสัญญาณบวกที่แข็งแกร่งสำหรับการปรับตัวขึ้นต่อไป แต่หากไม่สามารถผ่านได้ อาจเกิดการพักฐานในระยะสั้น
แนวต้านระดับที่ 2: $3,400 แนวต้านจิตวิทยาสำคัญถัดไปอยู่ที่ระดับ $3,400 ซึ่งเป็นระดับกลมที่มีความสำคัญและอาจมีแรงเทขายทำกำไรออกมาเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับนี้ นักลงทุนควรติดตามปริมาณการซื้อขายเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับนี้ หากมีปริมาณการซื้อขายสูงพร้อมกับแท่งเทียนที่แข็งแกร่ง อาจบ่งชี้ถึงแรงซื้อที่เพียงพอที่จะผลักดันราคาทะลุแนวต้านนี้ไปได้
แนวต้านระดับที่ 3: $3,450-3,475 ระดับนี้ได้มาจากการวิเคราะห์ Fibonacci Extension ของการเคลื่อนไหวขาขึ้นล่าสุด โดยระดับ 161.8% Fibonacci Extension อยู่ที่ประมาณ $3,450-3,475 ซึ่งมักเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับการขยายตัวของราคาในแนวโน้มขาขึ้น นอกจากนี้ ยังมี Up Fractals หลายจุดที่ก่อตัวในบริเวณใกล้เคียงกับระดับนี้ในกราฟรายวัน ซึ่งเสริมความสำคัญของแนวต้านนี้
แนวต้านระดับที่ 4: $3,500 แนวต้านจิตวิทยาที่สำคัญมากอีกระดับหนึ่งคือ $3,500 ซึ่งเป็นระดับกลมและเป็นเป้าหมายที่หลายสถาบันการเงินชั้นนำได้คาดการณ์ไว้สำหรับราคาทองคำในปีนี้ หากราคาเข้าใกล้ระดับนี้ อาจมีแรงขายทำกำไรออกมาอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เกิดการปรับฐานหรือการพักตัวของราคา
แนวต้านระดับที่ 5: $3,600-3,650 แนวต้านระยะยาวถัดไปอยู่ที่ช่วง $3,600-3,650 ซึ่งเป็นระดับที่ได้จากการวิเคราะห์ Fibonacci Extension ระยะยาวที่ 200% นักลงทุนควรพิจารณาระดับนี้เป็นเป้าหมายระยะยาวในกรณีที่ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง
การบริหารจัดการการเทรดที่ระดับแนวต้าน สำหรับผู้ที่ถือสถานะซื้อ (Long Position) ควรพิจารณาการปรับระดับ Take Profit ไปตามแนวต้านสำคัญเหล่านี้ โดยอาจทยอยปิดสถานะบางส่วนเมื่อราคาทดสอบแนวต้านแต่ละระดับ และปรับจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ตามขึ้นมาเพื่อปกป้องกำไรที่ได้มาแล้ว
สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาเข้าสถานะขาย (Short Position) ควรรอสัญญาณยืนยันการกลับตัวที่ชัดเจนเมื่อราคาทดสอบแนวต้านสำคัญ เช่น รูปแบบแท่งเทียนแบบกลับตัว (Reversal Candlestick Patterns) หรือการหลุดเส้นแนวโน้มขาขึ้นในกรอบเวลาที่เล็กกว่า และควรตั้งจุดตัดขาดทุนไว้เหนือระดับแนวต้านที่ราคาทดสอบเล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่ราคายังคงปรับตัวขึ้นต่อ
การระบุแนวรับสำคัญมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการระบุแนวต้าน โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่างทองคำ แนวรับที่แข็งแกร่งช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุจุดเข้าซื้อที่เหมาะสมและจุดตัดขาดทุนที่มีประสิทธิภาพ จากการวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิค สามารถระบุแนวรับสำคัญสำหรับ XAUUSD ได้ดังนี้:
แนวรับระดับที่ 1: $3,300 ระดับ $3,300 เป็นแนวรับจิตวิทยาสำคัญที่เพิ่งถูกทดสอบและทะลุผ่านขึ้นไป ตามทฤษฎีทางเทคนิค เมื่อแนวต้านถูกทะลุผ่านแล้ว มักจะกลายเป็นแนวรับในอนาคต จากการวิเคราะห์ Down Fractals ในกรอบเวลา H4 พบว่ามีการก่อตัวของจุดต่ำสุดในบริเวณใกล้เคียงกับระดับนี้ หากราคาย่อตัวลงมาทดสอบระดับนี้ นักลงทุนควรติดตามสัญญาณการกลับตัวขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ
แนวรับระดับที่ 2: $3,250-3,260 ระดับนี้เป็นบริเวณที่มี Down Fractals หลายจุดในกรอบเวลา H1 และ H4 และยังเป็นระดับที่มีเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) ระยะสั้นพาดผ่าน แสดงถึงการสะสมแรงซื้อที่สำคัญในอดีต หากราคาย่อตัวลงมาถึงระดับนี้ ควรจะเห็นแรงซื้อเข้ามาหนุนราคาอย่างมีนัยสำคัญ
