หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
วันที่ 13 มิถุนายน 2025 จะถูกจดจำเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ตลาดการเงินโลก เมื่ออิสราเอลเปิดฉาก “Operation Rising Lion” โจมตีสถานที่สำคัญทางทหารและนิวเคลียร์ของอิหร่าน ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและนำไปสู่การเข้าร่วมโดยตรงของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ด้วยการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์สำคัญ 3 แห่งของอิหร่าน ได้แก่ Fordow, Natanz และ Isfahan
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมืองในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างตลาดการเงินต่างๆ ที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ได้พึ่งพาเป็นหลักการในการตัดสินใจมานานหลายทศวรรษ การขู่ปิดช่องแคบฮอร์มุซของอิหร่าน ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติประมาณ 20% ของความต้องการทั่วโลก ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนต์พุ่งสู่จุดสูงสุดในรอบ 5 เดือนที่ 78.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล พร้อมกับการคาดการณ์ว่าราคาอาจแตะระดับ 120-150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหากเกิดการปิดช่องแคบจริง
ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในตลาดพลังงานเท่านั้น แต่ได้แผ่ขยายไปสู่ทุกมุมของระบบการเงินโลก ดัชนี MSCI All Country World Index ลดลง 1.8% นับตั้งแต่เริ่มต้นความขัดแย้ง ขณะที่ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยได้รับการสนใจอย่างมาก โดยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 3,366 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตรอย และได้กลายเป็นสินทรัพย์สำรองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกในหมู่ธนาคารกลาง แซงหน้ายูโรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างตลาดที่เคยเป็นหลักการพื้นฐานในการวิเคราะห์ ความสัมพันธ์เชิงลบแบบดั้งเดิมระหว่างราคาน้ำมันกับดอลลาร์สหรัฐได้เปลี่ยนเป็นเชิงบวกในหลายช่วงเวลา ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลกำลังเข้าใกล้ศูนย์อีกครั้งหลังจากเป็นบวกมาตั้งแต่ปี 2022 การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ทำให้การกระจายความเสี่ยงแบบดั้งเดิมต้องได้รับการทบทวนใหม่
ในสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนสูงและไม่สามารถคาดเดาได้นี้ ดัชนี VIX ได้เพิ่มขึ้นจากระดับ 13.28 ของปีที่แล้วมาอยู่ที่ 20.62 ปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน การเตรียมตัวสำหรับการประชุมสำคัญของธนาคารกลางหลักในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ไม่ว่าจะเป็น Federal Reserve, European Central Bank และ Bank of Japan ที่จะจัดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับการตัดสินใจของนักลงทุน
บทวิเคราะห์นี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของตลาดการเงินโลกในช่วงวิกฤตนี้ โดยเน้นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ผลกระทบต่อสินทรัพย์ประเภทต่างๆ และโอกาสการเทรดที่เกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนนี้ เพื่อให้เทรดเดอร์ของ FXGT สามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่ที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสอันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การเปิดฉากของความขัดแย้งที่เปลี่ยนโฉมหน้าตลาดการเงินโลกเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2025 เมื่ออิสราเอลดำเนินการโจมตีแบบจู่โจมต่อสถานที่สำคัญทางทหารและนิวเคลียร์ของอิหร่านในปฏิบัติการที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เรียกว่า “Operation Rising Lion” โดยอ้างว่าเป็นการโจมตี “หัวใจ” ของโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน การโจมตีครั้งแรกนี้ส่งผลให้มีการสังหารผู้นำทางทหารและนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชั้นนำของอิหร่านจำนวนมาก และได้เปิดศึกสงครามที่นักวิเคราะห์เรียกว่าเป็น “threshold war” ครั้งแรกของโลก
การตอบโต้ของอิหร่านเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการยิงขีปนาวุธและโดรนจำนวนมากไปยังเป้าหมายต่างๆ ในอิสราเอล โดยกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่านใช้ขีปนาวุธที่ทันสมัยที่สุด ได้แก่ ขีปนาวุธ Kibar Shekan ในการโต้ตอบ ความรุนแรงของสงครามได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2025 เมื่อสหรัฐอเมริกาตัดสินใจเข้าร่วมสงครามโดยตรง
การเข้าร่วมของสหรัฐอเมริกาได้ยกระดับความขัดแย้งขึ้นสู่มิติใหม่ทั้งในด้านการทหารและการเงิน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าสหรัฐฯ ได้ดำเนินการโจมตีสถานที่นิวเคลียร์สำคัญ 3 แห่งของอิหร่าน ได้แก่ Fordow, Natanz และ Isfahan โดยใช้เครื่องบิน B-2 Spirit จำนวน 7 ลำ ซึ่งแต่ละลำบรรทุกระเบิดเจาะบังเกอร์ GBU-57 Massive Ordnance Penetrator ขนาด 30,000 ปอนด์ ลำละ 2 ลูก นี่เป็นครั้งแรกที่ระเบิดชนิดนี้ถูกใช้ในปฏิบัติการจริง และได้ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน
ผลกระทบทันทีต่อตลาดการเงินเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ดัชนี S&P 500 ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 5,961.90 จุด ลดลง 0.10% และได้ลดลง 1.2% นับตั้งแต่เหตุการณ์ความขัดแย้งเริ่มขึ้น ขณะที่ดัชนี NASDAQ 100 แม้จะพยายามรักษาระดับที่ 21,639.72 จุด แต่ก็กำลังเผชิญกับแรงต้านที่แข็งแกร่งใกล้โซน 22,000-22,222 จุด ตลาดเอเชีย-แปซิฟิกประสบกับการลดลงอย่างมากในวันจันทร์หลังจากสหรัฐฯ ดำเนินการโจมตี โดยดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นลดลง 0.58% และดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้ลดลง 1.16%
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แสดงปฏิกิริยาที่รุนแรงที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของพลังงาน น้ำมันดิบ WTI ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 72.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และได้เพิ่มขึ้น 19.73% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ส่วนน้ำมันดิบ Brent ซื้อขายที่ระดับ 76.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยนักวิเคราะห์ของ ING คาดการณ์ว่าหากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด ราคา Brent อาจพุ่งสูงถึง 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระยะสั้น และอาจสูงถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหากมีการปิดระยะยาว
สินทรัพย์ปลอดภัยได้รับการสนใจอย่างมากจากนักลงทุนที่แสวงหาที่หลบภัย ทองคำปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 3,366 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตรอย และได้กลายเป็นสินทรัพย์สำรองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกในหมู่ธนาคารกลาง แซงหน้ายูโรเป็นครั้งแรก เงินก็แสดงแนวโน้มที่แข็งแกร่งเช่นกัน โดยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 36.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตรอย เพิ่มขึ้น 0.64%
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราแสดงให้เห็นถึงการไหลของเงินทุนไปหาสกุลเงินปลอดภัย อัตราแลกเปลี่ยน USD/JPY ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 146.44 เยนต่อดอลลาร์ โดยมีความผันผวนระหว่าง 144.070-147.965 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วน EUR/USD อยู่ที่ระดับ 1.153 ดอลลาร์ต่อยูโร และ GBP/USD ที่ 1.3488 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมืองที่เพิ่มขึ้นได้ผลักดันนักลงทุนไปหาดอลลาร์สหรัฐเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
การขู่คุกคามของอิหร่านเรื่องการปิดช่องแคบฮอร์มุซได้ส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างรุนแรง รัฐสภาอิหร่านได้อนุมัติมาตรการปิดช่องแคบและมอบการตัดสินใจขั้นสุดท้ายให้กับสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุด การคุกคามนี้มีความหมายสำคัญเนื่องจากช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติประมาณ 20% ของความต้องการทั่วโลก ทำให้นายเกล กรีน ซีอีโอของ deVere Group เตือนว่านักลงทุนเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนอย่างรุนแรงเมื่อตลาดเปิดในวันจันทร์
ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อได้กลับมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากที่ข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมแสดงอัตราเงินเฟ้อรายปีที่ 2.4% เพิ่มขึ้นจาก 2.3% ในเดือนเมษายน การพุ่งขึ้นของราคาพลังงานจากความขัดแย้งนี้อาจทำให้การคาดการณ์เงินเฟ้อต้องถูกพิจารณาใหม่อย่างเข้มข้น และส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักในการประชุมที่จะมาถึง
ดัชนี VIX ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความกลัวในตลาดได้เพิ่มขึ้นจากระดับ 13.28 ของปีที่แล้วมาอยู่ที่ 20.62 ปัจจุบัน สูงขึ้น 55.27% จากปีก่อน สะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อตลาดระยะสั้น แต่ยังส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของสภาพแวดล้อมการลงทุนที่อาจมีผลกระทบยาวนานต่อการตัดสินใจของนักลงทุนทั่วโลก
วิกฤตตะวันออกกลางได้เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างตลาดการเงินต่างๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจมานานหลายทศวรรษ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อกลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้น แต่ยังบ่งชี้ถึงการปรับโครงสร้างพื้นฐานของระบบการเงินโลกที่อาจมีผลกระทบระยะยาว
ความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันดิบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างพื้นฐานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และความขัดแย้งปัจจุบันได้เร่งให้การเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในอดีต ความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างราคาน้ำมันและค่าเงินดอลลาร์เป็นหลักการที่นักลงทุนพึ่งพาได้ โดยเมื่อดอลลาร์แข็งค่า ราคาน้ำมันจะลดลง และเมื่อดอลลาร์อ่อนค่า ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสุทธิตั้งแต่ปี 2011 และปัจจุบันเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ได้เปลี่ยนพลวัตพื้นฐานของความสัมพันธ์นี้ สหรัฐอเมริกามีความพึ่งพาตนเองด้านพลังงานประมาณ 90% จากการบริโภคพลังงานทั้งหมด ทำให้ประเทศมีประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันมากกว่าที่จะได้รับผลกระทบในเชิงลบ
ในสถานการณ์ปัจจุบัน การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาน้ำมันดิบจาก 72.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลสำหรับ WTI และ 76.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลสำหรับ Brent ไม่ได้มาพร้อมกับการอ่อนค่าของดอลลาร์ตามหลักการเก่า แต่กลับพบว่าดอลลาร์ยังคงรักษาความแข็งแกร่งจากการไหลเข้าของเงินทุนที่แสวงหาความปลอดภัย การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความท้าทายใหม่สำหรับเทรดเดอร์ที่เคยพึ่งพาความสัมพันธ์เชิงลบนี้ในการวางกลยุทธ์การเทรด
สำหรับเทรดเดอร์ของ FXGT การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากกลยุทธ์ที่เคยใช้ในการเทรดคู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน เช่น CAD, NOK หรือ RUB อาจต้องได้รับการปรับปรุงใหม่ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจึงต้องคำนึงถึงบทบาทใหม่ของสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ส่งออกพลังงานมากกว่าการเป็นเพียงผู้บริโภค
ความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับดัชนี VIX ได้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นในการทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ในปี 2025 ทองคำได้แสดงพฤติกรรมที่แตกต่างจากในอดีตอย่างชัดเจน โดยมีการเพิ่มขึ้นกว่า 30% ในช่วงต้นปีและปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 3,366 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตรอย การเพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการที่ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์สำรองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกในหมู่ธนาคารกลาง แซงหน้ายูโรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
สิ่งที่น่าสนใจคือทองคำได้กลายเป็นทั้งเครื่องมือป้องกันการลดค่าเงินและสินทรัพย์ปลอดภัยแบบดั้งเดิมในช่วงเดียวกัน การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าทองคำมีความสัมพันธ์เชิงลบที่แข็งแกร่งกับดัชนี USD Index ที่ระดับ -0.94 ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งแสดงถึงการทำหน้าที่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากการแข็งค่าของดอลลาร์
ในช่วงที่เกิดความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ทองคำได้แสดงบทบาทในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างชัดเจน โดยราคาเพิ่มขึ้นเมื่อเกิดความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมือง พร้อมกับดัชนี VIX ที่เพิ่มขึ้นจาก 13.28 ของปีที่แล้วมาอยู่ที่ 20.62 ปัจจุบัน การวิจัยแสดงว่าการเพิ่มขึ้นของ VIX อย่างมากส่งผลให้เกิดผลตอบแทนที่ผิดปกติในทางบวกสำหรับหุ้นในอุตสาหกรรมทองคำและเงิน รวมถึง SPDR Gold Shares ETF
การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างโอกาสใหม่สำหรับเทรดเดอร์ในการใช้ทองคำเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงแบบหลายมิติ ไม่เพียงแต่ป้องกันจากความผันผวนของตลาดหุ้น แต่ยังป้องกันจากความเสี่ยงทางเงินตราและเงินเฟ้อด้วย สำหรับเทรดเดอร์ของ FXGT การทำความเข้าใจพลวัตใหม่นี้จะช่วยในการวางกลยุทธ์การเทรดทองคำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่อาจส่งผลต่อกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงของนักลงทุน ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและพันธบัตรได้เปลี่ยนจากเชิงลบแบบดั้งเดิมเป็นเชิงบวก ทำให้คุณสมบัติการกระจายความเสี่ยงของพันธบัตรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนของนโยบายการเงิน และความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากขึ้นระหว่าง term premium และ equity premium งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าเมื่อเงินเฟ้อสูงเกิน 5% ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและพันธบัตรมักจะเป็นบวกเสมอ ซึ่งหมายความว่าพันธบัตรมีประสิทธิภาพในการกระจายความเสี่ยงต่ำหรือไม่มีเลย
ในปี 2025 ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและพันธบัตรกำลังเข้าใกล้ศูนย์อีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณของการกลับคืนสู่การกระจายความเสี่ยงแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลว่าผลกระทบจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางและการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้ออาจส่งผลให้ความสัมพันธ์กลับไปเป็นบวกอีกครั้ง ความสัมพันธ์แบบกลิ้ง 3 ปีระหว่างหุ้นและพันธบัตรได้เพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ต้นปี 2022 และปัจจุบันอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 75 ปีที่ 0.67
การเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์นี้มีผลกระทบสำคัญต่อนักลงทุนและเทรดเดอร์ ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอจำเป็นต้องปรับน้ำหนักสินทรัพย์เพื่อรักษาผลตอบแทนเป้าหมาย เช่น การเพิ่มน้ำหนักหุ้นเพื่อรักษาผลตอบแทนพอร์ตโฟลิโอที่กำหนด ความแปรปรวนของพอร์ตโฟลิโอแสดงให้เห็นว่าส่วนที่มาจากพันธบัตรยังคงคงที่โดยรวม แต่ส่วนที่มาจากหุ้นเพิ่มขึ้น ขณะที่ส่วนที่มาจากความสัมพันธ์เปลี่ยนจากบวกเป็นลบ
สำหรับเทรดเดอร์ของ FXGT การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยในการวางกลยุทธ์การเทรดตราสารหนี้และดัชนีหุ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น การประชุม FOMC ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29-30 กรกฎาคม 2025 หรือข้อมูล NFP ที่จะประกาศในวันที่ 3 กรกฎาคม 2025 การคาดการณ์ทิศทางของความสัมพันธ์นี้จะมีความสำคัญต่อการตัดสินใจเรื่องการกระจายความเสี่ยงและการจัดสรรสินทรัพย์ในพอร์ตโฟลิโอการเทรด
การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างตลาดเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น เทรดเดอร์ที่สามารถปรับตัวและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะได้เปรียบในการใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งและความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก
ความขัดแย้งในตะวันออกกลางได้สร้างการแบ่งขั้วอย่างชัดเจนระหว่างสินทรัพย์ปลอดภัยกับสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดการเงินโลก การแบ่งขั้วนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนทางภูมิศาสตร์การเมือง แต่ยังเป็นการปรับโครงสร้างพอร์ตโฟลิโอที่อาจมีผลกระทบต่อพลวัตของตลาดในระยะยาว การเข้าใจพฤติกรรมและระดับเทคนิคอลของสินทรัพย์ในแต่ละกลุ่มจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการวางกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ
ทองคำได้กลายเป็นผู้นำในกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างไม่มีข้อสงสัย โดยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 3,366 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตรอย ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตประมาณ 27% ตั้งแต่ต้นปี การเคลื่อนไหวของทองคำได้ทำการ complete technical continuation pattern และแสดงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง สิ่งที่น่าสนใจคือทองคำได้ก้าวผ่านยูโรมาเป็นสินทรัพย์สำรองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก คิดเป็น 21% ของสินทรัพย์สำรองทั่วโลก ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของระบบการเงินระหว่างประเทศ
เงินแสดงแนวโน้มเทคนิคอลที่แข็งแกร่งเช่นกัน โดยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 36.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตรอย เพิ่มขึ้น 0.64% ราคาสามารถรักษาระดับเหนือ moving averages 20 และ 50 วัน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ต่อเนื่อง เงินยังคงซื้อขายเหนือเส้นแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง ยืนยันแนวโน้มในระยะกลางยังคงเป็นขาขึ้น ราคาปัจจุบันมีศักยภาพในการเพิ่มขึ้นถึง 49.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในปี 2011 คิดเป็นศักยภาพการเติบโตประมาณ 39%
สกุลเงินปลอดภัยได้แสดงบทบาทสำคัญในการรองรับการไหลเข้าของเงินทุน เยนญี่ปุ่นยังคงเป็น safe haven currency ที่สำคัญ โดยได้แข็งค่าขึ้น 10.8% ตั้งแต่มกราคม 2025 คู่เงิน USD/JPY ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 146.44 เยน โดยมี pivot point ที่ 146.00 เยน และมี resistance ที่ 146.50, 147.00, และ 147.50 เยน ส่วน support อยู่ที่ 145.50, 145.30, และ 145.00 เยน ตัวชี้วัด RSI อยู่ที่ระดับ 72.77 แสดงสภาวะ overbought และ ADX แสดงแนวโน้มที่แข็งแกร่งที่ 62.11
ฟรังก์สวิสยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะ safe haven currency USD/CHF ปัจจุบันซื้อขายที่ 0.81819 โดยมี support ที่ 0.8165, 0.8160, และ 0.8155 และ resistance ที่ 0.8190, 0.8200, และ 0.8210 ตัวชี้วัดเทคนิคอลแสดงสัญญาณ neutral ด้วย RSI ที่ 49.77 การแข็งค่าของเยนและฟรังก์สวิสเกิดจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นโยบายดอกเบิ้ยของธนาคารกลาง และความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมือง
ดัชนีหุ้นหลักกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญจากการไหลออกของเงินทุนสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ดัชนี S&P 500 ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 6,010.21 จุด โดยมี resistance หลักที่ 6,083.57 จุด และ 6,046.89 จุด ส่วน support หลักอยู่ที่ 5,945.89 จุด และ 5,881.57 จุด การวิเคราะห์เชิงลึกแสดงว่าดัชนีกำลังเผชิญกับแรงต้านสำคัญที่ระดับ 6,100 จุด ซึ่งเป็นแรงต้านที่แข็งแกร่ง ด้านล่างมีการสนับสนุนจาก 36-month moving average ที่ระดับ 4,735 จุด ซึ่งเป็นระดับ support ที่สำคัญในระยะยาว
ดัชนี NASDAQ 100 แสดงความท้าทายที่คล้ายคลึงกัน โดยมี pivot point ที่ 23,027.10 จุด และ resistance ที่ 23,666.10 จุด ซึ่งสอดคล้องกับ 38.2% Fibonacci retracement ส่วน support อยู่ที่ 22,564.80 จุด ซึ่งสอดคล้องกับ 78.6% Fibonacci retracement ดัชนีกำลังซื้อขายใกล้ระดับ 21,720 หลังจากเพิ่มขึ้น 32% จากจุดต่ำสุดในเดือนเมษายน แต่กำลังเผชิญกับแรงต้านที่แข็งแกร่งใกล้โซน 22,000-22,222 จุด
ตลาดเอเชียแสดงความอ่อนแอมากกว่าตลาดอเมริกา โดยดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นลดลง 0.58% และดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้ลดลง 1.16% ในวันจันทร์หลังจากสหรัฐฯ ดำเนินการโจมตีอิหร่าน การลดลงนี้สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเอเชียต่อความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมืองและผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราแสดงให้เห็นถึงการแบ่งขั้วอย่างชัดเจนระหว่างสกุลเงินปลอดภัยกับสกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูง ดอลลาร์สหรัฐได้รับประโยชน์จากสถานะเป็นสกุลเงินสำรองโลกและสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะมีการเข้าร่วมสงครามโดยตรง Dollar Index มีการวิเคราะห์เทคนิคอลที่แสดงสัญญาณ neutral โดยรวม โดย moving averages ให้สัญญาณที่หลากหลาย ขณะที่ 5, 10, 20 day MA ให้สัญญาณ bullish แต่ 50, 100, 200 day MA ให้สัญญาณ bearish
คู่เงิน EUR/USD ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 1.15216 ดอลลาร์ โดยมี pivot point ที่ระดับเดียวกัน และมี resistance ที่ 1.15300, 1.15350, และ 1.15400 ดอลลาร์ ส่วน support อยู่ที่ 1.15058, 1.15120, และ 1.14922 ดอลลาร์ RSI อยู่ในโซนกลางที่ 49.53 และ ADX แสดงแนวโน้มที่อ่อนแรงที่ 9.51 ยูโรกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเตรียมตัวสำหรับการประชุม ECB ในวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2025
คู่เงิน GBP/USD แสดงความยืดหยุ่นมากกว่า โดยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 1.3488 ดอลลาร์ต่อปอนด์ เพิ่มขึ้น 0.25% จากเซสชั่นก่อนหน้า แม้ว่าปอนด์อังกฤษจะอ่อนค่าลง 0.56% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ยังคงเพิ่มขึ้น 6.36% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมืองที่เพิ่มขึ้นได้ผลักดันนักลงทุนไปหาดอลลาร์สหรัฐเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
Bitcoin กำลังอยู่ในช่วงการพิสูจน์ตัวเองในฐานะ safe haven asset ใหม่ โดยมี market cap ที่คิดเป็น 65% ของตลาด crypto ทั้งหมด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2021 ราคาปัจจุบันอยู่ในช่วง 93,000-95,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสำคัญทางเทคนิคอล Bitcoin ETFs กำลังได้รับเงินลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ BlackRock’s IBIT ซึ่งเป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้น อย่างไรก็ตาม Bitcoin ยังคงมีความผันผวนสูงกว่าสินทรัพย์ปลอดภัยแบบดั้งเดิม และการยอมรับในฐานะ safe haven ยังอยู่ในช่วงการพัฒนา
ดัชนี VIX ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 20.62 ลดลงจาก 22.17 ในวันก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ 13.28 อย่างมีนัยสำคัญ ระดับปัจจุบันแสดงถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในตลาด โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ระดับ VIX ที่สูงขึ้น 55.27% จากปีก่อนสะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ระดับ VIX ในช่วง 20-22 บ่งชี้ถึงความกังวลปานกลางถึงสูง ซึ่งสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางภูมิศาสตร์การเมือง
การแบ่งขั้วระหว่างสินทรัพย์ปลอดภัยกับสินทรัพย์เสี่ยงในสถานการณ์ปัจจุบันได้สร้างโอกาสและความท้าทายใหม่สำหรับเทรดเดอร์ การเข้าใจพลวัตเหล่านี้และการติดตามระดับเทคนิคอลที่สำคัญจะช่วยให้เทรดเดอร์ของ FXGT สามารถวางกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนสูงและไม่สามารถคาดเดาได้นี้ การรักษาความสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จากความผันผวนและการจัดการความเสี่ยงจะเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้
ช่องแคบฮอร์มุซได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความกังวลทางเศรษฐกิจโลกในช่วงวิกฤตปัจจุบัน เนื่องจากเป็นเส้นทางขนส่งที่สำคัญที่สุดของโลกสำหรับน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ โดยมีปริมาณการขนส่งคิดเป็นประมาณ 20% ของความต้องการพลังงานทั่วโลก ช่องแคบแคบที่มีความกว้างเพียง 21 ไมล์ในจุดแคบที่สุดนี้ได้กลายเป็นจุดที่มีอิทธิพลต่อความมั่นคงด้านพลังงานและเศรษฐกิจของโลกอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้
การขู่คุกคามของอิหร่านเรื่องการปิดช่องแคบฮอร์มุซได้สร้างความกังวลอย่างลึกซึ้งในหมู่นักลงทุนและนักวิเคราะห์เศรษฐกิจทั่วโลก รัฐสภาอิหร่านได้อนุมัติมาตรการปิดช่องแคบและมอบการตัดสินใจขั้นสุดท้ายให้กับสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุด เอสมาอิล โคซารี สมาชิกคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งชาติกล่าวว่า “การปิดช่องแคบอยู่ในวาระแล้ว และจะดำเนินการเมื่อเห็นว่าสถานการณ์จำเป็น” การประกาศนี้ได้ส่งผลให้ตลาดพลังงานโลกเข้าสู่ภาวะความผันผวนสูงทันที
ผลกระทบทันทีต่อราคาพลังงานได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ได้ปรับตัวสูงขึ้นถึงจุดสูงสุดในรอบ 5 เดือนที่ 78.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์ของ ING คาดการณ์ว่าหากเกิดการปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง ราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงขึ้นเกิน 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือแม้กระทั่งถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหากเกิดการปิดในระยะยาว การคาดการณ์นี้ได้สร้างความกังวลอย่างมากในหมู่ผู้บริโภคและธุรกิจทั่วโลกที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงาน
ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อได้กลับมาเป็นประเด็นหลักในการอภิปรายเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง หลังจากที่หลายประเทศเริ่มเห็นสัญญาณการลดลงของอัตราเงินเฟ้อในช่วงก่อนหน้านี้ นายเกล กรีน ซีอีโอของ deVere Group เตือนว่าเมื่อตลาดเปิดในวันจันทร์ นักลงทุนเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนอย่างรุนแรง โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะพุ่งสูงขึ้นและการคาดการณ์เงินเฟ้อจะต้องถูกพิจารณาใหม่อย่างเข้มข้น ผลกระทบนี้จะส่งผลโดยตรงต่อเงินเฟ้อทั่วโลกและการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานเป็นหลัก
ผลกระทบต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักได้กลายเป็นประเด็นที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น Federal Reserve ที่เตรียมจะจัดการประชุม FOMC ในวันที่ 29-30 กรกฎาคม 2025 อาจต้องพิจารณาทบทวนแผนการลดอัตราดอกเบิ้ย 25 basis points ที่คาดการณ์ไว้ 2 ครั้งในปี 2025 หากเงินเฟ้อจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นส่งผลต่อดัชนีราคาผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ European Central Bank ที่จะประชุมในวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2025 ก็เผชิญกับความท้าทายคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่ายุโรปมีการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานสูงกว่าสหรัฐอเมริกา
ประเทศสำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลางได้แสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ซาอุดีอาระเบียแสดงความกังวลต่อการโจมตีและมองว่าเป็นการ “ละเมิดอธิปไตยของอิหร่าน” โดยเรียกร้องให้ประชาคมโลกเร่งหาทางออกทางการเมือง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และโอมาน ซึ่งเคยเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในการเจรจานิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน ต่างประณามการโจมตีและเรียกร้องให้ลดความตึงเครียด ประเทศเหล่านี้ตระหนักดีว่าการปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของตนเองด้วยเช่นกัน
การตอบสนองจากมหาอำนาจโลกแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการป้องกันไม่ให้วิกฤตขยายตัวสู่เศรษฐกิจโลก สหรัฐอเมริกาได้ติดต่อกับจีนให้ช่วยชักชวนอิหร่านไม่ให้ปิดช่องแคบฮอร์มุซ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ กล่าวว่า “ผมขอแนะนำให้รัฐบาลจีนในปักกิ่งติดต่อกับอิหร่านเรื่องนี้ เพราะพวกเขาพึ่งพาช่องแคบฮอร์มุซอย่างมาก” การแสวงหาความช่วยเหลือจากจีนแสดงให้เห็นถึงความกังวลของสหรัฐฯ ต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกและความจำเป็นในการใช้การทูตแบบพหุภาคีเพื่อแก้ไขปัญหา
ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกได้เริ่มปรากฏให้เห็นแล้วในหลายอุตสาหกรรม การขนส่งทางทะเลผ่านช่องแคบฮอร์มุซไม่เพียงแต่รวมถึงน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี วัตถุดิบอุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ด้วย บริษัทขนส่งทางทะเลหลายแห่งได้เริ่มเตรียมแผนเส้นทางสำรองผ่านแหลมกู๊ดโฮป ซึ่งจะเพิ่มระยะเวลาการขนส่งและต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงเส้นทางนี้อาจส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น 15-20% และระยะเวลาการขนส่งนานขึ้น 2-3 สัปดาห์
ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในระยะสั้นมีความซับซ้อนและครอบคลุมหลายมิติ การพุ่งขึ้นของราคาพลังงานจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง เช่น อลูมิเนียม เหล็ก เคมีภัณฑ์ และพลาสติก ผู้บริโภคจะเผชิญกับราคาสินค้าและบริการที่สูงขึ้น ไม่เพียงแต่ในส่วนของเชื้อเพลิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค และค่าขนส่งต่างๆ ด้วย ประเทศที่มีการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานสูง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศในยุโรป จะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศผู้ส่งออกพลังงาน
ในระยะยาว ความเสี่ยงจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของตลาดพลังงานโลก ประเทศต่างๆ อาจเร่งการพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือก การสร้างเส้นทางท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงช่องแคบ และการเพิ่มการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน นโยบายสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของหลายประเทศอาจต้องได้รับการทบทวนและเพิ่มปริมาณเพื่อรองรับความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของอุปทานในอนาคต การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและระยะเวลาในการดำเนินการหลายปี
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศก็เป็นอีกมิติหนึ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการขนส่งพลังงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการค้าระหว่างเอเชียกับยุโรปและแอฟริกาด้วย เส้นทางการค้าที่ผ่านช่องแคบนี้มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และการหยุดชะงักจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคเหล่านี้อย่างมีนัยสำคัญ ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกผ่านเส้นทางนี้ เช่น อินเดีย สิงคโปร์ และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะต้องหาเส้นทางทางเลือกที่มีต้นทุนสูงกว่าและใช้เวลานานกว่า
ความเสี่ยงจากช่องแคบฮอร์มุซในสถานการณ์ปัจจุบันจึงไม่เพียงแต่เป็นปัญหาด้านพลังงานหรือการขนส่งเท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของโลกในระดับที่อาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบการค้าและการเงินโลกไปอย่างถาวร การเตรียมพร้อมและการจัดการความเสี่ยงเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ธุรกิจ นักลงทุน และรัฐบาลต่างๆ ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้
สภาพแวดล้อมการเทรดในช่วงวิกฤตตะวันออกกลางปัจจุบันมีลักษณะที่ซับซ้อนและท้าทาย โดยมีความผันผวนสูงและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การปรับกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นขณะเดียวกันก็รักษาเงินทุนให้ปลอดภัย การเข้าใจพลวัตใหม่ของตลาดและการประยุกต์ใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมจะเป็นปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จในช่วงเวลานี้
กลยุทธ์การเทรดสกุลเงินในสภาพแวดล้อมปัจจุบันต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างตลาดที่ได้กล่าวมาแล้ว การเทรดคู่ USD/JPY ในช่วงนี้ควรให้ความสำคัญกับสถานะของเยนในฐานะสกุลเงินปลอดภัย โดยราคาปัจจุบันที่ 146.44 เยนต่อดอลลาร์มี support สำคัญที่ 145.50, 145.30, และ 145.00 เยน ขณะที่ resistance อยู่ที่ 146.50, 147.00, และ 147.50 เยน ตัวชี้วัด RSI ที่ระดับ 72.77 แสดงสภาวะ overbought ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น เทรดเดอร์ควรพิจารณาการเข้าขายใกล้ระดับ resistance พร้อมกับการตั้ง stop loss ที่เข้มงวดเนื่องจากความผันผวนที่สูง
การเทรด EUR/USD ต้องคำนึงถึงความอ่อนแอของยูโรในสภาพแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยราคาปัจจุบันที่ 1.15216 ดอลลาร์มี resistance ที่ 1.15300, 1.15350, และ 1.15400 ดอลลาร์ ส่วน support อยู่ที่ 1.15058, 1.15120, และ 1.14922 ดอลลาร์ การเตรียมตัวสำหรับการประชุม ECB ในวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2025 และความกังวลเรื่องผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นต่อเศรษฐกิจยุโรปอาจสร้างแรงกดดันต่อยูโรต่อไป เทรดเดอร์ควรติดตามการประกาศข้อมูลเงินเฟ้อของยุโรปในวันที่ 17 กรกฎาคม อย่างใกล้ชิด
กลยุทธ์การเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ต้องคำนึงถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางภูมิศาสตร์การเมือง น้ำมันดิบ WTI ปัจจุบันที่ 72.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลมี resistance ที่ 79.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ Brent มี resistance ที่ 75.45, 75.98, และ 76.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ support ที่ 74.45, 73.98, และ 73.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การเทรดน้ำมันในช่วงนี้ควรใช้กลยุทธ์ breakout trading โดยเฝ้าติดตามข่าวสารเกี่ยวกับความคืบหนาของการเจรจาและโอกาสในการปิดช่องแคบฮอร์มุซ
การเทรดสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและเงินมีโอกาสที่น่าสนใจในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน ทองคำที่ระดับ 3,366 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตรอยแสดงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพในการเพิ่มขึ้นต่อไปเมื่อความไม่แน่นอนยังคงอยู่ เงินที่ระดับ 36.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตรอยมีศักยภาพการเติบโตถึง 49.80 ดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 39% เทรดเดอร์ควรใช้กลยุทธ์ buy on dips สำหรับโลหะมีค่าเหล่านี้ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการปรับตัวลงชั่วคราวจากการรับกำไร
การจัดการความเสี่ยงในสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนสูงต้องมีความเข้มงวดมากกว่าสภาวะปกติ การใช้ position sizing ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยแนะนำให้ลดขนาดของ position ลง 30-50% จากปกติเนื่องจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้น การตั้ง stop loss ควรมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยแนะนำให้ใช้ trailing stop หรือ volatility-adjusted stop loss เพื่อปรับตัวตามความผันผวนของตลาดแต่ละช่วงเวลา การใช้ hedging strategies เช่น การซื้อ put options หรือการเทรด VIX เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในช่วงนี้
การกระจายความเสี่ยงในช่วงนี้ต้องพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ การพึ่งพาความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมระหว่างหุ้นและพันธบัตรอาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เทรดเดอร์ควรพิจารณาการเพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์ปลอดภัยในพอร์ตโฟลิโอ เช่น ทองคำ เงิน และสกุลเงินปลอดภัยอย่างเยนและฟรังก์สวิส การกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ก็มีความสำคัญ โดยหลีกเลี่ยงการมีความเสี่ยงที่มากเกินไปในตลาดที่อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
การใช้เครื่องมือทางเทคนิคในการวิเคราะห์ต้องปรับให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนสูง การใช้ Bollinger Bands และ ATR ในการวัดความผันผวนจะช่วยในการปรับ position size และ stop loss ให้เหมาะสม การใช้ RSI และ MACD ในการหาจุดเข้าและออกควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะข่าวสารเกี่ยวกับความคืบหน้าของความขัดแย้งและการเจรจาทางการทูต การติดตาม news flow อย่างใกล้ชิดและการเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเมื่อมีข่าวสำคัญเป็นสิ่งจำเป็น
กลยุทธ์การเทรดระยะสั้นควรเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากความผันผวนที่เพิ่มขึ้น โดยใช้ scalping และ day trading strategies ในช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูง เช่น ช่วงเวลาที่มีการประกาศข่าวสำคัญหรือการประชุมฉุกเฉินของผู้นำโลก การใช้ breakout strategies ในช่วงที่ราคาทะลุระดับ support หรือ resistance ที่สำคัญจะมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ต้องมีการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด การเทรดในตลาดที่มีสภาพคล่องสูงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา slippage ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีความผันผวนสูง
สำหรับการเทรดระยะกลางถึงระยะยาว เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ผลกระทบระยะยาวของความขัดแย้งต่อโครงสร้างการค้าโลกและตลาดพลังงาน การลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนี้ เช่น บริษัทพลังงานทดแทน หรือบริษัทที่มีการกระจายห่วงโซ่อุปทานที่ดี อาจให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว การติดตามการพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงด้านพลังงานและการขนส่งทางเลือกจะช่วยในการระบุโอกาสการลงทุนในอนาคต
การเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ เทรดเดอร์ควรมีแผนสำหรับ scenario ต่างๆ เช่น การยุติความขัดแย้งอย่างรวดเร็ว การขยายตัวของสงคราม หรือการปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง แต่ละ scenario จะมีผลกระทบต่อตลาดแตกต่างกัน และการเตรียมกลยุทธ์สำหรับแต่ละสถานการณ์จะช่วยให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การรักษาสภาพคล่องในพอร์ตโฟลิโอและการเตรียม cash position สำหรับโอกาสการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์ในการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาด
การติดตามปฏิทินเศรษฐกิจในช่วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะข้อมูล NFP ในวันที่ 3 กรกฎาคม CPI ในวันที่ 15 กรกฎาคม และการประชุมของธนาคารกลางหลักในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม การเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นรอบวันที่มีการประกาศข้อมูลสำคัญเหล่านี้จะช่วยในการจัดการความเสี่ยงและการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น การปรับ position ก่อนการประกาศข้อมูลสำคัญและการเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหลังการประกาศจะเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้
วิกฤตตะวันออกกลางที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2025 ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลต่อการปรับโครงสร้างพื้นฐานของตลาดการเงินโลกในหลายมิติ การเข้าร่วมของสหรัฐอเมริกาในความขัดแย้งเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนได้ยกระดับความรุนแรงของสถานการณ์และสร้างผลกระทบที่กว้างขวางต่อระบบการเงินโลก ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างตลาดที่เคยเป็นหลักการพื้นฐานมานานหลายทศวรรษ ไปจนถึงการปรับสมดุลใหม่ระหว่างสินทรัพย์ปลอดภัยกับสินทรัพย์เสี่ยง
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการสิ้นสุดของความสัมพันธ์เชิงลบแบบดั้งเดิมระหว่างราคาน้ำมันดิบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงบทบาทของสหรัฐอเมริกาจากผู้นำเข้าสุทธิเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลก ความสัมพันธ์ใหม่นี้ได้สร้างความท้าทายให้กับเทรดเดอร์ที่เคยใช้หลักการเก่าในการวางกลยุทธ์การเทรด ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลกำลังเข้าใกล้ศูนย์อีกครั้งหลังจากเป็นบวกมาตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งบ่งชี้ถึงการกลับคืนสู่คุณสมบัติการกระจายความเสี่ยงแบบดั้งเดิม
ทองคำได้ยืนยันบทบาทในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่สำคัญที่สุดในช่วงวิกฤต โดยไม่เพียงแต่แสดงการเติบโตที่แข็งแกร่งถึง 27% ตั้งแต่ต้นปี แต่ยังได้รับการยอมรับจากธนาคารกลางทั่วโลกในการแซงหน้ายูโรเป็นสินทรัพย์สำรองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างพื้นฐานของระบบการเงินระหว่างประเทศที่อาจมีผลกระทบระยะยาว สกุลเงินปลอดภัยอย่างเยนญี่ปุ่นและฟรังก์สวิสก็ได้รับการสนใจอย่างมากจากกระแสเงินทุนที่แสวงหาความปลอดภัย
การขู่คุกคามของอิหร่านเรื่องการปิดช่องแคบฮอร์มุซได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความกังวลทางเศรษฐกิจโลก เนื่องจากช่องแคบนี้เป็นเส้นทางขนส่งที่สำคัญสำหรับน้ำมันและก๊าซธรรมชาติประมาณ 20% ของความต้องการโลก ผลกระทบที่เป็นไปได้จากการปิดช่องแคบจะไม่เพียงแต่ส่งผลต่อราคาพลังงานที่อาจพุ่งสูงถึง 120-150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ยังจะกระตุ้นเงินเฟ้อโลกและบีบบังคับให้ธนาคารกลางหลักต้องทบทวนนโยบายการเงินที่วางแผนไว้
แนวโน้มในระยะสั้นชี้ให้เห็นว่าความผันผวนของตลาดจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปจนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางของความขัดแย้งและโอกาสในการยุติสงคราม ดัชนี VIX ที่เพิ่มขึ้นจาก 13.28 ของปีที่แล้วมาอยู่ที่ 20.62 ปัจจุบันสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในตลาด การประชุมของธนาคารกลางหลักในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม โดยเฉพาะ Federal Reserve ในวันที่ 29-30 กรกฎาคม จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางของนโยบายการเงินท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องเงินเฟ้อจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น
การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม โดยเฉพาะข้อมูล Non-Farm Payrolls ในวันที่ 3 กรกฎาคมและ Consumer Price Index ในวันที่ 15 กรกฎาคม จะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแนวโน้มเงินเฟ้อในช่วงที่เกิดวิกฤต ตลาดจะติดตามข้อมูลเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบของความขัดแย้งต่อเศรษฐกิจจริง
ในระยะกลาง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างตลาดจะต้องการเวลาในการปรับตัวและความเข้าใจใหม่จากนักลงทุนและเทรดเดอร์ กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงแบบดั้งเดิมอาจต้องได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับความสัมพันธ์ใหม่ โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์ปลอดภัยในพอร์ตโฟลิโอและการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น การพึ่งพาสกุลเงินปลอดภัยและโลหะมีค่าจะยังคงเป็นแนวโน้มสำคัญในช่วงที่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่
แนวโน้มในระยะยาวชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของระบบการเงินและการค้าโลก ประเทศต่างๆ อาจเร่งการพัฒนาเส้นทางการขนส่งทางเลือกที่หลีกเลี่ยงจุดที่มีความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมืองสูง การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอาจได้รับการสนับสนุนมากขึ้นเป็นผลจากความตระหนักถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาพลังงานจากภูมิภาคที่ไม่มั่นคง การสร้างนโยบายสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงและการกระจายแหล่งพลังงานจะกลายเป็นลำดับความสำคัญสูงของหลายประเทศ
สำหรับเทรดเดอร์ของ FXGT การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่นี้ต้องอาศัยความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวดมากขึ้น การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างตลาดและการใช้ประโยชน์จากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจะเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จ การติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดและการเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเมื่อมีการพัฒนาของสถานการณ์จะเป็นความสามารถที่จำเป็น
การลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้ไม่เพียงแต่เป็นการป้องกันความเสี่ยง แต่ยังเป็นโอกาสในการทำกำไรจากแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของความต้องการสินทรัพย์เหล่านี้ ทองคำและเงินมีศักยภาพในการเติบโตต่อไปในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเฉพาะหากความไม่แน่นอนทางภูมิศาสตร์การเมืองยังคงอยู่หรือขยายตัว สกุลเงินปลอดภัยอย่างเยนและฟรังก์สวิสจะยังคงได้รับประโยชน์จากกระแสเงินทุนที่แสวงหาความปลอดภัย
การเฝ้าติดตามสัญญาณของการคลี่คลายความตึงเครียดจะมีความสำคัญในการปรับกลยุทธ์การเทรด หากมีการบรรลุข้อตกลงสันติภาพหรือการลดความตึงเครียดอย่างมีนัยสำคัญ อาจเกิดการ risk-on sentiment กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่างๆ ในทิศทางตรงกันข้ามกับปัจจุบัน การเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เหล่านี้และการมีแผนสำรองสำหรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น
วิกฤตตะวันออกกลางปัจจุบันได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่แน่นแฟ้นของระบบการเงินโลกและความสำคัญของการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เทรดเดอร์ที่สามารถปรับตัวและเรียนรู้จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ขณะที่ผู้ที่ยึดติดกับกลยุทธ์เก่าอาจเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้น การลงทุนในการศึกษาและพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับพลวัตใหม่ของตลาดจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้