หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ในโลกของการเทรด CFDs ที่เต็มไปด้วยความผันผวนและโอกาส ไม่มีปัจจัยใดที่สร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดการเงินโลกได้มากเท่ากับความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศถึง “การรีเซ็ตครั้งใหญ่” (total reset) ในการเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศที่เจนีวาเมื่อไม่นานมานี้ ตลาดการเงินทั่วโลกต่างจับตามองด้วยความคาดหวังและความกังวล
การเจรจาครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่พุ่งสูงขึ้น หลังจากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 145% กับสินค้าจีน และจีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 125% กับสินค้าสหรัฐฯ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างสองประเทศที่มีมูลค่ารวมกันกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์เท่านั้น แต่ยังส่งคลื่นกระทบไปยังห่วงโซ่อุปทานโลก อัตราแลกเปลี่ยน ตลาดหุ้น และราคาสินค้าโภคภัณฑ์
สำหรับนักเทรด CFDs การเข้าใจพลวัตของสงครามการค้านี้และผลลัพธ์จากการเจรจาล่าสุดถือเป็นกุญแจสำคัญในการค้นหาโอกาสการเทรดที่มีประสิทธิภาพ บทวิเคราะห์นี้จะนำเสนอมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับ “การรีเซ็ตครั้งใหญ่” ในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก และวิธีการที่นักเทรดสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่เจนีวาเมื่อวันที่ 10-11 พฤษภาคม 2568 ถือเป็นการประชุมระดับสูงครั้งสำคัญหลังจากความตึงเครียดทางการค้าพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คณะผู้แทนของสหรัฐฯ นำโดยรัฐมนตรีคลัง สก็อต เบสเซนต์ (Scott Bessent) ขณะที่ฝ่ายจีนนำโดยรองนายกรัฐมนตรี เหอ ลี่เฟิง (He Lifeng) การเจรจาดำเนินขึ้นที่วิลลา ซาลาดิน (Villa Saladin) ภายใต้มาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และใช้เวลานานกว่า 10 ชั่วโมงในวันแรก
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ถึง “ความก้าวหน้าครั้งสำคัญ” และอ้างถึง “การรีเซ็ตครั้งใหญ่” ในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจน เนื่องจากการเจรจายังดำเนินต่อไป แต่มีรายงานว่าฝ่ายสหรัฐฯ กำลังพิจารณาลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจากอัตรา 145% ในปัจจุบัน ซึ่งอาจมีการประกาศอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีรากฐานมาจากการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้ากับจีนสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา สถานการณ์ลุกลามรุนแรงขึ้นเมื่อฝ่ายบริหารของทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตรา 145% เมื่อเดือนเมษายน 2568 หลังจากมีการประกาศขึ้นภาษีรอบแรกเมื่อวันที่ 2 เมษายน
จีนตอบโต้ทันทีด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% ซึ่งเป็นการตอบโต้ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ ขณะเดียวกัน จีนได้ลดภาษีนำเข้าจากประเทศอื่นๆ ลงเหลือ 10% เป็นระยะเวลา 90 วัน เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ และเบี่ยงเบนการค้าออกจากสหรัฐฯ
รัฐมนตรีคลังเบสเซนต์กล่าวว่า การเก็บภาษีในอัตราปัจจุบันอาจส่งผลให้จีนสูญเสียงานถึง 10 ล้านตำแหน่ง ทำให้สถานการณ์ของจีน “ไม่ยั่งยืน” ในระยะยาว แม้แต่การลดภาษีลงบางส่วน เบสเซนต์ยังเสริมว่าจีนอาจสูญเสียงานประมาณ 5 ล้านตำแหน่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันที่จีนกำลังเผชิญ
การเจรจาที่เจนีวามุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญหลายประการ โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดความตึงเครียดทางการค้าและฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ประเด็นหลักในการเจรจาประกอบด้วย:
ผลของการเจรจานี้จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ เช่น สกุลเงินดอลลาร์ หยวน ดัชนีหุ้นของทั้งสองประเทศ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
การรีเซ็ตความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนส่งคลื่นกระทบไปยังตลาดการเงินทั่วโลก ในฐานะนักเทรด CFD การเข้าใจถึงผลกระทบเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถระบุโอกาสการเทรดและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนนี้ เราจะวิเคราะห์ผลกระทบต่อตลาดสำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างตลาดเหล่านั้น
