หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์ที่แล้ว (17-21 มีนาคม 2025) ตลาดการเงินโลกเผชิญกับความผันผวนสูงจากปัจจัยหลากหลายด้าน โดยเฉพาะนโยบายภาษีการค้าใหม่ของสหรัฐฯ และการประชุมธนาคารกลางสำคัญ ทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือ $3,000 ต่อออนซ์ ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะปรับฐาน ดัชนีความกลัวและความโลภอยู่ในโซนความกลัวสูงสุด สะท้อนความวิตกกังวลของนักลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายและเศรษฐกิจโลก
ปัจจัยสำคัญที่กระทบตลาดในสัปดาห์นี้เริ่มจากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.5% ในวันพุธ (19 มี.ค.) โดยยังคงคาดการณ์ว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยสองครั้งในช่วงที่เหลือของปี 2025 แม้ว่าแนวโน้มเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น เฟดยังระบุว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นและจะเริ่มชะลอการลดขนาดงบดุลในเดือนเมษายน ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ก็มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% เมื่อวันที่ 19 มีนาคม แสดงความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนที่มีผลต่อเศรษฐกิจและราคา โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
อีกปัจจัยที่สร้างความปั่นป่วนในตลาดคือนโยบายภาษีใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนอีก 10% ส่งผลให้หลายประเทศออกมาตรการตอบโต้ทางภาษี มาตรการดังกล่าวสร้างความไม่แน่นอนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และส่งผลกระทบต่อโลหะอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการชะลอการเติบโตเศรษฐกิจโลกและความวุ่นวายในห่วงโซ่อุปทาน
ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อตลาด โดยข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสได้ล่มสลายลง กระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ในสัปดาห์ถัดไป (24-28 มีนาคม 2025) เทรดเดอร์ควรติดตามพัฒนาการของสงครามการค้า การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ดัชนี PCE ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อหลักที่เฟดใช้ในการกำหนดนโยบาย และการสื่อสารจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต การบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและการมีแผนการเทรดที่ชัดเจนจะเป็นกุญแจสำคัญในการนำทางผ่านสภาวะตลาดที่ท้าทายนี้
ตลาด Forex ในสัปดาห์นี้เผชิญกับความผันผวนสูงจากการประชุมธนาคารกลางสำคัญและผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ดอลลาร์สหรัฐฯ แสดงความแข็งแกร่งหลังจากเฟดส่งสัญญาณชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย แม้จะยังคงคาดการณ์การปรับลดสองครั้งในปี 2025 การเคลื่อนไหวของตลาด Forex ยังมีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉพาะทองคำและน้ำมัน
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) แสดงความแข็งแกร่งในช่วงต้นสัปดาห์ จากความคาดหวังว่าเฟดจะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย ก่อนจะผันผวนหลังการประชุม FOMC ในวันพุธที่ 19 มีนาคม โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์ ประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ยืนยันว่าเฟดยังคงคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยสองครั้งในปี 2025 แต่ความคิดเห็นของคณะกรรมการมีความแตกต่างกันมาก โดย 9 คนคาดลด 2 ครั้ง, 4 คนคาดลด 1 ครั้ง และ 4 คนคาดไม่ลด ประกอบกับการชะลอการลดขนาดงบดุลพันธบัตรรัฐบาลจาก $25,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน เหลือ $5,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน เริ่มเดือนเมษายน
ในขณะเดียวกัน EUR/USD เคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 1.0815-1.0858 ตลอดสัปดาห์ และปิดตลาดในทิศทางลบเล็กน้อย ปัจจัยกดดันหลักมาจากความกังวลว่านโยบายภาษีการค้าของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปมากกว่าสหรัฐฯ ตลอดจนความแตกต่างในนโยบายการเงินระหว่างเฟดกับ ECB โดย ECB ยังคงแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง
USD/JPY เคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 148.18-149.70 โดยมีแรงซื้อเงินเยนเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงกลางสัปดาห์ จากความไม่แน่นอนทางการค้าและสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ก่อนจะกลับมาแข็งค่าอีกครั้งหลังการประชุม BOJ ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% และแสดงท่าทีระมัดระวังเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคต
EUR/USD: คู่เงินนี้กำลังเคลื่อนไหวในรูปแบบช่วงราคา (Range) โดยมีแนวรับสำคัญที่ 1.0815 และแนวต้านที่ 1.0858 โดยมีค่า RSI อยู่ที่ 42.3 ซึ่งยังไม่ถึงระดับขายมากเกินไป หากราคาหลุดแนวรับ 1.0815 อาจมีแรงขายต่อเนื่องไปยัง 1.0780 ในขณะที่การผ่านแนวต้าน 1.0858 อาจนำไปสู่การทดสอบ 1.0900
USD/JPY: คู่เงินนี้มีแนวรับสำคัญที่ 148.18 และแนวต้านที่ 149.70 และ 150.80 โดยมีค่า MACD ที่ติดลบเล็กน้อย แต่เริ่มส่งสัญญาณการตัดขึ้นของเส้น Signal Line ซึ่งเป็นสัญญาณการฟื้นตัวในระยะสั้น นักลงทุนควรระวังการทะลุระดับ 150.00 ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาสำคัญที่อาจกระตุ้นการแทรกแซงตลาดจากธนาคารกลางญี่ปุ่น
GBP/USD: คู่เงินนี้ปรับตัวลงต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ โดยมีแนวรับที่ 1.2650 และแนวต้านที่ 1.2750 การเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน บ่งชี้แนวโน้มขาลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ค่า RSI ใกล้เข้าสู่ภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นตัวทางเทคนิคในระยะสั้น
USD/THB: เงินบาทไทยอ่อนค่าในช่วงปลายสัปดาห์หลังจากดอลลาร์แข็งค่าและมีแรงขายในตลาดทองคำ โดยเคลื่อนไหวในช่วง 33.60-34.10 บาท/ดอลลาร์ ปัจจัยกดดันหลักมาจากการไหลออกของเงินทุนระยะสั้นหลังการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ประกอบกับการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับสัปดาห์หน้า เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับคู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าใหม่ของสหรัฐฯ เช่น USD/CAD, USD/MXN และ USD/CNH โดยคาดว่าจะมีความผันผวนสูงจากการตอบโต้ทางการค้าและความไม่แน่นอนของนโยบาย
กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับสัปดาห์หน้าคือการเทรดตามกรอบราคา (Range Trading) สำหรับ EUR/USD และ USD/JPY ที่มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบชัดเจน โดยพิจารณาซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้านพร้อมกำหนดจุดตัดขาดทุนที่เหมาะสม
ในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง เทรดเดอร์ควรควบคุมความเสี่ยงอย่างเข้มงวด ลดขนาดการเทรด และมีแผนการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหรือมีข่าวเกี่ยวกับนโยบายการค้า
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์นี้มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทองคำที่พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่น้ำมันยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากความกังวลด้านอุปสงค์ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ สงครามการค้าและความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ทองคำเป็นดาวเด่นของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์นี้ โดยราคา Gold Spot ทำจุดสูงสุดที่ $3,057 ต่อออนซ์ในวันที่ 20 มีนาคม ก่อนจะปรับตัวลงมาปิดที่ประมาณ $3,015 ในวันที่ 21 มีนาคม ทองคำเพิ่มขึ้นแล้ว 15% นับตั้งแต่ต้นปี โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง ความขัดแย้งในตะวันออกกลาด และความคาดหวังการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
การล่มสลายของข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในสัปดาห์นี้ได้กระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย นอกจากนี้ นโยบายภาษีการค้าใหม่ของทรัมป์ที่อาจส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นและเศรษฐกิจชะลอตัว ยังเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำมากขึ้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นแนวรับสำคัญที่ $3,000-3,020 และแนวต้านที่ $3,047-3,057 และ $3,070-3,100 โดย RSI อยู่ที่ 78.5 ซึ่งเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) สะท้อนถึงความร้อนแรงของตลาด อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป แต่ในภาวะตลาดกระทิง (Bull Market) ทองคำอาจยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ หากแรงซื้อยังคงแข็งแกร่ง
ในทางตรงกันข้าม น้ำมันยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยน้ำมัน WTI ซื้อขายที่ประมาณ $66.95-67.80 ต่อบาร์เรลในช่วงปลายสัปดาห์ แม้ว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะยังคงดำเนินอยู่ แต่ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกได้สร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมัน
การที่เฟดชะลอคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยและปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ในปี 2025 ลงจาก 2.1% เป็น 1.7% ยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันในปีนี้ ในขณะเดียวกัน ตลาดยังจับตาการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ที่จะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายน เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการผลิตของกลุ่ม
ในด้านเทคนิค น้ำมัน WTI มีแนวรับสำคัญที่ $65.00 และ $63.50 และแนวต้านที่ $70.00 และ $72.50 โดยค่า RSI อยู่ที่ 38.2 ซึ่งเข้าใกล้ภาวะขายมากเกินไป (Oversold) บ่งชี้ถึงโอกาสในการฟื้นตัวทางเทคนิคในระยะสั้น
ราคาโลหะอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างมากจากนโยบายภาษีการค้าของสหรัฐฯ และความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทองแดงซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของภาคอุตสาหกรรมโลก ปรับตัวลดลง 2.3% ในสัปดาห์นี้ มาอยู่ที่ประมาณ $4.05 ต่อปอนด์ ส่วนอลูมิเนียมลดลง 1.8% และนิกเกิลลดลง 3.1%
สงครามการค้าส่งผลกระทบต่อราคาโลหะอุตสาหกรรมเนื่องจากสร้างความไม่แน่นอน ชะลอการเติบโตเศรษฐกิจโลก และสร้างความวุ่นวายในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้เกิดความผันผวนในระยะสั้นและการเปลี่ยนแปลงความต้องการและราคาในระยะยาว
ความสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงเด่นชัดในสัปดาห์นี้ โดยทองคำมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับดอลลาร์ เห็นได้จากทองคำลดลง 1% เมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในวันศุกร์ ขณะที่ช่วงที่ดอลลาร์อ่อนค่า ทองคำสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ที่ $3,057 ต่อออนซ์
น้ำมันก็มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้ามกับดอลลาร์เช่นกัน โดยในวันพฤหัสบดี (20 มี.ค.) เมื่อดอลลาร์แข็งค่า น้ำมัน WTI ซื้อขายที่ $66.95 ต่อบาร์เรล ก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลงในช่วงท้ายสัปดาห์
สำหรับทองคำ กลยุทธ์ “Buy on Dips” หรือทยอยซื้อในจังหวะที่ราคาปรับตัวลดลงยังคงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม โดยพิจารณาจุดเข้าซื้อที่แนวรับ $3,000-3,020 ต่อออนซ์ และตั้งเป้าหมายที่ $3,057 และ $3,100 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก RSI อยู่ในระดับซื้อมากเกินไป นักลงทุนควรระมัดระวังและพิจารณาทำกำไรบางส่วนเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน
สำหรับน้ำมัน แม้ว่าราคาจะเข้าใกล้ภาวะขายมากเกินไปและมีโอกาสฟื้นตัวทางเทคนิค แต่ปัจจัยพื้นฐานยังคงอ่อนแอ นักลงทุนที่ต้องการเปิดสถานะซื้อควรรอให้เห็นสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจนก่อน เช่น การเกิดรูปแบบกลับตัวทางเทคนิค หรือปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น เช่น การตัดลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมจาก OPEC+ หรือการกระเตื้องขึ้นของข้อมูลเศรษฐกิจ
ในสัปดาห์หน้า เทรดเดอร์ควรติดตามข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ การประชุม OPEC+ และความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลกระทบสำคัญต่อทิศทางของสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ การพัฒนาของสถานการณ์ในตะวันออกกลางและนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตลาดและปัจจัยที่ส่งผลกระทบถือเป็นกุญแจสำคัญในการประเมินแนวโน้มและโอกาสการลงทุน ในสัปดาห์นี้ เราได้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ท่ามกลางความผันผวนที่เกิดจากนโยบายการเงิน สงครามการค้า และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ดอลลาร์สหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับสินทรัพย์อื่นๆ ในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะความสัมพันธ์แบบผกผันกับทองคำ สังเกตได้จากในช่วงที่ดอลลาร์อ่อนค่าในวันพุธและพฤหัสบดี ทองคำสามารถพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดที่ $3,057 ต่อออนซ์ แต่เมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในวันศุกร์ ทองคำปรับตัวลดลงประมาณ 1%
ความสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกันยังเห็นได้กับน้ำมัน ซึ่งมักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับดอลลาร์ โดยในวันพฤหัสบดี (20 มี.ค.) เมื่อดอลลาร์แข็งค่า น้ำมัน WTI ซื้อขายที่ 66.95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และปรับเพิ่มขึ้นเป็น 67.80 ดอลลาร์ในวันศุกร์เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย
ในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ Ethereum แสดงการฟื้นตัวที่น่าสนใจจาก $1,887.76 ในวันที่ 17 มี.ค. เป็น $2,060.73 ในวันที่ 20 มี.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้น 6.62% จากวันก่อนหน้า สอดคล้องกับความผันผวนของดอลลาร์และความคาดหวังเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของเฟด
ตลาดหุ้นและพันธบัตรแสดงความสัมพันธ์ที่น่าสนใจในช่วงสัปดาห์นี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดลงจาก 4.31% เมื่อวันที่ 17 มี.ค. เป็น 4.25% ในวันที่ 19 มี.ค. และยังคงอยู่ที่ระดับนี้ในวันที่ 21 มี.ค. สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคต
โครงสร้างอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ในวันที่ 21 มี.ค. แสดงให้เห็นว่าพันธบัตรอายุ 2 ปีให้ผลตอบแทนที่ 3.94% และพันธบัตรอายุ 30 ปีให้ผลตอบแทนที่ 4.59% แสดงถึงเส้นโค้งผลตอบแทนที่ชันขึ้น (Steepening Yield Curve) ซึ่งปกติบ่งชี้ถึงความคาดหวังในการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว แต่ในบริบทปัจจุบัน อาจสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อในระยะยาวจากนโยบายการค้าของทรัมป์
ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยังได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต แม้จะมีความกังวลเรื่องนโยบายการค้า ดัชนี Dow Jones เพิ่มขึ้น 1.65% ในวันที่ 17 มีนาคม แต่ S&P 500 ยังคงอยู่ในภาวะปรับฐาน ลดลงมากกว่า 10% จากจุดสูงสุดล่าสุด
การประชุมของเฟดและ BOJ ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของนโยบายการเงินต่อการเคลื่อนไหวของตลาด โดยเฉพาะการที่เฟดยังคงคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยสองครั้งในปี 2025 และการชะลอการลดขนาดงบดุล (QT) ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง
การประกาศชะลอการลดขนาดงบดุลพันธบัตรรัฐบาลจาก $25,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน เหลือ $5,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 มีผลให้สภาพคล่องในระบบการเงินปรับตัวดีขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปเป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตาม การที่เฟดปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2025 ลงเหลือ 1.7% และเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อพื้นฐานเป็น 2.8% สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังคงสูงและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
ดัชนีความกลัวและความโลภของตลาดหุ้นอยู่ที่ 23 และสำหรับคริปโตเคอเรนซี่อยู่ที่ 24 ซึ่งทั้งสองค่าอยู่ในโซนความกลัวสูงสุด สะท้อนความกังวลอย่างมากของนักลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอนทางนโยบายและเศรษฐกิจ
ความผันผวนของตลาดเพิ่มขึ้นหลังการประกาศมาตรการภาษีของทรัมป์และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายของเฟด ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการขายในตลาดหุ้นและการเคลื่อนย้ายไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและพันธบัตรรัฐบาล
จากมุมมองของการวิเคราะห์ตลาดเชิงพฤติกรรม (Behavioral Market Analysis) ดัชนีความกลัวและความโลภในระดับต่ำเช่นนี้มักเป็นสัญญาณการกลับตัวของตลาดในทางตรงกันข้าม (Contrarian Indicator) ซึ่งหมายความว่าเมื่อความกลัวอยู่ในระดับสูงสุด มักเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการพิจารณาเข้าซื้อในระยะกลางถึงยาว อย่างไรก็ตาม ในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้ เทรดเดอร์ควรเข้าซื้ออย่างระมัดระวังและทยอยเข้าลงทุน
นโยบายการค้าของทรัมป์เป็นปัจจัยร่วมที่ส่งผลกระทบต่อทุกตลาด โดยสร้างความไม่แน่นอนด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้นักลงทุนหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ความเชื่อมโยงระหว่างตลาดเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมองภาพรวมตลาดและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงตลาดใดตลาดหนึ่ง โดยเฉพาะในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้ การกระจายความเสี่ยงและการเข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างตลาดจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถบริหารพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์นี้เผชิญกับความผันผวนสูงท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและความคาดหวังเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย ดัชนีหุ้นหลักหลายตัวเข้าสู่ภาวะปรับฐาน ในขณะที่นักลงทุนพยายามประเมินผลกระทบของปัจจัยมหภาคต่อแนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน
S&P 500 เข้าสู่ภาวะปรับฐาน (correction territory) อย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้ โดยลดลงมากกว่า 10% จากจุดสูงสุดล่าสุด แสดงให้เห็นถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายภาษีการค้าใหม่ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรบริษัท ค่า RSI ของ S&P 500 อยู่ที่ 37.45-41.32 ซึ่งใกล้ภาวะขายมากเกินไป (Oversold) และค่า MACD ที่ -97.92 ถึง -109.81 ต่ำกว่าเส้นสัญญาณ บ่งชี้แนวโน้มขาลงในระยะสั้น
Dow Jones Industrial Average แสดงความยืดหยุ่นมากกว่า โดยเพิ่มขึ้น 0.9% ในวันที่ 17 มี.ค. ปิดที่ 41,841.63 จุด แม้จะมีค่า RSI อยู่ที่ 35.85 ซึ่งเข้าใกล้ภาวะขายมากเกินไป ปัจจัยสนับสนุนให้ Dow Jones มีความยืดหยุ่นมากกว่า S&P 500 มาจากการที่ดัชนีนี้ประกอบด้วยหุ้นกลุ่ม Value ที่มีมูลค่าตามพื้นฐานสูงกว่าและอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีการค้าน้อยกว่า รวมถึงมีสัดส่วนของกลุ่มที่จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า
Nasdaq Composite ได้รับผลกระทบมากที่สุดในบรรดาดัชนีหลักของสหรัฐฯ เนื่องจากสัดส่วนสูงของหุ้นเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและอัตราดอกเบี้ย ดัชนีนี้ลดลง 3.2% ในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศได้รับแรงกดดัน
Hang Seng ของฮ่องกงแสดงสัญญาณผสม โดยมี RSI ที่ 54.27 ซึ่งไม่ได้อยู่ในโซนซื้อหรือขายมากเกินไป ราคาปิดที่ 23,689.72 ต่ำกว่า EMA 10 วันที่ 24,023.69 บ่งชี้แนวโน้มขาลงในระยะสั้น แต่ยังอยู่เหนือ EMA 50 วันและ 200 วัน ซึ่งบ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว ดัชนีนี้ได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของภาษีการนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกของจีน และความล่าช้าในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นปรับตัวลดลง 2.1% ในสัปดาห์นี้ หลังจาก BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% และแสดงท่าทีระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในบางช่วงของสัปดาห์จากการเป็นสกุลเงินปลอดภัยยังกดดันหุ้นกลุ่มส่งออกของญี่ปุ่น
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในสัปดาห์นี้ ได้แก่ Utilities เพิ่มขึ้น 3.23% นับเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในปี 2025 นอกจากนี้ Legal Cannabis เพิ่มขึ้น 19.25%, Pharmacy Services & Retail Drugstore เพิ่มขึ้น 18.81% และ Tobacco เพิ่มขึ้น 16.99% ก็มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น กลุ่มเหล่านี้ได้รับแรงหนุนจากลักษณะ Defensive ที่มักมีผลการดำเนินงานที่ดีในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและตลาดผันผวน
ในทางตรงกันข้าม กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุด ได้แก่ Consumer Discretionary ลดลง 7.97%, Transportation ลดลง 7.41% และ Technology ลดลง 5.45% กลุ่มเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและผลกระทบจากนโยบายภาษีการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Coal Mining ลดลง 37.89%, Publishing & Information ลดลง 24.94% และ Retail Apparel ลดลง 24.19% ซึ่งมีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดในบรรดาอุตสาหกรรมทั้งหมด
ในตลาด ETFs มี ARK Innovation ETF (ARKK) เพิ่มขึ้น 3.33% และ Invesco KBW Bank ETF (KBWB) เพิ่มขึ้น 2.75% ซึ่งแสดงผลการดำเนินงานที่ดี ในขณะที่ KraneShares Electric Vehicles and Future Mobility ETF (KARS) ลดลง 2.40% สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าท่ามกลางความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทานและนโยบายการค้า
ในด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค S&P 500 มีแนวรับสำคัญที่ 5,000 จุด ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาสำคัญ หากรักษาระดับนี้ไว้ได้ อาจเห็นการฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้านที่ 5,200 และ 5,300 จุด อย่างไรก็ตาม หากหลุดแนวรับนี้ อาจเห็นการปรับตัวลงต่อเนื่องไปที่ 4,900 และ 4,800 จุด
สำหรับ Dow Jones มีแนวรับที่ 41,500 จุด และแนวต้านที่ 42,000 และ 42,500 จุด โดยการผ่านแนวต้าน 42,500 จุด จะเป็นสัญญาณบวกสำหรับตลาดโดยรวม ส่วน Nasdaq มีแนวรับสำคัญที่ 16,000 จุด และแนวต้านที่ 16,500 และ 17,000 จุด
จากสถานการณ์ปัจจุบัน นักลงทุนควรระมัดระวังในระยะสั้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจและนโยบายการค้า แต่ในระยะกลางถึงยาว การปรับฐานครั้งนี้อาจสร้างโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีที่มีราคาถูกลง
กลยุทธ์ที่เหมาะสมในสภาวะนี้คือการกระจายความเสี่ยงและเน้นลงทุนในกลุ่ม Defensive ที่มีความผันผวนต่ำและจ่ายเงินปันผลสูง เช่น Utilities, Healthcare และ Consumer Staples โดยอาจพิจารณาทยอยเข้าซื้อในจังหวะที่ดัชนีทดสอบแนวรับสำคัญ
นอกจากนี้ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น โดยการกำหนดจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนและไม่ใช้เลเวอเรจมากเกินไปในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง การมีเงินสดในพอร์ตเพื่อรองรับการปรับฐานเพิ่มเติมและพร้อมใช้ประโยชน์จากโอกาสที่อาจเกิดขึ้นก็เป็นสิ่งสำคัญ
ในสัปดาห์หน้า นักลงทุนควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะดัชนี PCE ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อหลักที่เฟดใช้ในการกำหนดนโยบาย รวมถึงการสื่อสารของเจ้าหน้าที่เฟดเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต และพัฒนาการของนโยบายการค้าซึ่งจะมีผลสำคัญต่อทิศทางของตลาดหุ้น
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์นี้แสดงความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินโลก โดยมีปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบมาจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ สินทรัพย์ดิจิทัลหลักอย่าง Ethereum สามารถฟื้นตัวได้อย่างน่าประทับใจ แม้จะเผชิญกับสภาวะตลาดที่ท้าทาย
Ethereum เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ดิจิทัลที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้ โดยแสดงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจาก $1,887.76 ในวันที่ 17 มีนาคม เป็น $2,060.73 ในวันที่ 20 มีนาคม คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 6.62% ในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ราคาปัจจุบันยังคงต่ำกว่าจุดสูงสุดของปีที่แล้วถึง 35.02% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับฐานที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมา
Bitcoin ยังคงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุด โดยมีความผันผวนในสัปดาห์นี้ แม้ว่าข้อมูลจะไม่ได้ระบุราคาโดยตรง แต่ Bitcoin มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของทองคำและการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ในด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค Ethereum กำลังเคลื่อนไหวในรูปแบบของการฟื้นตัวหลังจากที่ทดสอบแนวรับที่สำคัญที่ $1,880 ซึ่งเป็นระดับที่มีปริมาณการซื้อขายสูงในช่วงเดือนที่ผ่านมา การผ่านระดับ $2,000 เป็นสัญญาณทางเทคนิคที่ดี โดยมีแนวต้านถัดไปที่ $2,150 และ $2,300 ซึ่งหากสามารถผ่านไปได้ จะเป็นการยืนยันการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงในระยะสั้น
ปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อ Ethereum ในช่วงนี้มาจากการพัฒนาของระบบนิเวศบนบล็อกเชนที่ต่อเนื่อง และความคาดหวังเกี่ยวกับการอนุมัติกองทุน ETF ที่อิงกับ Ethereum ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ การที่เฟดประกาศชะลอการลดขนาดงบดุล (QT) ยังเป็นปัจจัยบวกต่อสภาพคล่องในระบบการเงิน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงคริปโตเคอเรนซี่
ความสัมพันธ์ระหว่างคริปโตเคอเรนซี่กับตลาดการเงินดั้งเดิมมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับดัชนีหุ้นเทคโนโลยีอย่าง Nasdaq และทองคำ ในสัปดาห์นี้ การฟื้นตัวของ Ethereum มีความสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของทองคำที่ทำจุดสูงสุดใหม่ สะท้อนถึงความต้องการสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง
นอกจากนี้ ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างคริปโตเคอเรนซี่กับดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงเป็นลบ โดยในช่วงที่ดอลลาร์อ่อนค่า คริปโตเคอเรนซี่มักปรับตัวขึ้น และในทางกลับกัน ความสัมพันธ์นี้เป็นผลมาจากการที่นักลงทุนมองคริปโตเคอเรนซี่เป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงจากการถือครองเงินสกุลดอลลาร์
ดัชนีความกลัวและความโลภในตลาดคริปโตเคอเรนซี่อยู่ที่ 24 ซึ่งอยู่ในโซนความกลัวสูงสุด สะท้อนความกังวลของนักลงทุนในตลาด อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของการวิเคราะห์ตลาดเชิงพฤติกรรม ระดับความกลัวที่สูงเช่นนี้มักเป็นสัญญาณของการกลับตัวในทางตรงกันข้าม (Contrarian Indicator) และอาจเป็นโอกาสในการเข้าสะสมในระยะกลางถึงยาว
แนวโน้มของตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในระยะสั้นยังคงมีความผันผวนสูง โดยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยมหภาคทั้งนโยบายการเงินและการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางถึงยาว ปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมบล็อกเชนและการยอมรับคริปโตเคอเรนซี่ในวงกว้างมากขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การเทรดในสภาวะปัจจุบัน นักลงทุนระยะสั้นควรระมัดระวังและเน้นการเทรดตามกรอบราคา (Range Trading) โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหรือมีความเคลื่อนไหวด้านนโยบาย ในขณะที่นักลงทุนระยะกลางถึงยาวอาจพิจารณากลยุทธ์การสะสมทยอยซื้อ (Accumulation Strategy) ในช่วงที่ราคาปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับสำคัญ
สำหรับ Ethereum กลยุทธ์การสะสมในช่วงราคา $1,900-2,000 ยังคงมีความน่าสนใจ โดยตั้งเป้าหมายระยะกลางที่ $2,300-2,500 อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรจำกัดสัดส่วนการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และไม่ควรใช้เลเวอเรจสูงเกินไปในสภาวะตลาดที่มีความผันผวน
ในสัปดาห์หน้า นักลงทุนควรติดตามการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐฯ และข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่อาจส่งผลต่อความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด โดยเฉพาะดัชนี PCE ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อหลักที่เฟดใช้ในการกำหนดนโยบาย นอกจากนี้ การพัฒนาเกี่ยวกับกฎระเบียบคริปโตเคอเรนซี่ในสหรัฐฯ และยุโรปยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
สัปดาห์หน้า (24-28 มีนาคม 2025) ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจ เทรดเดอร์ควรติดตามพัฒนาการของสงครามการค้า ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ และการสื่อสารจากธนาคารกลางอย่างใกล้ชิด การบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและการมีแผนการเทรดที่ชัดเจนจะเป็นกุญแจสำคัญในการนำทางผ่านสภาวะตลาดที่ท้าทายนี้
สัปดาห์หน้าจะมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่อาจส่งผลต่อทิศทางตลาด โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดังนี้
นอกเหนือจากข้อมูลเศรษฐกิจแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่ต้องติดตาม:
เทรดเดอร์ควรระมัดระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า ได้แก่:
การเตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ เทรดเดอร์ควรพิจารณา:
สำหรับการเทรดในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ในสัปดาห์หน้า เทรดเดอร์อาจพิจารณากลยุทธ์ดังนี้:
สกุลเงิน Forex:
สินค้าโภคภัณฑ์:
ดัชนีหุ้น:
คริปโตเคอเรนซี่:
ในภาพรวม สัปดาห์หน้าจะยังคงมีความผันผวนสูง เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น โดยการกำหนดจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนและไม่ใช้เลเวอเรจมากเกินไป การติดตามพัฒนาการของสงครามการค้า ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ และการสื่อสารจากธนาคารกลางอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ
สัปดาห์ที่ผ่านมา (17-21 มีนาคม 2025) เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับเทรดเดอร์ ด้วยความผันผวนของตลาดที่เกิดจากหลายปัจจัยสำคัญ ทั้งนโยบายการเงิน นโยบายการค้า และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ในบทสรุปนี้ เราจะรวบรวมประเด็นสำคัญและนำเสนอข้อแนะนำสำหรับเทรดเดอร์ในแต่ละระดับเพื่อรับมือกับสภาวะตลาดในช่วงต่อไป
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และญี่ปุ่น (BOJ) ส่งผลกระทบสำคัญต่อตลาด โดยเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.25-4.5% และยังคงคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยสองครั้งในปี 2025 แต่มีการปรับลดคาดการณ์ GDP และเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อ พร้อมประกาศชะลอการลดขนาดงบดุล (QT) ซึ่งส่งสัญญาณถึงความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
นโยบายภาษีการค้าใหม่ของทรัมป์ที่ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% และเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีน 10% ได้สร้างความไม่แน่นอนในตลาดโลก โดยส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ และอาจนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ทองคำเป็นดาวเด่นในสัปดาห์นี้ โดยทำจุดสูงสุดที่ $3,057 ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะ S&P 500 เข้าสู่ภาวะปรับฐาน (correction territory) ลดลงมากกว่า 10% จากจุดสูงสุด ส่วนตลาด Forex มีความผันผวนสูง โดยมีความสัมพันธ์ชัดเจนกับสินทรัพย์อื่นๆ
ดัชนีความกลัวและความโลภทั้งในตลาดหุ้นและคริปโตเคอเรนซี่อยู่ในโซนความกลัวสูงสุด สะท้อนความกังวลอย่างมากของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของการวิเคราะห์ตลาดเชิงพฤติกรรม นี่อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวในทางตรงกันข้ามในระยะกลาง
สำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น (1-5 วัน):
การเทรดในระยะสั้นต้องใช้ความระมัดระวังสูงในสภาวะตลาดที่มีความผันผวน เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงและจำกัดขนาดการเทรดต่อครั้ง กลยุทธ์การเทรดตามกรอบราคา (Range Trading) เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน โดยเฉพาะในคู่สกุลเงิน EUR/USD และ USD/JPY ที่มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบชัดเจน
เทรดเดอร์ระยะสั้นควรระมัดระวังการเทรดในช่วงประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะดัชนี PCE และ PMI ของสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจสร้างความผันผวนอย่างมากในตลาด การใช้คำสั่ง Stop Loss ที่เหมาะสมและไม่เทรดด้วยขนาดใหญ่เกินไปจะช่วยปกป้องเงินทุนในช่วงที่ตลาดอาจมีการเคลื่อนไหวผิดทิศทางอย่างรุนแรง
สำหรับเทรดเดอร์ระยะกลาง (1-6 เดือน):
เทรดเดอร์ระยะกลางควรพิจารณาการปรับพอร์ตการลงทุนให้มีความป้องกันมากขึ้น โดยเพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ และกลุ่มหุ้น Defensive เช่น Utilities, Healthcare และ Consumer Staples ที่มักมีความทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยและตลาดผันผวน
การทยอยเข้าซื้อในจังหวะที่ตลาดปรับตัวลงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม โดยเฉพาะในหุ้นพื้นฐานดีที่มีราคาถูกลงมาก นอกจากนี้ เทรดเดอร์ควรติดตามการเคลื่อนไหวของธนาคารกลาง โดยเฉพาะแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดซึ่งอาจส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะกลาง
สำหรับตลาดคริปโตเคอเรนซี่ กลยุทธ์การสะสมในช่วงที่ราคาปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับสำคัญอาจเหมาะสมสำหรับเทรดเดอร์ที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง โดยเฉพาะในสินทรัพย์ดิจิทัลหลักอย่าง Bitcoin และ Ethereum
สำหรับนักลงทุนระยะยาว (1-3 ปี หรือมากกว่า):
นักลงทุนระยะยาวควรมองการปรับฐานในปัจจุบันเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสมมากขึ้น การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทยังคงเป็นหลักการสำคัญ โดยควรรักษาสัดส่วนลงทุนในตลาดหุ้นตามแผนระยะยาว แต่อาจปรับพอร์ตให้มีความเสี่ยงน้อยลงโดยเพิ่มสัดส่วนในกลุ่มที่จ่ายเงินปันผลสูงและมีความผันผวนต่ำ
การเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging) เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง โดยแบ่งเงินลงทุนออกเป็นส่วนๆ และทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น
ความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้าและการเงินยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจสร้างความผันผวนในตลาด เทรดเดอร์ควรลดความเสี่ยงโดยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทและไม่เทรดด้วยขนาดใหญ่เกินไป การใช้คำสั่ง Stop Loss ที่เหมาะสมและมีวินัยในการทำตามแผนการเทรดจะช่วยลดความเสียหายจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่เป็นไปตามคาด
การรักษาสัดส่วนเงินสดในพอร์ตมีความสำคัญในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงแล้ว ยังทำให้เทรดเดอร์มีความพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับฐานของตลาด
สภาวะตลาดในช่วงนี้แม้จะมีความท้าทาย แต่ก็สร้างโอกาสสำหรับเทรดเดอร์ที่มีกลยุทธ์ชัดเจนและบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ความสำเร็จในการเทรดไม่ได้มาจากการคาดการณ์ทิศทางตลาดที่ถูกต้องเสมอไป แต่มาจากการบริหารความเสี่ยงที่ดีและการมีวินัยในการทำตามแผน
ในขณะที่เราเข้าสู่สัปดาห์หน้าที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เทรดเดอร์ควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจและการเมืองอย่างใกล้ชิด แต่ในขณะเดียวกันก็ควรรักษาอารมณ์และไม่ตัดสินใจบนพื้นฐานของความกลัวหรือความโลภ เพราะในที่สุดแล้ว ความสม่ำเสมอและวินัยในการเทรดจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว