หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์ที่ 10-14 มิถุนายน 2025 ถือเป็นช่วงเวลาวิกฤตสำหรับตลาดการเงินโลก เนื่องจากนักลงทุนและเทรดเดอร์ทั่วโลกจับตามองการเผยแพร่รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐอมริกาประจำเดือนพฤษภาคม 2025 ในวันที่ 12 มิถุนายน พร้อมกับการประชุมคณะกรรมการตลาดเปิดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 13 มิถุนายน ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์นี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของนโยบายการเงินและการเคลื่อนไหวของตลาดการเงินระหว่างประเทศในระยะต่อไป
ข้อมูลเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอมริกามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 2.3% ในเดือนเมษายนเป็น 2.5% ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่ดัชนี Core CPI ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานคาดว่าจะทะยานขึ้นสู่ระดับ 2.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสามเดือน แรงกดดันเงินเฟ้อนี้เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่ส่งผลต่อต้นทุนโลจิสติกส์และวัตถุดิบ รวมถึงการที่ธุรกิจต่างๆ เริ่มส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคอย่างชัดเจนมากขึ้น
ความท้าทายที่สำคัญในสภาพแวดล้อมปัจจุบันคือสถานการณ์ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่เริ่มแสดงสัญญาณการอ่อนตัว โดยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 247,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเจ็ดเดือน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 52.2 แม้จะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า สถานการณ์นี้สร้างภาพตัดกันระหว่างแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นกับเศรษฐกิจที่มีสัญญาณการชะลอตัว
สำหรับนักเทรดและนักลงทุนที่ใช้บริการ FXGT การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้กับการเคลื่อนไหวของตลาดสกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการติดตามความเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินหลักอย่าง EUR/USD ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.1395 USD/JPY ที่แลกเปลี่ยนอยู่ที่ 144.39 และ GBP/USD ที่อยู่ที่ระดับ 1.3558 ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางนโยบายการเงินและการคาดการณ์เศรษฐกิจที่แตกต่างกันระหว่างภูมิภาค
การวิเคราะห์ในบทความนี้จะมุ่งเน้นการเชื่อมโยงปัจจัยพื้นฐานกับโอกาสการเทรดที่เป็นรูปธรรม พร้อมทั้งนำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ ที่จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจากการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักของโลก
สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอมริกาในเดือนพฤษภาคม 2025 นำเสนอภาพที่ซับซ้อนและท้าทายสำหรับนโยบายการเงิน โดยรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคแสดงให้เห็นการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อรายปีที่ 2.5% เมื่อเปรียบเทียบกับ 2.3% ในเดือนเมษายน ซึ่งแม้จะยังคงอยู่ใกล้เป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ทิศทางการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้สร้างความกังวลในหมู่นักวิเคราะห์นโยบายการเงิน ดัชนี Core CPI ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานซึ่งมีความผันผวนสูงแสดงการเพิ่มขึ้นที่น่าจับตามากกว่าที่ระดับ 2.9% ต่อปี เป็นระดับสูงสุดในรอบสามเดือนและสูงกว่าความคาดหวังของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของแรงกดดันเงินเฟ้อนี้มาจากการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนไปยังผู้บริโภคขั้นสุดท้าย โดยเฉพาะในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่เรียกว่า “core goods” ซึ่งครอบคลุมเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ระบุว่าผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เริ่มปรากฏในเดือนพฤษภาคมนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น และคาดว่าจะเห็นแรงกดดันที่รุนแรงขึ้นในหมวดการสื่อสาร นันทนาการ และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ในเดือนต่อไปตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไป
สถานการณ์ตลาดแรงงานสหรัฐอมริกาเริ่มแสดงสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตา โดยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นเป็นอาทิตย์ที่สองติดต่อกันจาก 239,000 ราย เป็น 247,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเจ็ดเดือนและสูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 235,000 ราย การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในภาคธุรกิจที่เกิดจากนโยบายการค้าใหม่ โดยรายงาน Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ระบุว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าได้บังคับให้บริษัทต่างๆ ชะลอแผนการจ้างงานใหม่ ลดชั่วโมงทำงานและโอเวอร์ไทม์ และในบางกรณีได้มีการวางแผนลดจำนวนพนักงาน
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากการสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนแสดงการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจาก 50.8 เป็น 52.2 ในเดือนพฤษภาคม อย่างไรก็ตาม ระดับดังกล่าวยังคงอยู่ในช่วงต่ำสุดของปี 2022 และสะท้อนถึงความกังวลของผู้บริโภคต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ข้อมูลที่น่าสนใจคือดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นเป็น 47.9 จาก 47.3 หลังจากรัฐบาลประกาศการระงับภาษีนำเข้าบางส่วนจากจีนเป็นการชั่วคราว ขณะที่ความคาดหวังเงินเฟ้อในระยะหนึ่งปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 6.5% เป็น 6.6%
ในส่วนของนโยบายการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในช่วง 4.25%-4.50% ในการประชุมเดือนมิถุนายน โดยตลาดล่วงหน้าได้ยกเลิกความเป็นไปได้ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคมอย่างสิ้นเชิง และกลับมาประเมินโอกาสการลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดพื้นฐานอย่างน้อยหนึ่งครั้งภายในเดือนตุลาคม ความน่าจะเป็นของการลดครั้งที่สองก่อนสิ้นปีอยู่ที่ประมาณ 60% ซึ่งลดลงจากการคาดการณ์เดิมที่มีการลดอัตราดอกเบี้ยสามครั้งในปี 2025
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) กำลังเผชิญกับความท้าทายที่แตกต่างออกไป โดยคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยหลัก 0.25% สู่ระดับ 2.15% ในการประชุมเดือนมิถุนายน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยุโรปที่ชะลอตัวจากการลดลงของการส่งออกไปยังสหรัฐอมริกาและจีน ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ยังคงรักษานโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไป แม้จะมีแรงกดดันจากการอ่อนค่าของเยนที่อาจส่งผลต่อเงินเฟ้อนำเข้า ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลักนี้กำลังสร้างโอกาสการซื้อขาย carry trade โดยเฉพาะในคู่สกุลเงิน USD/JPY ที่ปัจจุบันแลกเปลี่ยนอยู่ที่ระดับ 144.39
สถานการณ์เศรษฐกิจจีนยังคงเป็นปัจจัยที่น่าจับตา โดยรายงาน CPI ของจีนในเดือนพฤษภาคมแสดงการลดลง 0.1% รายปีเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 3.3% สะท้อนภาวะเงินฝืดที่ยังไม่คลี่คลายแม้รัฐบาลจีนจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ สถานการณ์นี้สร้างความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชียที่พึ่งพาการส่งออกไปยังจีนเป็นหลัก
การประชุมคณะกรรมการตลาดเปิดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 13 มิถุนายน 2025 กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนและนักวิเคราะห์ทั่วโลก เนื่องจากผลลัพธ์ที่จะออกมาจะเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐอมริกาในระยะต่อไป ตลาดล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันแสดงความคาดหวังที่ชัดเจนว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในช่วง 4.25%-4.50% โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการประชุมครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตลาดจับตามองอย่างใกล้ชิดคือการปรับปรุงแผนภาพจุด (Dot Plot) ที่อาจสะท้อนมุมมองใหม่ของเจ้าหน้าที่ Fed เกี่ยวกับเส้นทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
ข้อมูลเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้มีแนวโน้มที่จะผลักดันให้เจ้าหน้าที่ Fed ปรับลดการคาดการณ์จำนวนครั้งของการลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้สามครั้ง เหลือเพียงหนึ่งถึงสองครั้งเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการควบคุมเงินเฟ้อเป็นอันดับแรก แม้จะมีสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจในบางด้าน การปรับปรุง Dot Plot ในทิศทางที่เข้มงวดขึ้นจะเป็นปัจจัยสนับสนุนความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากจะทำให้ผลต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐอมริกากับประเทศอื่นๆ ยังคงอยู่ในระดับสูง
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดว่าจะให้ความสำคัญกับการอธิบายผลกระทบของนโยบายภาษีนำเข้าต่อเงินเฟ้อในการแถลงข่าวหลังการประชุม โดยเฉพาะการประเมินว่าแรงกดดันเงินเฟ้อจากภาษีนำเข้าจะเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวหรือมีลักษณะยั่งยืน หากธนาคารกลางสหรัฐฯ มองว่าผลกระทบดังกล่าวมีความยั่งยืนและอาจขยายตัวไปยังภาคส่วนอื่นๆ ของเศรษฐกิจ ก็จะเป็นเหตุผลสำคัญในการรักษาท่าทีที่เข้มงวดต่อนโยบายการเงิน การวิเคราะห์นี้จะมีผลกระทบโดยตรงต่อความคาดหวังของตลาดและการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะสั้นและกลาง
ธนาคารกลางยุโรปกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่แตกต่างไปจากสหรัฐอมริกาอย่างสิ้นเชิง โดยมีแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นให้ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การประชุมของธนาคารกลางยุโรปในวันที่ 12 มิถุนายน คาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยหลัก 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 2.40% ลงสู่ 2.15% การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความกังวลของธนาคารกลางยุโรปต่อการชะลอตัวของการส่งออกและการลงทุน โดยเฉพาะผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอมริกาและจีนที่ส่งผลต่อความต้องการสินค้าและบริการจากยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ รักษาท่าทีที่เข้มงวดจะทำให้ผลต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองภูมิภาคขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังคงรักษานโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากการอ่อนค่าของเยนที่อาจนำไปสู่เงินเฟ้อนำเข้าที่สูงขึ้น ท่าทีของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ยังคงมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าการควบคุมเงินเฟ้อสร้างความแตกต่างที่ชัดเจนกับนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ความแตกต่างนี้เป็นแรงผลักดันสำคัญสำหรับการซื้อขาย carry trade ในคู่สกุลเงิน USD/JPY โดยนักลงทุนสามารถได้รับผลประโยชน์จากผลต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงระหว่างสองประเทศ
การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบระหว่างนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักแสดงให้เห็นถึงการแยกทางที่ชัดเจน ขณะที่สหรัฐอมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายในการสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ ยุโรปและญี่ปุ่นกลับมีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจที่อ่อนแอ สถานการณ์นี้สร้างโอกาสการซื้อขายที่หลากหลายสำหรับนักเทรดที่สามารถใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของนโยบายการเงินและผลต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างภูมิภาค
ผลกระทบระยะยาวจากการแยกทางของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลักจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของทุนระหว่างประเทศ การลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง และการจัดสรรพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน นักเทรดที่เข้าใจและสามารถคาดการณ์ผลกระทบเหล่านี้ได้จะมีโอกาสสร้างผลกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนและราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในตลาดการเงินระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดการเงินต่างประเภทในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงที่ซับซ้อนและมีนัยสำคัญต่อกลยุทธ์การเทรด การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐอมริกาและความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังตลาดสกุลเงิน ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดทุนทั่วโลก การทำความเข้าใจความสัมพันธ์เหล่านี้จึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับนักเทรดที่ต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อและตลาดสกุลเงินแสดงออกมาในรูปแบบของการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ เนื่องจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเป็นระยะเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม คู่สกุลเงิน EUR/USD ที่ปัจจุบันแลกเปลี่ยนอยู่ที่ระดับ 1.1395 กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากการแยกทางของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางยุโรป การที่ธนาคารกลางยุโรปมีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ รักษาท่าทีที่เข้มงวดทำให้ผลต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองภูมิภาคขยายตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนแนวโน้มการอ่อนค่าของยูโรต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะกลาง
คู่สกุลเงิน USD/JPY ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 144.39 นำเสนอโอกาสการเทรดที่น่าสนใจสำหรับกลยุทธ์ carry trade เนื่องจากผลต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐอมริกาและญี่ปุ่นยังคงอยู่ในระดับสูง การที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังคงรักษานโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเป็นระยะเวลานานขึ้นทำให้นักลงทุนสามารถได้รับผลประโยชน์จากการยืมเงินในสกุลเยนที่มีต้นทุนต่ำและนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในสหรัฐอมริกา อย่างไรก็ตาม นักเทรดจำเป็นต้องติดตามความเสี่ยงจากการแทรกแซงของธนาคารกลางญี่ปุ่นหากเยนอ่อนค่าลงมากเกินไป
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐฯ และความคาดหวังเงินเฟ้อ ราคาทองคำที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3,323.01 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์กำลังได้รับการสนับสนุนจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ แม้ว่าดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่ทองคำยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผู้บริโภคและนักลงทุนมีความกังวลต่อการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการครองชีพจากนโยบายภาษีนำเข้า นักเทรดสามารถใช้ประโยชน์จากความผันผวนของราคาทองคำโดยการติดตามความสัมพันธ์ผกผันกับดอลลาร์สหรัฐฯ และการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
ตลาดน้ำมันดิบแสดงให้เห็นถึงพลวัตที่แตกต่างออกไป โดยราคา Brent Crude ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 67.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลและ WTI Crude ที่ 65.42 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย รวมถึงความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของความต้องการจากจีนและอินเดีย มาตรการจำกัดการผลิตของ OPEC+ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันกับสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกพลังงานเช่นดอลลาร์แคนาดาและโครนนอร์เวย์เป็นโอกาสการเทรดที่นักเทรดสามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะการเทรดคู่สกุลเงิน USD/CAD ที่มีความสัมพันธ์ผกผันกับราคาน้ำมัน
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดพันธบัตรและตลาดสกุลเงินแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของสภาพแวดล้อมการลงทุนปัจจุบัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะ 10 ปีที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความคาดหวังของตลาดต่อการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเป็นระยะเวลานานขึ้น การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลโดยตรงต่อการไหลของเงินทุนระหว่างประเทศ โดยเงินทุนมีแนวโน้มไหลเข้าสู่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงในสหรัฐอมริกา ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง
นักเทรดสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสการเทรดหลากหลายรูปแบบในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน การเทรดตามแนวโน้มการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง โดยเฉพาะการเทรดขายยูโรหรือเยนเพื่อซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ การเทรดสินค้าโภคภัณฑ์โดยการพิจารณาความสัมพันธ์กับดอลลาร์สหรัฐฯ และปัจจัยอุปทาน-อุปสงค์เฉพาะของแต่ละสินค้าก็เป็นโอกาสที่น่าสนใจ นอกจากนี้ การเทรดระหว่างตลาดที่มีความสัมพันธ์กันเช่นการเทรดคู่ระหว่างดัชนีหุ้นและสกุลเงินของประเทศเดียวกันก็สามารถสร้างโอกาสกำไรได้ หากนักเทรดสามารถวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ
การพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดเผชิญกับความไม่แน่นอนจากการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก นักเทรดที่ใช้บริการ FXGT สามารถใช้ประโยชน์จากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นได้หากมีการเตรียมตัวและวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสม
แนวทางการเทรดตามปัจจัยพื้นฐานในสถานการณ์ปัจจุบันควรให้ความสำคัญกับการติดตามผลกระทบจากรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐอมริกาและการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นหลัก หากข้อมูล CPI ออกมาสูงกว่าการคาดการณ์ที่ 2.5% หรือ Core CPI เกิน 2.9% นักเทรดควรพิจารณากลยุทธ์การซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ โดยเฉพาะยูโรและเยนญี่ปุ่น เนื่องจากจะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจต้องรักษาท่าทีที่เข้มงวดต่อนโยบายการเงินมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ในทางตรงกันข้าม หากข้อมูลเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าคาด อาจเป็นโอกาสสำหรับการขายดอลลาร์สหรัฐฯ ชั่วคราว
คู่สกุลเงิน EUR/USD ที่ปัจจุบันแลกเปลี่ยนอยู่ที่ระดับ 1.1395 นำเสนอโอกาสการเทรดที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดที่เข้าใจพลวัตของนโยบายการเงินระหว่างสองภูมิภาค ระดับแนวรับที่สำคัญอยู่ที่ 1.1300 ซึ่งหากราคาทะลุลงมาจะเปิดโอกาสให้ราคาลดลงต่อไปสู่ระดับ 1.1200 ในระยะกลาง ระดับแนวต้านที่สำคัญอยู่ที่ 1.1450 และ 1.1500 ซึ่งการทะลุขึ้นไปจะต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปหรือการอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ จากข้อมูลเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาด
การเทรดคู่สกุลเงิน USD/JPY ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 144.39 เหมาะสำหรับกลยุทธ์ carry trade ที่ใช้ประโยชน์จากผลต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐอมริกาและญี่ปุ่น ระดับแนวรับที่สำคัญอยู่ที่ 143.25 ซึ่งการทะลุลงมาอาจนำไปสู่การทดสอบระดับ 142.00 ระดับแนวต้านที่สำคัญอยู่ที่ 147.35 ซึ่งการทะลุขึ้นไปจะเปิดโอกาสให้ราคาเพิ่มขึ้นต่อไปสู่ระดับ 150.00 อย่างไรก็ตาม นักเทรดต้องระมัดระวังความเสี่ยงจากการแทรกแซงของธนาคารกลางญี่ปุ่นหากเยนอ่อนค่าลงมากเกินไป โดยเฉพาะถ้าราคาเคลื่อนตัวเข้าใกล้ระดับ 150.00
คู่สกุลเงิน GBP/USD ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.3558 มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐอมริกา รวมถึงความคาดหวังต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ ระดับแนวต้านที่สำคัญอยู่ที่ 1.3615 และระดับแนวรับที่สำคัญอยู่ที่ 1.3405 การเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินนี้มักจะมีความผันผวนสูงกว่าคู่สกุลเงินหลักอื่นๆ จึงเหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการโอกาสกำไรที่สูงแต่ยังคงต้องมีการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด
การเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงนี้ควรให้ความสำคัญกับทองคำและน้ำมันดิบเป็นหลัก ทองคำที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3,323.01 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3,350 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์หากดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาด ระดับแนวรับที่สำคัญอยู่ที่ 3,290 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์ ส่วนน้ำมันดิบ Brent ที่ 67.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลและ WTI ที่ 65.42 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมีแนวโน้มได้รับการสนับสนุนจากความต้องการที่ฟื้นตัวและมาตรการของ OPEC+
การจัดการความเสี่ยงในช่วงที่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจำเป็นต้องมีการวางแผนที่รอบคอบ นักเทรดควรพิจารณาลดขนาดการเทรดลงในช่วง 30 นาทีก่อนและหลังการประกาศข้อมูล เนื่องจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันอาจทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ผิดคาดการณ์ การใช้คำสั่ง stop loss ที่เหมาะสมและการกำหนดระดับ take profit ที่สมเหตุสมผลเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องที่ลดลงหรือมีการขยายตัวของ spread
นักเทรดควรติดตามปฏิทินเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น การเตรียมแผนการเทรดสำหรับทั้งกรณีที่ข้อมูลออกมาตามคาดและกรณีที่ข้อมูลออกมาแตกต่างจากการคาดการณ์จะช่วยให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการเทรดและลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
การกระจายความเสี่ยงโดยการเทรดในตลาดหลายประเภทและการไม่ลงทุนเงินทุนทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียวเป็นหลักการสำคัญที่นักเทรดทุกระดับควรปฏิบัติ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูงจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อตลาดการเงินระหว่างประเทศ
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่มีผลกระทบต่อตลาดการเงินในสัปดาห์ที่ 10-14 มิถุนายน 2025 ชี้ให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบายการเงินโลกและความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างประเภท การเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐอมริกาสู่ระดับ 2.5% และ Core CPI ที่ 2.9% ได้สร้างความท้าทายใหม่สำหรับธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าที่เริ่มส่งผ่านไปยังราคาสินค้าและบริการต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางการเงินเฟ้อและนโยบายการเงินในระยะต่อไป
การแยกทางของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลักได้สร้างโอกาสการเทรดที่หลากหลายและท้าทายสำหรับนักลงทุน ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มรักษาท่าทีที่เข้มงวดและอาจลดจำนวนครั้งของการลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 ธนาคารกลางยุโรปกลับมีความจำเป็นที่จะต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การแตกต่างนี้ได้สร้างแรงผลักดันที่แข็งแกร่งสำหรับดอลลาร์สหรัฐฯ และเปิดโอกาสสำหรับกลยุทธ์การเทรดที่ใช้ประโยชน์จากผลต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างภูมิภาค
ตลาดสกุลเงินในระยะสั้นคาดว่าจะยังคงได้รับอิทธิพลจากการประกาศผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ และการปรับปรุงแผนภาพจุดที่อาจสะท้อนมุมมองที่เข้มงวดขึ้นต่อนโยบายการเงิน คู่สกุลเงิน EUR/USD มีแนวโน้มเผชิญกับแรงกดดันต่อเนื่องจากการขยายตัวของผลต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐอมริกาและยุโรป ขณะที่ USD/JPY อาจยังคงได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์ carry trade แม้จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการแทรกแซงของธนาคารกลางญี่ปุ่นหากเยนอ่อนค่าลงมากเกินไป
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบในทิศทางตรงกันข้าม ทองคำยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อแม้ว่าดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ขณะที่ตลาดน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของความต้องการและมาตรการจำกัดการผลิตของ OPEC+ ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดเหล่านี้กับตลาดสกุลเงินจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่นักเทรดต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ในสัปดาห์หน้า นักเทรดควรให้ความสำคัญกับการติดตามผลกระทบต่อเนื่องจากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ และการแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ที่อาจให้คำชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับมุมมองของธนาคารกลางต่อผลกระทบของนโยบายภาษีนำเข้าต่อเงินเฟ้อ การเผยแพร่ข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิตและข้อมูลตลาดแรงงานเพิ่มเติมจะช่วยให้เข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐอมริกาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การติดตามความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐอมริกาและจีนที่คาดว่าจะมีในช่วงปลายสัปดาห์อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดและทิศทางการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่างๆ
สำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้บริการ FXGT การเตรียมความพร้อมสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนสูงและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง การใช้กลยุทธ์ที่ผสมผสานระหว่างการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค การจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด และการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการเทรด การกระจายความเสี่ยงผ่านการเทรดในตลาดหลายประเภทและการไม่ลงทุนเงินทุนทั้งหมดในตำแหน่งเดียวจะช่วยปกป้องพอร์ตการลงทุนจากความผันผวนที่ไม่คาดคิด ในระยะยาว การปรับตัวของเศรษฐกิจโลกต่อนโยบายการค้าใหม่และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานจะสร้างโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ สำหรับตลาดการเงิน นักเทรดที่สามารถเข้าใจและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว การศึกษาและทำความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนตลาดอย่างต่อเนื่องจึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับความสำเร็จในการเทรดในยุคที่ตลาดการเงินมีความเชื่อมโยงและซับซ้อนมากขึ้น