การเจรจาการค้าและข่าวการรีเซ็ตครั้งใหญ่ส่งผลโดยตรงต่อค่าเงินของประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอลลาร์สหรัฐและหยวนของจีน
ดอลลาร์สหรัฐ (USD):
หยวนจีน (CNY):
สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับการค้า:
ตลาดหุ้นตอบสนองต่อข่าวการรีเซ็ตการค้าอย่างรวดเร็ว โดยส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่แตกต่างกัน:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ:
ตลาดหุ้นจีน:
ตลาดหุ้นเอเชีย:
สินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภทได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดและการรีเซ็ตทางการค้า:
ทองคำ (XAU/USD):
น้ำมันดิบ (WTI และ Brent):
โลหะอุตสาหกรรม (ทองแดง อลูมิเนียม):
สินค้าเกษตร (ถั่วเหลือง ข้าวโพด):
ความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ เป็นกุญแจสู่การเทรด CFD ที่ประสบความสำเร็จในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้:
ความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินและตลาดหุ้น:
ความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าโภคภัณฑ์และสกุลเงิน:
ผลกระทบข้ามตลาด (Cross-market impacts):
ความสัมพันธ์ระหว่างภาคธุรกิจ:
การรีเซ็ตความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนสร้างโอกาสในการเทรด CFD ที่น่าสนใจในหลายตลาด นักเทรดที่เข้าใจพลวัตของสถานการณ์และสามารถระบุจังหวะเข้าเทรดที่เหมาะสมจะมีโอกาสทำกำไรได้ทั้งในช่วงที่ตลาดผันผวนและในระยะยาว ในส่วนนี้ เราจะวิเคราะห์โอกาสในการเทรด CFD ในตลาดหลักที่ได้รับผลกระทบจากการเจรจาการค้า
ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า โอกาสในการเทรดรวมถึง:
คู่เงิน USD/CNH (ดอลลาร์สหรัฐ/หยวนนอกประเทศจีน):
คู่เงิน EUR/USD:
คู่เงิน AUD/USD และ NZD/USD:
คู่เงิน USD/JPY:
ดัชนีหุ้นทั่วโลกตอบสนองอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โอกาสในการเทรด CFD บนดัชนีหุ้นมีดังนี้:
S&P 500:
Nasdaq-100:
Shanghai Composite และ Hang Seng:
ดัชนีภูมิภาค:
สินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภทมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก:
ทองคำ (XAU/USD):
น้ำมันดิบ (WTI และ Brent):
ทองแดง (Copper):
สินค้าเกษตร (ถั่วเหลือง ข้าวโพด):
การรีเซ็ตความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนสร้างโอกาสในการเทรดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว:
กลยุทธ์การเทรดระยะสั้น:
กลยุทธ์การเทรดระยะกลาง-ระยะยาว:
เทคนิคการเข้าและออกจากตลาด:
ในช่วงที่มีการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ตลาดการเงินมักมีความผันผวนสูง ข่าวสารใหม่ๆ อาจส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้นักเทรด CFD รักษาเงินทุนไว้ได้ในระยะยาวและใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการความเสี่ยงเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับนักเทรด CFD โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจากการเจรจาการค้า:
การลดขนาดการเทรด: การลดขนาดการเทรดลงในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูงเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการควบคุมความเสี่ยง นักเทรดควรพิจารณาลดขนาดพอสิชั่นลง 30-50% จากปกติในช่วงที่มีการประกาศผลการเจรจาหรือเมื่อมีความผันผวนสูง การลดขนาดการเทรดจะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่คาดคิดได้ดีขึ้น และลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามกับสถานะที่เปิดไว้
การใช้เงินทุนหรือมาร์จิ้นอย่างเหมาะสม: การเทรด CFD เกี่ยวข้องกับการใช้เลเวอเรจ ซึ่งสามารถขยายทั้งกำไรและขาดทุนได้ ในช่วงที่มีข่าวสำคัญเกี่ยวกับการเจรจาการค้า นักเทรดควรจำกัดการใช้เงินทุนต่อการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด การปฏิบัติตามหลักการนี้จะช่วยให้คุณสามารถทนต่อการขาดทุนหลายครั้งติดต่อกันได้โดยไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเงินทุนโดยรวม
การมีแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน: นักเทรดควรมีแผนรองรับสำหรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากผลการเจรจาการค้า ตั้งแต่ข้อตกลงที่ประสบความสำเร็จอย่างเต็มที่ไปจนถึงการล้มเหลวของการเจรจา การวางแผนล่วงหน้าว่าจะตอบสนองต่อแต่ละสถานการณ์อย่างไรจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลแม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
การติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด: ในช่วงการเจรจาการค้า ข่าวสารใหม่ๆ สามารถส่งผลต่อตลาดได้อย่างรวดเร็ว นักเทรดควรติดตามแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือและใช้เครื่องมือแจ้งเตือนข่าวเพื่อรับทราบพัฒนาการล่าสุด อย่างไรก็ตาม ควรระวังไม่ให้ตอบสนองเกินควรต่อข่าวลือหรือรายงานที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน การตัดสินใจควรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่เชื่อถือได้และการวิเคราะห์ที่รอบคอบ
การใช้คำสั่ง Stop Loss และ Take Profit อย่างเหมาะสมเป็นส่วนสำคัญของการบริหารความเสี่ยงในการเทรด CFD โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูงจากการเจรจาการค้า:
การกำหนด Stop Loss ที่เหมาะสม: ในช่วงที่มีข่าวสำคัญเกี่ยวกับการเจรจาการค้า ราคาอาจเกิดแกว่งตัวรุนแรงชั่วคราว (spike) ก่อนที่จะกลับสู่แนวโน้มหลัก นักเทรดควรกำหนด Stop Loss ที่กว้างกว่าปกติ โดยวางไว้ที่ระดับสำคัญทางเทคนิค เช่น แนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ หรือระดับ Fibonacci Retracement ที่สำคัญ แทนที่จะกำหนดตามระยะห่างจากราคาปัจจุบันเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างเช่น ในคู่เงิน EUR/USD หากคุณเปิดสถานะซื้อที่ 1.0850 ในช่วงที่มีการประกาศผลการเจรจา แทนที่จะตั้ง Stop Loss ที่ห่างจากราคาเปิดเพียง 20-30 pips คุณควรพิจารณาวาง Stop Loss ที่ระดับแนวรับสำคัญ เช่น 1.0780 ซึ่งอาจห่างกว่า 70 pips แต่เป็นระดับที่หากราคาหลุดลงมาจริงๆ จะเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว
การใช้ Trailing Stop Loss: Trailing Stop Loss เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจากการเจรจาการค้า เนื่องจากช่วยให้คุณสามารถปกป้องกำไรที่มีอยู่ในขณะที่ยังเปิดโอกาสให้ได้รับกำไรเพิ่มเติมหากราคายังคงเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดหวัง
สำหรับการเทรดที่เกี่ยวข้องกับผลการเจรจาการค้า คุณอาจเริ่มต้นด้วย Trailing Stop ที่กว้างพอสมควร เช่น 50-60 pips สำหรับคู่เงินหลัก หรือ 1-1.5% สำหรับดัชนีหุ้น และค่อยๆ ปรับให้แคบลงเมื่อตลาดเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
การกำหนด Take Profit แบบหลายระดับ: แทนที่จะกำหนดเป้าหมายกำไรเพียงระดับเดียว นักเทรดควรพิจารณาการปิดสถานะบางส่วนเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงเป้าหมายระยะสั้น และปล่อยให้ส่วนที่เหลือทำกำไรต่อไปจนถึงเป้าหมายระยะยาวหากแนวโน้มยังคงเป็นไปในทิศทางที่คาดหวัง
ตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดสถานะซื้อดัชนี S&P 500 หลังจากมีข่าวดีเกี่ยวกับการเจรจาการค้า คุณอาจตั้งเป้าหมายดังนี้:
การหลีกเลี่ยงการปรับเปลี่ยน Stop Loss: หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดในการเทรด CFD คือการปรับเปลี่ยน Stop Loss ในระหว่างการเทรด โดยเฉพาะเมื่อตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกับสถานะที่เปิดไว้ ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูงจากการเจรจาการค้า นักเทรดควรยึดมั่นในแผนการบริหารความเสี่ยงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และไม่ปรับเปลี่ยน Stop Loss เพื่อ “ให้โอกาส” การเทรดมากขึ้น
การกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมเป็นองค์ประกอบสำคัญของการบริหารความเสี่ยงในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูงจากการเจรจาการค้า:
การกระจายความเสี่ยงระหว่างประเภทสินทรัพย์: นักเทรด CFD ควรกระจายการเทรดระหว่างสินทรัพย์หลายประเภท เช่น สกุลเงิน ดัชนีหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ สินทรัพย์แต่ละประเภทอาจตอบสนองต่อผลการเจรจาการค้าในวิธีที่แตกต่างกัน การกระจายความเสี่ยงจะช่วยลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวที่รุนแรงในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น แทนที่จะทุ่มเงินทุนทั้งหมดในการเทรด USD/CNH ซึ่งมีความอ่อนไหวสูงต่อการเจรจาการค้า คุณอาจกระจายการเทรดระหว่าง:
การกระจายความเสี่ยงด้านทิศทาง: นอกจากการกระจายระหว่างประเภทสินทรัพย์แล้ว นักเทรดยังควรพิจารณาเปิดสถานะในทิศทางที่แตกต่างกันในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำหรือมีความสัมพันธ์เชิงลบ
ตัวอย่างเช่น ในช่วงการเจรจาการค้า คุณอาจพิจารณา:
การกระจายความเสี่ยงด้านทิศทางนี้จะช่วยป้องกันพอร์ตการลงทุนของคุณจากการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
การกระจายความเสี่ยงด้านเวลา: การทยอยเปิดสถานะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการบริหารความเสี่ยงในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง แทนที่จะเปิดสถานะทั้งหมดในครั้งเดียว นักเทรดควรพิจารณาแบ่งการเปิดสถานะออกเป็นส่วนๆ ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น หากคุณคาดการณ์ว่าการรีเซ็ตความสัมพันธ์ทางการค้าจะเป็นปัจจัยบวกต่อดัชนี S&P 500 คุณอาจ:
การใช้สถานะที่มีความสัมพันธ์กันในการป้องกันความเสี่ยง: นักเทรดสามารถใช้ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน (partial hedge) ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเปิดสถานะในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันแต่ในทิศทางตรงข้าม
ตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดสถานะซื้อในดัชนี Nasdaq ซึ่งมีความอ่อนไหวสูงต่อการเจรจาการค้า คุณอาจพิจารณาเปิดสถานะขายขนาดเล็กใน S&P 500 เพื่อป้องกันความเสี่ยงบางส่วน โดยหวังว่าหากมีข่าวร้ายเกี่ยวกับการเจรจา ดัชนี Nasdaq จะปรับตัวลงมากกว่า S&P 500 ขณะที่หากมีข่าวดี Nasdaq ก็น่าจะปรับตัวขึ้นมากกว่าเช่นกัน
การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการเทรด CFD โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูงจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน นักเทรดที่มีวินัยในการบริหารความเสี่ยง กำหนด Stop Loss และ Take Profit อย่างเหมาะสม และกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนจะมีโอกาสสูงที่จะรอดพ้นจากช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูงและใช้ประโยชน์จากโอกาสในการทำกำไรที่เกิดขึ้นจากการรีเซ็ตความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก
การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่นำไปสู่การประกาศ “การรีเซ็ตครั้งใหญ่” โดยประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจที่ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินโลก ภายหลังจากการเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 145% จากสหรัฐฯ และการตอบโต้ด้วยภาษี 125% จากจีน การเจรจาที่เจนีวานำโดยรัฐมนตรีคลังสก็อต เบสเซนต์ และรองนายกรัฐมนตรีเหอ ลี่เฟิง ได้วางรากฐานสำหรับการปรับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศครั้งใหม่
การรีเซ็ตความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ได้หมายถึงการกลับไปสู่ยุคที่การค้าเสรีไร้ข้อจำกัดระหว่างสองประเทศ แต่เป็นการกำหนดกรอบความสัมพันธ์ใหม่ที่ทั้งสองฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้แม้จะมีการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ แนวโน้มสำคัญที่นักเทรดควรจับตาในอนาคตมีดังนี้:
1. การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก: แม้จะมีการลดความตึงเครียดทางการค้า แต่การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกที่เริ่มต้นขึ้นแล้วจะยังคงดำเนินต่อไป บริษัทต่างๆ จะยังคงกระจายฐานการผลิตออกจากจีนบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง (de-risking) แทนที่จะพึ่งพาแหล่งผลิตเดียว กลยุทธ์ “China+1” หรือ “China+N” จะยังคงมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในประเทศที่ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต เช่น เวียดนาม ไทย และอินเดีย
2. การแข่งขันทางเทคโนโลยี: การรีเซ็ตความสัมพันธ์ทางการค้าไม่ได้หมายความว่าข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีจะหมดไป การแข่งขันในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีควอนตัม จะยังคงดำเนินต่อไป สหรัฐฯ จะยังคงจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ในขณะที่จีนจะเร่งพัฒนาความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี ภาคธุรกิจเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศจึงควรได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด
3. การเปลี่ยนแปลงในตลาดสกุลเงิน: แม้ว่าการลดความตึงเครียดทางการค้าจะช่วยลดความผันผวนในตลาดสกุลเงินในระยะสั้น แต่ในระยะยาว การแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยังคงส่งผลต่อค่าเงินของทั้งสองประเทศ ความพยายามของจีนในการส่งเสริมการใช้หยวนในการค้าระหว่างประเทศและการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐจะยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งอาจส่งผลต่อตลาดสกุลเงินในระยะยาว
4. นโยบายการเงินและการคลัง: การเจรจาการค้าและผลลัพธ์ที่ตามมาจะส่งผลต่อนโยบายการเงินและการคลังของทั้งสองประเทศ การลดภาษีนำเข้าอาจช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นักเทรดควรติดตามสัญญาณจากธนาคารกลางของทั้งสองประเทศอย่างใกล้ชิด
5. ความยั่งยืนของข้อตกลง: ความตกลงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจรจาครั้งนี้จะมีความยั่งยืนมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงการปฏิบัติตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย การเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก และความก้าวหน้าในการแก้ไขประเด็นข้อพิพาทระยะยาว เช่น การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและการเข้าถึงตลาด นักเทรดควรตระหนักว่าความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยังคงมีความท้าทายและความไม่แน่นอนในอนาคต
ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว นักเทรด CFD ควรพิจารณาแนวทางต่อไปนี้เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสและบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ:
1. เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง: ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า การติดตามข่าวสารจากแหล่งที่น่าเชื่อถือทั้งจากสหรัฐฯ และจีนเป็นสิ่งสำคัญ นักเทรดไม่ควรพึ่งพาแหล่งข้อมูลเพียงแหล่งเดียว แต่ควรวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นแถลงการณ์จากหน่วยงานรัฐบาล บทวิเคราะห์จากสถาบันการเงิน หรือรายงานจากองค์กรระหว่างประเทศ
2. ปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับช่วงเวลา: นักเทรดควรแยกแยะระหว่างโอกาสในการเทรดระยะสั้นที่เกิดจากความผันผวนของตลาดในช่วงการประกาศข่าวสำคัญ กับโอกาสในการเทรดระยะยาวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในความสัมพันธ์ทางการค้า กลยุทธ์การเทรดควรปรับให้เหมาะสมกับกรอบเวลาและเป้าหมายการเทรดของแต่ละบุคคล
3. มองหาสัญญาณยืนยันจากหลายตลาด: ก่อนเปิดสถานะเทรดขนาดใหญ่ นักเทรดควรมองหาสัญญาณยืนยันจากหลายตลาดที่เกี่ยวข้อง เช่น การเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกันในตลาดสกุลเงิน ดัชนีหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ การยืนยันจากหลายตลาดจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจเทรด
4. จัดสรรเงินทุนอย่างเหมาะสม: ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน การจัดสรรเงินทุนอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง การกระจายความเสี่ยงระหว่างประเภทสินทรัพย์และตลาดต่างๆ ควบคู่ไปกับการจำกัดขนาดการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด จะช่วยให้นักเทรดสามารถรอดพ้นจากความผันผวนและใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน
5. เตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์: แม้ว่าการรีเซ็ตความสัมพันธ์ทางการค้าจะดูเป็นบวกในเบื้องต้น แต่นักเทรดควรเตรียมพร้อมสำหรับความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การมีแผนสำรองและการตั้งค่า Stop Loss ที่เหมาะสมจะช่วยปกป้องเงินทุนในกรณีที่ตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่คาดคิด การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนและการประกาศ “การรีเซ็ตครั้งใหญ่” เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก สำหรับนักเทรด CFD ความเข้าใจในพลวัตของการเปลี่ยนแปลงนี้และความสามารถในการปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสถานการณ์จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ การติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด การวิเคราะห์ผลกระทบต่อตลาดต่างๆ อย่างรอบด้าน และการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัยจะช่วยให้นักเทรดสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น ในท้ายที่สุด “การรีเซ็ตครั้งใหญ่” นี้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นบทใหม่ในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกในปีต่อๆ ไป