แนวรับระดับที่ 3: $3,200 ระดับ $3,200 เป็นแนวรับจิตวิทยาสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญจากการวิเคราะห์ Fibonacci Retracement ของการเคลื่อนไหวขาขึ้นล่าสุด โดยระดับ 38.2% Fibonacci Retracement อยู่ใกล้กับระดับนี้ ซึ่งมักเป็นระดับที่ราคามีการย่อตัวลงมาทดสอบในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
แนวรับระดับที่ 4: $3,150-3,160 ระดับนี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นบริเวณที่มีเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) ระยะกลางพาดผ่าน และยังเป็นบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายสูงในอดีต นอกจากนี้ ยังมี Down Fractals หลายจุดในกรอบเวลา D1 ที่ก่อตัวในบริเวณใกล้เคียงกับระดับนี้ ซึ่งเสริมความสำคัญของแนวรับนี้
แนวรับระดับที่ 5: $3,100 แนวรับระยะยาวที่สำคัญอยู่ที่ระดับ $3,100 ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาและเป็นบริเวณที่มีเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) ระยะยาวพาดผ่าน นอกจากนี้ ยังเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับ 50% Fibonacci Retracement ของการเคลื่อนไหวขาขึ้นระยะยาว หากราคาย่อตัวลงมาถึงระดับนี้ ควรมีแรงซื้อเข้ามาหนุนราคาอย่างมาก เนื่องจากเป็นระดับที่มีความสำคัญทั้งทางเทคนิคและจิตวิทยา
การบริหารจัดการการเทรดที่ระดับแนวรับ สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาเข้าสถานะซื้อ (Long Position) ควรมองหาสัญญาณยืนยันการกลับตัวขึ้นเมื่อราคาทดสอบแนวรับสำคัญ เช่น รูปแบบแท่งเทียนแบบกลับตัว (Reversal Candlestick Patterns) หรือการตัดกันขึ้นของ Stochastic Oscillator (%K และ %D) ในเขต oversold และควรตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ใต้ระดับแนวรับที่ราคาทดสอบเล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่ราคาหลุดแนวรับลงไป
สำหรับผู้ที่ถือสถานะขาย (Short Position) ควรพิจารณาการทยอยปิดสถานะเมื่อราคาย่อตัวลงมาถึงแนวรับสำคัญแต่ละระดับ โดยเฉพาะเมื่อมีสัญญาณการกลับตัวขึ้นปรากฏ เพื่อป้องกันการขาดทุนจากการที่ราคากลับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการติดตามข่าวเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ เนื่องจากในบางครั้ง ราคาอาจทะลุผ่านแนวรับทางเทคนิคได้อย่างรวดเร็วหากมีปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การประกาศนโยบายทางการเงินหรือการค้าที่ไม่เป็นไปตามคาดการณ์
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อราคาทองคำมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินแนวโน้มในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองสูง ปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำในปัจจุบันมีดังนี้:
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.2% ส่งผลให้ทองคำมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น และเพิ่มความน่าสนใจของทองคำในฐานะการลงทุนทางเลือก ดอลลาร์ลดลง 0.73% เมื่อเทียบกับเยนญี่ปุ่น อยู่ที่ 143.885 และอ่อนค่าลง 0.50% เมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.82255 ความอ่อนค่าของดอลลาร์มีสาเหตุหลักจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากการเก็งกำไรว่าจีนอาจปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เงินหยวนในตลาดนอกประเทศแข็งค่าขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 6 เดือนที่ 7.1831 ต่อดอลลาร์
ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีภาพยนตร์จากต่างประเทศ 100% เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งกระตุ้นความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าโลก มีการคาดการณ์ว่าอาจมีการประกาศมาตรการภาษีเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในเร็วๆ นี้ ความไม่แน่นอนทางการค้ามักส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน ซึ่งกระตุ้นความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Scott Bessent ได้ออกมาปกป้องนโยบายภาษีของทรัมป์ โดยเน้นย้ำว่านโยบายที่กว้างขึ้น รวมถึงการลดภาษีจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว แม้จะมีการปกป้องนโยบายดังกล่าว แต่นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับผลกระทบระยะสั้นต่อการค้าและเศรษฐกิจโลก
ตลาดกำลังจับตามองการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในสัปดาห์นี้ โดยคาดการณ์ว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25%-4.50% แต่นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับถ้อยแถลงของประธาน Jerome Powell เกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต
ตลาดคาดการณ์โอกาสเพียง 37% ที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน ลดลงจาก 64% เมื่อหนึ่งเดือนก่อน หลังจากรายงานการจ้างงานเดือนมีนาคมที่แข็งแกร่ง ทั้ง Goldman Sachs และ Barclays ได้เลื่อนการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยจากเดือนมิถุนายนเป็นเดือนกรกฎาคม
อัตราดอกเบี้ยที่สูงและการชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยมักเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบัน ปัจจัยอื่นๆ เช่น ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและความอ่อนค่าของดอลลาร์ ดูเหมือนจะมีอิทธิพลมากกว่า
ข้อมูลจากสถาบัน Institute for Supply Management (ISM) แสดงว่าภาคบริการในเดือนเมษายนแข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ โดยดัชนี ISM ภาคบริการอยู่ที่ 51.6 สูงกว่าประมาณการของ Dow Jones ที่ 50.4 และเพิ่มขึ้น 0.8 จุดจากเดือนมีนาคม ข้อมูลนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ Fed ระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารบริษัทยังคงแสดงความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ดำเนินอยู่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในระยะยาว
ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองสูง นักลงทุนมักหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ทองคำได้รับประโยชน์จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนของนโยบายทางการเงิน
นักวิเคราะห์จาก Kitco Metals ระบุว่า “เรากำลังเห็นความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ราคาทองคำยังคงอยู่ในระดับสูง… ราคาจะซื้อขายเหนือระดับ $3,000 อย่างน้อยในระยะใกล้”
ทองคำเพิ่มขึ้นกว่า 26% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน สร้างสถิติราคาสูงสุดใหม่หลายครั้ง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในทองคำท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
Goldman Sachs มีมุมมองเชิงบวกต่อทองคำ โดยคาดการณ์ว่าทองคำจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเงิน แต่ก็ระบุว่าความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้นในปี 2025 น่าจะส่งผลดีต่อราคาเงินด้วย เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
ความเชื่อมั่นของสถาบันการเงินชั้นนำต่อแนวโน้มราคาทองคำส่งผลเชิงบวกต่อการตัดสินใจของนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน ซึ่งอาจนำไปสู่การสะสมทองคำเพิ่มขึ้นในระยะยาว
โดยสรุป ปัจจัยพื้นฐานโดยรวมยังคงสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นของทองคำในระยะสั้นถึงระยะกลาง แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันบางประการ เช่น การชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed และภาคบริการสหรัฐฯที่แข็งแกร่ง แต่ปัจจัยสนับสนุน เช่น ความอ่อนค่าของดอลลาร์ ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยดูเหมือนจะมีน้ำหนักมากกว่าในปัจจุบัน
ราคาทองคำในปัจจุบันกำลังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ทั้งความอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า โดยราคาทองคำตลาดสปอตเพิ่มขึ้น 2.9% แตะระดับ $3,332.57 ต่อออนซ์ ขณะที่สัญญาทองคำล่วงหน้าของสหรัฐฯปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% สู่ระดับ $3,341.30 ต่อออนซ์ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค ราคาทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจนทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง โดยเคลื่อนตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) สำคัญในทุก timeframe ตั้งแต่ M5 ถึง D1 นอกจากนี้ ค่า MACD ยังคงแสดงสัญญาณเชิงบวก และรูปแบบแท่งเทียนแบบ Regular Bullish ปรากฏขึ้นหลายครั้งในช่วงการเคลื่อนไหวขาขึ้น แม้ว่าค่า RSI จะอยู่ในเขต overbought ในบาง timeframe แต่ยังไม่มีสัญญาณการกลับตัวของราคาที่ชัดเจน
แนวต้านสำคัญที่ควรติดตามได้แก่ $3,350, $3,400, $3,450-3,475, $3,500 และ $3,600-3,650 หากราคาสามารถทะลุแนวต้านแรกที่ $3,350 ไปได้ จะเป็นสัญญาณบวกที่แข็งแกร่งสำหรับการปรับตัวขึ้นต่อไป ในทางกลับกัน แนวรับสำคัญที่ควรติดตามได้แก่ $3,300, $3,250-3,260, $3,200, $3,150-3,160 และ $3,100 ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนควรพิจารณาการเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาทดสอบ
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในสัปดาห์นี้จะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด แม้ว่าคาดการณ์ว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25%-4.50% แต่ถ้อยแถลงของประธาน Jerome Powell จะมีผลอย่างมากต่อทิศทางราคาทองคำในระยะสั้น นอกจากนี้ การติดตามความเคลื่อนไหวของนโยบายการค้าและการปรับตัวของค่าเงินดอลลาร์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
กลยุทธ์การเทรดที่แนะนำคือการพิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาที่แนวรับสำคัญ โดยเฉพาะที่ระดับ $3,300 และ $3,250-3,260 โดยรอสัญญาณยืนยันจาก Stochastic Oscillator และ MACD ก่อนเข้าซื้อ และตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ใต้แนวรับสำคัญล่าสุด ส่วนเป้าหมายกำไร (Take Profit) แนะนำให้ตั้งที่แนวต้านสำคัญถัดไป เช่น $3,350 หรือ $3,400 ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของนักลงทุนแต่ละราย
สำหรับการเข้าขาย (Short Position) ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากแนวโน้มโดยรวมยังเป็นขาขึ้น แนะนำให้พิจารณาเข้าขายเมื่อราคาทดสอบแนวต้านสำคัญและมีสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน เช่น รูปแบบแท่งเทียนแบบกลับตัว หรือการหลุดเส้นแนวโน้มขาขึ้นในกรอบเวลาที่เล็กกว่า
ในระยะยาว มุมมองของสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Goldman Sachs ยังคงเป็นบวกต่อทองคำ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบัน ทองคำยังคงได้รับประโยชน์จากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในบริบทของความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น
โดยสรุป ทองคำยังคงมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะสั้นถึงระยะกลาง แม้ว่าอาจมีการพักฐานหรือปรับตัวลงบ้างในบางช่วง แต่ตราบใดที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุน เช่น ความอ่อนค่าของดอลลาร์และความไม่แน่นอนทางการค้า คาดว่าทองคำจะยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและรักษามูลค่าเงินในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง