หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินโลกในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2568 กำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญจากการปรับตัวลงของอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อความคาดหวังนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักทั่วโลก ข้อมูลดัชนี Personal Consumption Expenditures หรือ PCE ที่เป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อหลักที่ Federal Reserve ให้ความสำคัญ ได้แสดงการลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.1% ในเดือนเมษายน ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์และเป็นระดับต่ำสุดของปี 2568
การพัฒนาการดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจที่ซับซ้อน โดยผู้บริโภคสหรัฐอเมริกาเริ่มแสดงความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านการเพิ่มขึ้นของอัตราการออมส่วนบุคคลที่พุ่งสู่ระดับ 4.9% หรือสูงสุดในรอบเกือบหนึ่งปี ขณะเดียวกัน นโยบายการค้าใหม่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าทั่วไปที่ร้อยละ 10 กำลังสร้างความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปยังตลาดการเงินทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยคู่สกุลเงินหลักอย่าง EUR/USD และ GBP/USD ประสบแรงกดดันจากความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ยังคงได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาด ในขณะที่ตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำกลับได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับเหนือ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สถานการณ์ปัจจุบันนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นักลงทุนและผู้ซื้อขายในตลาด Contract for Difference ต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการปรับตัวของนโยบายการเงินไม่เพียงแต่ส่งผลต่อตลาดสกุลเงินเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น และความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ ด้วย การทำความเข้าใจถึงพลวัตเหล่านี้จะช่วยให้สามารถวางกลยุทธ์การซื้อขายที่เหมาะสมและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้
การเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาในเดือนเมษายน 2568 ได้สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญในการประเมินทิศทางนโยบายการเงินของ Federal Reserve โดยดัชนี Personal Consumption Expenditures ที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 ในรายเดือนได้ทำให้อัตราเงินเฟ้อรายปีลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของ Dow Jones และเป็นระดับต่ำสุดของปี 2568 การอ่านข้อมูลนี้สอดคล้องกับการคาดการณ์รายเดือน แต่ระดับรายปีต่ำกว่าคาดการณ์ถึงร้อยละ 0.1
ความสำคัญของข้อมูลนี้เพิ่มขึ้นเมื่อพิจารณาจากดัชนี Core PCE ที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางให้ความสำคัญมากกว่าในการประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อระยะยาว ดัชนีนี้แสดงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ในรายเดือนและร้อยละ 2.5 ในรายปี เทียบกับการคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.1 และร้อยละ 2.6 ตามลำดับ การที่ Core PCE อยู่ต่ำกว่าคาดการณ์แสดงให้เห็นว่าแรงกดดันด้านราคาในระบบเศรษฐกิจเริ่มคลายตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป โดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในเดือนเมษายน โดยเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 เทียบกับอัตราร้อยละ 0.7 ในเดือนมีนาคม แม้ว่าตัวเลขนี้จะสอดคล้องกับฉันทามติของนักวิเคราะห์ แต่การชะลอตัวอย่างมากนี้บ่งชี้ถึงความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้บริโภค อัตราการออมส่วนบุคคลที่พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.9 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.6 ในเดือนมีนาคม ยืนยันแนวโน้มนี้และเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบหนึ่งปี
ในทางตรงกันข้าม รายได้ส่วนบุคคลแสดงการเติบโตที่แข็งแกร่งด้วยการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.3 อย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขึ้นของรายได้ขณะที่การใช้จ่ายชะลอตัวแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเลือกที่จะสะสมเงินออมมากกว่าการใช้จ่าย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต
ประธานาธิบดี Trump ได้ใช้ความกดดันต่อ Federal Reserve ให้ลดอัตราดอกเบี้ยหลักขณะที่เงินเฟ้อกำลังเคลื่อนตัวกลับสู่เป้าหมายร้อยละ 2 ของธนาคารกลาง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่นโยบายการเงินยังคงแสดงความระมัดระวังและรอดูผลกระทบระยะยาวจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดี การประชุมแบบตัวต่อตัวครั้งแรกระหว่าง Trump และประธาน Fed Jerome Powell ภายหลังการเริ่มต้นวาระที่สองของประธานาธิบดีได้เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี โดยแถลงการณ์ของ Fed ระบุว่าเส้นทางอนาคตของนโยบายการเงินไม่ได้ถูกหารือและเน้นย้ำว่าการตัดสินใจจะดำเนินการโดยปราศจากการพิจารณาทางการเมือง
ความท้าทายสำคัญที่ Federal Reserve เผชิญอยู่คือความเสี่ยงจากนโยบายภาษีนำเข้าที่อาจกระตุ้นให้เงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้นในอนาคต Trump ได้ประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้าร้อยละ 10 ทั่วไปสำหรับสินค้าที่นำเข้าสู่สหรัฐอเมริกาทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปรับสมดุลภูมิทัศน์การค้าที่สหรัฐอเมริกามีการขาดดุลการค้าสถิติใหม่ 140.5 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม นอกจากภาษีทั่วไปแล้ว Trump ยังได้เปิดตัวภาษีตอบโต้เฉพาะสินค้าบางประเภทในอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 10
นักเศรษฐศาสตร์จาก Pantheon Macroeconomics ได้เตือนว่า “การเพิ่มขึ้นที่มีขนาดใหญ่กว่าในเงินเฟ้อสินค้าหลักอาจเกิดขึ้นเมื่อต้นทุนจากภาษีใหม่ถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภคในที่สุด” และคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อ Core PCE จะแตะจุดสูงสุดในช่วงปลายปีนี้ระหว่างร้อยละ 3.0 ถึงร้อยละ 3.5 หากส่วนผสมปัจจุบันของภาษียังคงมีผลบังคับใช้ การคาดการณ์นี้สร้างความกังวลอย่างมากสำหรับเจ้าหน้าที่ Fed ที่อาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาเสถียรภาพด้านราคา
ในการประชุมนโยบายเมื่อต้นเดือนนี้ เจ้าหน้าที่ Federal Reserve ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นจากภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ความกังวลเกี่ยวกับตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น ราคาที่สูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อพร้อมเศรษฐกิจซบเซา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่สหรัฐอเมริกาไม่ได้พบเห็นมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980
สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางกฎหมายรอบนโยบายภาษีเพิ่มความซับซ้อนให้กับการประเมินผลกระทบ เมื่อเร็วๆ นี้ ศาลระหว่างประเทศได้ตัดสินยกเลิกภาษี โดยระบุว่า Trump ใช้อำนาจเกินขอบเขตและไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าความมั่นคงแห่งชาติถูกคุกคามจากประเด็นการค้า อย่างไรก็ตาม ในตอนล่าสุดของความซับซ้อนนี้ ศาลอุทธรณ์ได้อนุญาตให้ทำเนียบขาวดำเนินการขอผ่อนผันชั่วคราวจากคำสั่งของศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ
ตลาดการเงินแสดงปฏิกิริยาที่จำกัดต่อข้อมูลเงินเฟ้อ โดยสัญญาซื้อขายล่วงหนาของหุ้นยังคงชี้ในทิศทางลบและผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีการเคลื่อนไหวแบบผสม การขาดปฏิกิริยาที่รุนแรงนี้อาจสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของนักลงทุนเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินนโยบายในอนาคต และการรอคอยข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันแนวโน้มที่ปรากฏ
การเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังนโยบายการเงินจากข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกาได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินหลักในตลาดโลก โดยความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารกลางต่างๆ กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่กำหนดทิศทางของแต่ละคู่สกุลเงิน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงเปรียบเทียบระหว่างนโยบายการเงินของ Federal Reserve กับธนาคารกลางอื่นๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินแนวโน้มตลาดสกุลเงิน
คู่สกุลเงิน EUR/USD ซึ่งเป็นคู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลกและเป็นตัวแทนของกลุ่มสกุลเงินหลัก ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ระดับ 1.13557 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปรับตัวลดลงร้อยละ 0.17 ในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา แม้ว่าคู่สกุลเงินจะแสดงการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.01 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่การเคลื่อนไหวในระยะสั้นสะท้อนถึงแรงกดดันจากความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากข้อมูล PCE ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ความผันผวนของคู่สกุลเงินนี้อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 0.24 ซึ่งบ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเสถียรเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ
ตามรายงานจาก FXStreet คู่สกุลเงิน EUR/USD ยังคงอยู่ในท่าทีป้องกันและเคลื่อนไหวในช่วงต่ำของระดับ 1.1300s หลังจากการเปิดเผยข้อมูล PCE ของสหรัฐอเมริกาที่ต่ำกว่าคาดการณ์ การวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับคู่สกุลเงินนี้แสดงสัญญาณซื้อในปัจจุบัน โดยการจัดอันดับหนึ่งสัปดาห์แสดงสัญญาณซื้อแรงและการจัดอันดับหนึ่งเดือนยังคงแสดงสัญญาณซื้อ อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปในวันที่ห้ามิถุนายนจาก 2.25% เป็น 2.00% อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อสกุลเงินยูโร
คู่สกุลเงิน GBP/USD กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากแรงขายที่นำคู่สกุลเงินลงมาอยู่ในบริเวณ 1.3480 ถึง 1.3470 ในช่วงปลายสัปดาห์ การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการฟื้นตัวที่ยอมรับได้ของดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินผลกระทบจากข้อมูล PCE ที่ต่ำกว่าคาดหวัง ปัจจุบันคู่สกุลเงินซื้อขายที่ 1.34921 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยลดลงร้อยละ 0.30 ในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ความผันผวนของคู่สกุลเงินนี้อยู่ที่ร้อยละ 0.35 ซึ่งสูงกว่า EUR/USD เล็กน้อย
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่าดัชนี Relative Strength Index เคลื่อนที่ในแนวข้างเล็กน้อยใต้ระดับห้าสิบ และ GBP/USD ซื้อขายอยู่ใกล้กับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดาห้าสิบวันและยี่สิบวันในกราฟสี่ชั่วโมง ซึ่งสะท้อนการขาดโมเมนตัมในทิศทางที่ชัดเจน ด้านบน ระดับแรงต้าน 1.3500 ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางของช่องทางขาขึ้นและระดับจำนวนกลม อาจถูกมองว่าเป็นระดับแรงต้านแรกก่อนที่จะถึงระดับ 1.3600 การที่ธนาคารกลางอังกฤษลดอัตราดอกเบี้ยเป็น 4.25% เมื่อเดือนพฤษภาคมและความคาดหวังการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมสี่ครั้งภายในปี 2026 ส่งผลให้ปอนด์สเตอร์ลิงเผชิญกับแรงกดดันโครงสร้าง
คู่สกุลเงิน USD/JPY แสดงพลวัตที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เนื่องจากกำลังดึงดูดผู้ขายเป็นวันที่สามติดต่อกันและดูเหมือนจะมีความเสี่ยงท่ามกลางความคาดหวังนโยบายที่แตกต่างกันระหว่างธนาคารกลางญี่ปุ่นและ Federal Reserve ปัจจุบัน USD/JPY ซื้อขายที่ 143.542 เยน โดยลดลงร้อยละ 0.36 ในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา แม้ว่าคู่สกุลเงินจะแสดงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.72 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ลดลงร้อยละ 1.31 ในรายเดือนและลดลงร้อยละ 8.46 ในรอบปี
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับความเสี่ยงทางการเมือง ได้หนุนเงินเยนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยและสนับสนุนมุมมองเชิงลบสำหรับคู่สกุลเงินนี้ท่ามกลางดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าโดยทั่วไป ข้อมูลเงินเฟ้อโตเกียว CPI ที่ร้อนแรงกว่าคาดการณ์สำหรับเดือนพฤษภาคม โดยโตเกียว CPI ไม่รวมอาหารสดซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อหลักที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นติดตามอย่างใกล้ชิด เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วขึ้นที่ร้อยละ 3.6 เทียบกับการคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.5 และการอ่านก่อนหน้าที่ร้อยละ 3.4
ข้อมูลเงินเฟ้อโตเกียวที่ร้อนแรงนี้ปูทางสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมของธนาคารกลางญี่ปุ่นในปีนี้ นักวิเคราะห์จาก Nomura คาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 0.75 ภายในปีนี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อเกินควบคุม ความแตกต่างในทิศทางนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นและ Federal Reserve ที่อาจผ่อนคลายลงสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อ USD/JPY
การวิเคราะห์ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศเผยให้เห็นพลวัตที่ซับซ้อนซึ่งกำลังขับเคลื่อนตลาดสกุลเงิน ในขณะที่ Federal Reserve อาจเริ่มวงจรการลดดอกเบี้ยหากข้อมูลเงินเฟ้อยังคงอ่อนตัว ธนาคารกลางยุโรปก็เตรียมพร้อมที่จะดำเนินการลดดอกเบี้ยเช่นกัน ทำให้ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐอเมริกาและยูโรโซนอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ในทางตรงกันข้าม ความแตกต่างระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอาจลดลงหากธนาคารกลางญี่ปุ่นดำเนินการขึ้นดอกเบี้ยขณะที่ Federal Reserve ลดดอกเบี้ย
แนวโน้มระยะสั้นสำหรับตลาดสกุลเงินชี้ไปสู่ความผันผวนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรอบการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและการประชุมธนาคารกลาง การที่ตลาดกำลังประเมินใหม่เกี่ยวกับความคาดหวังนโยบายการเงินทำให้นักลงทุนต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวที่เกินร้อยละ 1.5 ในคู่สกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ EUR/USD และ USD/JPY ที่อาจมีการเคลื่อนไหวรุนแรงจากการประกาศผลการประชุมธนาคารกลางยุโรปและข้อมูลการจ้างงานสหรัฐอเมริกา
ในระยะกลาง ทิศทางของตลาดสกุลเงินจะขึ้นอยู่กับความสามารถของธนาคารกลางต่างๆ ในการสื่อสารและดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับข้อมูลเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง หากเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกายังคงชะลอตัวและข้อมูลตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอลง อาจเปิดช่องทางให้ Federal Reserve มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการลดดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงและสกุลเงินอื่นๆ ได้รับประโยชน์
ตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยและสินค้าโภคภัณฑ์ได้แสดงการเคลื่อนไหวที่หลากหลายและสะท้อนถึงความซับซ้อนของสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหลักได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและการค้า ขณะที่ตลาดพลังงานแสดงการฟื้นตัวภายหลังการตัดสินใจของศาลเกี่ยวกับมาตรการภาษีการค้า การวิเคราะห์พลวัตเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจทิศทางโดยรวมของตลาดการเงิน
ราคาทองคำได้กลับมาแสดงแรงหนุนเชิงบวกในช่วงต้นสัปดาห์ใหม่และกลับทิศทางจากการปรับลดส่วนใหญ่ในวันศุกร์ก่อนหน้า ปัจจุบันราคาทองคำซื้อขายที่ 3,320.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 31.80 ดอลลาร์หรือคิดเป็นร้อยละ 0.97 การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัจจัยสนับสนุนหลายประการที่เอื้อต่อความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ความเสี่ยงทางการเมือง และความกังวลเรื่องการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
สัญญาณการลดลงของเงินเฟ้อได้ยืนยันการเดิมพันของการลดดอกเบี้ยของ Federal Reserve และทำให้ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง ซึ่งให้การสนับสนุนเพิ่มเติมต่อ XAU/USD การที่ดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลงเมื่อความคาดหวังอัตราดอกเบี้ยในอนาคตปรับตัวลดลงขณะที่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ทำให้ต้นทุนการถือครองทองคำที่ไม่ให้ผลตอบแทนลดลง ตลาดทองคำยังได้รับประโยชน์จากการฟื้นคืนความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยและการขายดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เริ่มขึ้นใหม่
ข้อมูลราคาทองคำจากแหล่งต่างๆ แสดงความสอดคล้องในแนวโน้มการเคลื่อนไหว แม้ว่าจะมีความแตกต่างเล็กน้อยในราคาที่เกิดจากเวลาการอัปเดตและแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกัน ความแตกต่างเหล่านี้เป็นเรื่องปกติในตลาดที่มีการซื้อขายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและไม่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มโดยรวม การที่ราคาทองคำสามารถยืนหยัดเหนือระดับ 3,300 ดอลลาร์ได้อย่างมั่นคงแสดงให้เห็นถึงฐานการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน
ตลาดพลังงานแสดงการฟื้นตัวที่น่าสนใจหลังจากช่วงของความผันผวนและความไม่แน่นอน ราคาน้ำมันดิบได้แสดงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งในเซสชันล่าสุด โดยน้ำมันดิบ WTI ซื้อขายที่ 62.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.57 ดอลลาร์หรือคิดเป็นร้อยละ 2.58 ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ซื้อขายที่ 64.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์หรือคิดเป็นร้อยละ 2.23 การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้ให้คำตัดสินกลับทิศทางจากศาลระดับต่ำในการบล็อกภาษีการค้าของทรัมป์
แม้ว่าจะมีการฟื้นตัวในระยะสั้น แต่ราคาน้ำมันดิบยังคงเผชิญกับแรงกดดันโครงสร้างที่สำคัญ ราคาน้ำมันดิบ WTI ยังคงแสดงการลดลงร้อยละ 10.9 ในปีนี้และลดลงร้อยละ 14.15 ในรอบปี ในขณะที่น้ำมันดิบ Brent แสดงการลดลงร้อยละ 12.98 ในปีนี้และลดลงร้อยละ 17.64 ในรอบปี การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านการค้าโลกที่กลับมาสู่โต๊ะเจรจา ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความต้องการน้ำมันระดับโลก
ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดน้ำมันมีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน การที่มาตรการภาษีการค้าอาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกทำให้นักวิเคราะห์ต้องปรับลดการคาดการณ์ความต้องการน้ำมันในระยะข้างหน้า ขณะเดียวกัน การตัดสินใจของ OPEC+ เกี่ยวกับระดับการผลิตยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดพลวัตด้านอุปทาน ข้อมูลจาก Bloomberg แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่างๆ ก็แสดงการเพิ่มขึ้น โดยน้ำมันเบนซิน RBOB เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.38 และน้ำมันเครื่องทำความร้อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.53 ส่วนก๊าซธรรมชาติก็แสดงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.06 ที่ 3.52 ดอลลาร์ต่อ MMBtu
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดทองคำและตลาดพลังงานกับสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจโดยรวมแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในขณะที่ทองคำได้รับประโยชน์จากความไม่แน่นอนและความคาดหวังการลดดอกเบี้ย ตลาดน้ำมันกลับต้องต่อสู้กับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ การที่ทั้งสองตลาดแสดงการเคลื่อนไหวในทิศทางบวกในระยะสั้นบ่งชี้ถึงการที่นักลงทุนกำลังปรับตำแหน่งเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น
การติดตามความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ปลอดภัยและสินค้าโภคภัณฑ์จะยังคงมีความสำคัญในการประเมินความเชื่อมั่นโดยรวมของตลาด การที่ทองคำสามารถรักษาระดับราคาสูงได้และน้ำมันแสดงสัญญาณการฟื้นตัวแสดงให้เห็นว่าตลาดยังไม่ได้อยู่ในภาวะตื่นตระหนกแต่ยังคงมีความระมัดระวัง การพัฒนาการในอนาคตของปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับการประเมินทิศทางโดยรวมของตลาดการเงินและการปรับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาได้แสดงการเคลื่อนไหวที่หลากหลายและสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของนักลงทุนต่อทิศทางนโยบายการเงินและผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค การวิเคราะห์ดัชนีหุ้นหลักและตัวชี้วัดความเสี่ยงในช่วงนี้เผยให้เห็นถึงสภาพจิตใจของตลาดที่ผสมผสานระหว่างความหวังและความระมัดระวัง โดยนักลงทุนพยายามชั่งน้ำหนักระหว่างโอกาสที่อาจเกิดขึ้นจากการลดดอกเบี้ยกับความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต
ดัชนี Standard & Poor’s 500 ซึ่งถือเป็นตัวแทนที่สำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและตัวชี้วัดสุขภาพของบริษัทขนาดใหญ่ ปิดการซื้อขายที่ระดับ 5,911.68 จุด โดยปรับตัวลดลงเพียงร้อยละ 0.01 ในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยนี้สะท้อนถึงการที่นักลงทุนยังคงประเมินผลกระทบจากข้อมูลเงินเฟ้อและความหมายต่อนโยบายการเงิน แม้ว่าจะมีการปรับลดเล็กน้อยในรายวัน แต่ดัชนียังคงแสดงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในมุมมองระยะกว้างขึ้น โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.24 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.50 ในรายเดือน และการเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.39 ในรอบปี
ดัชนี Dow Jones Industrial Average แสดงผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดัชนีอื่น โดยปิดที่ระดับ 42,270.08 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.13 ในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของดัชนี Dow Jones สะท้อนถึงการที่หุ้นบริษัทขนาดใหญ่และมีการดำเนินงานที่มั่นคงยังคงได้รับความนิยมจากนักลงทุนในช่วงของความไม่แน่นอน ดัชนีแสดงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.79 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.91 ในรายเดือน และการเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.17 ในรอบปี บริษัทชั้นนำในดัชนี Dow ได้แก่ Microsoft, NVIDIA และ Apple ซึ่งมีมูลค่าตลาดที่ 3.42 ล้านล้านดอลลาร์ 3.30 ล้านล้านดอลลาร์ และ 3.00 ล้านล้านดอลลาร์ตามลำดับ
ดัชนี NASDAQ Composite แสดงการปรับลดมากที่สุดในกลุ่มดัชนีหลัก โดยปิดที่ระดับ 19,113.77 จุด ลดลง 62.11 จุดหรือคิดเป็นร้อยละ 0.32 การปรับตัวลงของ NASDAQ สะท้อนถึงแรงกดดันเฉพาะที่ส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยีและการเติบโต ซึ่งมักจะมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมากกว่าหุ้นในภาคอื่น ปริมาณการซื้อขายสูงที่ 2,097,215,825 หุ้น สะท้อนถึงกิจกรรมการซื้อขายที่มีความหนาแน่นและการที่นักลงทุนมีการปรับตำแหน่งอย่างกว้างขวาง ดัชนีแสดงการลดลงร้อยละ 1.02 ในปีนี้ แต่ยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 ในรอบปี
ดัชนี CBOE Volatility Index หรือที่รู้จักกันในชื่อ VIX ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความกลัวของตลาดที่สำคัญ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 18.57 โดยลดลง 0.61 จุดหรือคิดเป็นร้อยละ 3.18 ในวันซื้อขายล่าสุด การลดลงของระดับ VIX บ่งชี้ถึงการลดลงของความไม่แน่นอนและความกังวลในตลาด ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเสถียรของดัชนีหุ้นหลัก ดัชนีมีช่วงการซื้อขายในรอบวันระหว่าง 18.57 ถึง 20.55 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการผันผวนที่จำกัดในระหว่างเซสชันการซื้อขาย
การประเมินระดับ VIX ในบริบทของช่วงเวลาที่ยาวขึ้นเผยให้เห็นภาพที่น่าสนใจเกี่ยวกับสภาพจิตใจของตลาด ในปีนี้ VIX เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.03 และในรอบปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.33 ซึ่งสะท้อนถึงการที่ความผันผวนยังคงสูงกว่าระดับปกติแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นวิกฤต ระดับ VIX ปัจจุบันอยู่ในช่วงปานกลางเมื่อเทียบกับช่วงสูงสุดห้าสิบสองสัปดาห์ที่ 65.73 ในเดือนสิงหาคม 2024 และระดับต่ำสุดที่ 10.62 ในเดือนกรกฎาคม 2024
การที่ VIX อยู่ในระดับต่ำกว่ายี่สิบโดยทั่วไปแสดงถึงสภาวะตลาดที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเสถียรของดัชนีหุ้นหลัก อย่างไรก็ตาม การที่ระดับไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ต่ำมากแสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมีความระมัดระวังและเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายนอกต่างๆ
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นและตัวชี้วัดความเสี่ยงเผยให้เห็นถึงสภาพตลาดที่อยู่ในภาวะรอคอย นักลงทุนดูเหมือนจะมีความมั่นใจพอสมควรในแนวโน้มการเติบโตของบริษัทระยะยาว แต่ยังคงระมัดระวังต่อความไม่แน่นอนระยะสั้นจากปัจจัยนโยบายและเศรษฐกิจมหภาค การที่ดัชนีหุ้นสามารถรักษาระดับใกล้เคียงกับจุดสูงสุดได้ในขณะที่ VIX อยู่ในระดับปานกลางแสดงให้เห็นถึงความสมดุลระหว่างความหวังและความกังวล
สภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยที่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนติดตามอย่างใกล้ชิด การที่ข้อมูลเงินเฟ้อต่ำกว่าคาดการณ์อาจเปิดช่องทางให้ Federal Reserve มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการปรับนโยบายการเงิน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องชั่งน้ำหนักผลกระทบนี้กับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการค้าและการเมืองที่อาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สถานการณ์ตลาดการเงินปัจจุบันนำเสนอภาพรวมที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายในเวลาเดียวกัน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่ครอบคลุมทุกมิติของตลาดการเงินเผยให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะการปรับตัวลงของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกาสู่ระดับร้อยละ 2.1 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของ Federal Reserve และสร้างความคาดหวังใหม่เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อตลาดสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังส่งคลื่นกระเพื่อมไปยังตลาดการเงินทั่วโลกและสร้างพลวัตใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคสหรัฐอเมริกาที่แสดงความระมัดระวังเพิ่มขึ้นผ่านการเพิ่มขึ้นของอัตราการออมสู่ระดับร้อยละ 4.9 สะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่ลึกซึ้งกว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรากฏ ขณะเดียวกัน นโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสร้างความเสี่ยงที่สำคัญต่อเสถียรภาพด้านราคาในอนาคต โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อหลักอาจพุ่งสู่ระดับร้อยละ 3.0 ถึงร้อยละ 3.5 ปลายปีนี้หากมาตรการดังกล่าวยังคงมีผลบังคับใช้
ตลาดสกุลเงินได้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการปรับตัวภายใต้สภาพแวดล้อมนโยบายการเงินที่เปลี่ยนแปลง คู่สกุลเงิน EUR/USD และ GBP/USD ประสบแรงกดดันจากความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ว่าข้อมูลเงินเฟ้อจะสนับสนุนความคาดหวังการลดดอกเบี้ย ในขณะที่ USD/JPY แสดงความอ่อนแอเนื่องจากความคาดหวังที่แตกต่างกันระหว่างนโยบายของ Federal Reserve และธนาคารกลางญี่ปุ่น ข้อมูลเงินเฟ้อโตเกียวที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.6 ได้สร้างแรงกดดันให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องพิจารณาการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งอาจส่งผลให้ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศลดลงและกระทบต่อทิศทางของ USD/JPY
ตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยและสินค้าโภคภัณฑ์เผยให้เห็นถึงความหลากหลายของการตอบสนองต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง ราคาทองคำที่รักษาระดับเหนือ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน ทั้งความคาดหวังการลดดอกเบี้ยที่ทำให้ต้นทุนการถือครองลดลง ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน และความกังวลเรื่องการคลังของสหรัฐอเมริกา ตลาดพลังงานแสดงการฟื้นตัวชั่วคราวหลังการตัดสินใจของศาลเกี่ยวกับมาตรการภาษีการค้า แต่ยังคงเผชิญกับแรงกดดันโครงสร้างจากความกังวลเกี่ยวกับความต้องการโลกที่อาจลดลง
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและตัวชี้วัดความเสี่ยงสะท้อนถึงสภาพจิตใจของนักลงทุนที่ผสมผสานระหว่างความหวังและความระมัดระวัง การที่ดัชนี S&P 500 สามารถรักษาระดับใกล้เคียงกับจุดสูงสุดได้ขณะที่ดัชนี VIX อยู่ในระดับปานกลางที่ 18.57 แสดงให้เห็นว่าตลาดยังไม่ได้อยู่ในภาวะตื่นตระหนกแต่ยังคงมีความระมัดระวังต่อความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น การที่ดัชนี NASDAQ แสดงความอ่อนแอมากกว่าดัชนีอื่นสะท้อนถึงความกังวลเฉพาะเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยต่อหุ้นเทคโนโลยีและการเติบโต
สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ที่ปฏิบัติงานในตลาด Contract for Difference การทำความเข้าใจและการเตรียมความพร้อมรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ระดับราคาสำคัญที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิดรวมถึง EUR/USD ในกรอบ 1.1200 ถึง 1.1400 GBP/USD รอบระดับ 1.3450 ถึง 1.3600 และ USD/JPY ในช่วง 140.00 ถึง 144.00 สำหรับตลาดทองคำ ระดับ 3,250 ดอลลาร์เป็นแนวรับสำคัญ ขณะที่การทะลุ 3,350 ดอลลาร์อาจเปิดทางสู่ระดับใหม่ที่สูงขึ้น
การบริหารความเสี่ยงในสภาพแวดล้อมปัจจุบันต้องการการปรับปรุงแนวทางและเครื่องมือที่ใช้ การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มีความสำคัญเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการรวมสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นเข้าไปในพอร์ตโฟลิโอ การใช้เครื่องมือ hedging สำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสำหรับตำแหน่งที่มีขนาดใหญ่หรือระยะเวลาการถือครองที่ยาว
การติดตามข้อมูลเศรษฐกิจที่มีผลกระทบสูงจะยังคงเป็นกุญแจสำคัญในการประเมินทิศทางตลาด ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐอเมริกา การประชุมธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่น รวมถึงตัวชี้วัดเงินเฟ้อพื้นฐานจากประเทศหลักล้วนมีความสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของตลาด การประเมิน Market Consensus เทียบกับผลลัพธ์จริงจะช่วยในการคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวและการปรับตำแหน่งที่เหมาะสม ในระยะข้างหน้า ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศจะยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าต่อเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจไม่ปรากฏชัดเจนในทันที แต่จะค่อยๆ แสดงออกมาในข้อมูลเศรษฐกิจของไตรมาสถัดไป การเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่หลากหลายและการรักษาความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง