หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์ที่ 12-18 พฤษภาคม 2025 เป็นช่วงเวลาสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ด้วยกำหนดการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจชั้นนำหลายรายการที่อาจเปลี่ยนทิศทางตลาดและการตัดสินใจของธนาคารกลาง โดยเฉพาะการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) ในวันอังคารที่ 13 พฤษภาคม ที่จะเป็นปัจจัยชี้นำว่า Federal Reserve จะเริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายนหรือไม่ นอกจากนี้ ตัวเลข GDP ของญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรที่จะประกาศในวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม จะให้ภาพชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมเงินเฟ้อสูง (Stagflation)
ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดการเงินโลกยังคงเผชิญความท้าทายจากความกังวลเรื่อง Stagflation ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25%-4.50% และส่งสัญญาณเพิ่มความระมัดระวัง ดัชนีดอลลาร์อยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญแม้จะมีสัญญาณของการฟื้นตัวในระยะสั้น ขณะที่ราคาทองคำและน้ำมันยังคงเผชิญความผันผวนสูง การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจหลักในสัปดาห์นี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดการเงินในช่วงที่เหลือของไตรมาสที่สอง
นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับหลายปัจจัย รวมถึงท่าทีของธนาคารกลางหลักผ่านการปราศรัยของสมาชิก FOMC และ MPC ความแตกต่างในนโยบายการเงินระหว่าง Fed ที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยกับ ECB ที่เริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว รวมถึงผลกระทบของนโยบายการค้าและการเมืองระหว่างประเทศที่อาจส่งผลต่อตลาดการเงินโลก บทวิเคราะห์นี้จะนำเสนอภาพรวมของเหตุการณ์สำคัญที่นักลงทุนควรติดตาม พร้อมกับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและแนวทางการปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง
สัปดาห์นี้มีเหตุการณ์เศรษฐกิจที่มีผลกระทบสูงต่อตลาดการเงินหลายรายการ โดยเฉพาะการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และข้อมูล GDP ของหลายประเทศสำคัญ นักลงทุนควรเตรียมรับมือกับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นระหว่างและหลังการประกาศข้อมูลเหล่านี้
ในสัปดาห์นี้ เหตุการณ์ที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือการประกาศตัวเลข CPI ของสหรัฐฯ ในวันอังคาร ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของ Fed ตามด้วยข้อมูลการค้าปลีกและการผลิตในวันพฤหัสบดี และข้อมูล GDP ของญี่ปุ่นในวันศุกร์ นอกจากนี้ การปราศรัยของประธาน Fed Jerome Powell ในวันพฤหัสบดีจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดในระยะสั้น
การประกาศตัวเลข CPI ของสหรัฐฯ ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2025 ถือเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญที่สุดของสัปดาห์นี้ เนื่องจากจะเป็นข้อมูลสำคัญที่ Fed ใช้ประกอบการตัดสินใจในการประชุมเดือนมิถุนายน คาดการณ์ว่า CPI เดือนเมษายนจะลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งหากเป็นไปตามคาดจะเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบหลายเดือน ส่วน Core CPI ที่ไม่รวมอาหารและพลังงานคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% เทียบกับ 0.3% ในเดือนมีนาคม
ในมุมมองเชิงลึก การลดลงของ CPI m/m อาจเป็นสัญญาณบวกที่แสดงว่าแรงกดดันเงินเฟ้อเริ่มคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากแบบจำลองเศรษฐกิจล่าสุดชี้ว่าดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE Price Index) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 3.6% ในไตรมาสแรก เทียบกับ 2.4% ในไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนว่าเงินเฟ้อยังไม่ได้กลับเข้าสู่เป้าหมาย 2% อย่างมั่นคง
การตอบสนองของตลาดต่อการประกาศ CPI จะขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างตัวเลขจริงและการคาดการณ์:
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเงินเฟ้อและราคาทองคำควรได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากทองคำมักจะตอบสนองเชิงบวกต่อความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในระยะยาว แต่ในระยะสั้นอาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากการคาดการณ์ว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงนานขึ้น
ข้อมูล GDP ไตรมาสแรกของญี่ปุ่นที่จะประกาศในวันที่ 16 พฤษภาคม มีความสำคัญเป็นพิเศษในบริบทของการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัว 0.7% q/q หลังจากหดตัว 0.1% ในไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในปฏิทินเศรษฐกิจที่แสดงในรูปภาพ เห็นได้ว่าข้อมูลเบื้องต้นแสดงการหดตัวที่ 0.1% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์มาก
หากข้อมูล GDP ญี่ปุ่นออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ BoJ อาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่งผลให้เยนอ่อนค่าลงต่อไป โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ นักวิเคราะห์ชี้ว่าคู่เงิน USD/JPY มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นต่อไป โดยมีแนวต้านที่ 179.00 หากข้อมูล GDP ยืนยันการชะลอตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ข้อมูลอื่นๆ ของญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้ เช่น PPI y/y และ Bank Lending y/y จะช่วยให้เห็นภาพรวมของแรงกดดันราคาและสภาพคล่องในระบบการเงิน ซึ่งมีผลต่อการกำหนดนโยบายของ BoJ การผสมผสานของการอ่อนค่าของเยนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจนำไปสู่ความผันผวนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเงินทุนในภูมิภาคเอเชีย
ในวันที่ 15 พฤษภาคม สหราชอาณาจักรจะประกาศข้อมูล GDP รายไตรมาสและรายเดือน ซึ่งคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.1% q/q และ 0.5% m/m ตามลำดับ ข้อมูลนี้มีความสำคัญต่อการตัดสินใจนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในบริบทของเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย
จากข้อมูลล่าสุด อัตราว่างงานของสหราชอาณาจักรยังคงอยู่ที่ 4.5% และคาดว่าจะยังคงระดับนี้ ในขณะที่ดัชนีค่าจ้างเฉลี่ย (Average Earnings Index) โตขึ้น 5.2% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ สะท้อนถึงตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง
การปราศรัยของสมาชิก MPC หลายท่านในสัปดาห์นี้ รวมถึง Sarah Lombardelli, Sharon Greene และผู้ว่าการ BoE Andrew Bailey จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะหลังจากที่ BoE คงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด
ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรและยูโรโซนมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นนักลงทุนควรติดตามข้อมูล GDP ของสหราชอาณาจักรควบคู่ไปกับข้อมูลเศรษฐกิจของยูโรโซน เพื่อประเมินแนวโน้มของคู่เงิน EUR/GBP และโอกาสการลงทุนข้ามตลาด
ในวันที่ 15 พฤษภาคม สหรัฐฯ จะประกาศข้อมูลยอดค้าปลีก (Retail Sales) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความแข็งแกร่งของอุปสงค์ภายในประเทศและแรงกดดันเงินเฟ้อจากต้นทาง
คาดการณ์ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 1.4% m/m ซึ่งเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งหลังจากทรงตัวในเดือนก่อนหน้า การเติบโตนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงแข็งแกร่งแม้จะเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยสูง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าการใช้จ่ายที่แข็งแกร่งอาจทำให้ Fed ระมัดระวังในการลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มเติม
ในส่วนของ PPI คาดการณ์ว่าจะลดลง 0.4% m/m ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแรงกดดันต้นทุนเริ่มคลี่คลาย หากข้อมูลเป็นไปตามคาดจะเป็นข่าวดีสำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะกลาง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของ PPI มักจะส่งต่อไปยัง CPI ในที่สุด
นอกจากนี้ ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) และอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization Rate) จะให้มุมมองเกี่ยวกับภาคการผลิตของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้น 0.2% m/m หลังจากหดตัวในเดือนก่อนหน้า ซึ่งหากเป็นไปตามคาดจะเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวในภาคการผลิต
การผสมผสานของข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนประเมินความเสี่ยงของภาวะ Stagflation ได้ดีขึ้น โดยหากการบริโภคยังแข็งแกร่งในขณะที่ต้นทุนการผลิตลดลง จะเป็นสัญญาณบวกที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจหลีกเลี่ยงการชะลอตัวรุนแรงได้
การปราศรัยของประธาน Fed Jerome Powell ในวันที่ 15 พฤษภาคม มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาดการเงิน เนื่องจากอาจให้สัญญาณเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในการประชุม FOMC เดือนมิถุนายน ซึ่งตลาดกำลังจับตาว่า Fed จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่
จากข้อมูลในเอกสาร Ahead พบว่าในการประชุมวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 Fed มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25%-4.50% โดยประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์ แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมเงินเฟ้อสูง (Stagflation) และระบุว่า “ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น” และ “ความเสี่ยงของการว่างงานที่สูงขึ้นและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นได้เพิ่มขึ้น”
นักลงทุนควรให้ความสนใจกับประเด็นต่อไปนี้ในการปราศรัยของพาวเวลล์:
นอกจากพาวเวลล์แล้ว การปราศรัยของสมาชิก FOMC ท่านอื่นๆ เช่น Michael Barr, Neel Kashkari และ Christopher Waller ในสัปดาห์นี้ก็มีความสำคัญ เนื่องจากจะช่วยให้เห็นความหลากหลายของความคิดเห็นภายใน Fed เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน
ออสเตรเลียจะประกาศข้อมูลตลาดแรงงานในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 32,200 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานคงที่ที่ 4.1% ข้อมูลนี้มีความสำคัญต่อการตัดสินใจนโยบายของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) โดยเฉพาะในบริบทของดัชนีค่าจ้าง (Wage Price Index) ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.7% q/q ในไตรมาสล่าสุด
RBA ได้ส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่ากำลังติดตามตลาดแรงงานอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะกลาง หากข้อมูลตลาดแรงงานและค่าจ้างแข็งแกร่งกว่าคาด อาจทำให้ RBA มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงนานขึ้น
ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างออสเตรเลียกับจีนเป็นอีกปัจจัยที่ควรติดตาม เนื่องจากส่งผลต่อการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ของออสเตรเลียและมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย ข้อมูลเศรษฐกิจจีนล่าสุดแสดงสัญญาณของการชะลอตัว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อออสเตรเลียในฐานะผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาด (Intermarket Relationships) เป็นสิ่งสำคัญในการประเมินแนวโน้มและความเสี่ยงในระบบการเงินโลก ในช่วงที่ผ่านมา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์หลัก:
สัปดาห์ที่ 12-18 พฤษภาคม 2025 เป็นช่วงสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางตลาดการเงินในระยะกลาง เนื่องจากมีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ ข้อมูล GDP ของญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักร และการปราศรัยของประธาน Fed ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก และกระทบต่อการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ทั่วโลก
ในภาพรวม ตลาดการเงินยังคงเผชิญความท้าทายจากความกังวลเรื่อง Stagflation ซึ่งเป็นภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมกับเงินเฟ้อสูง นโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางอื่นๆ ได้ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ซึ่งช่วยชะลอเงินเฟ้อแต่ก็อาจกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ นักลงทุนจึงควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน และปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูง
1. ตลาด Forex
2. ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
3. ตลาดดัชนีหุ้น
4. คริปโตเคอเรนซี
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น:
สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว:
การบริหารความเสี่ยงในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง:
นอกเหนือจากเหตุการณ์เศรษฐกิจที่กล่าวมาแล้ว นักลงทุนควรติดตามประเด็นต่อไปนี้อย่างใกล้ชิด:
สัปดาห์ที่ 12-18 พฤษภาคม 2025 เป็นช่วงสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางตลาดการเงินในระยะกลาง โดยปัจจัยหลักที่ต้องติดตามคือการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ข้อมูล GDP ของญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักร รวมถึงการปราศรัยของประธาน Fed ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินและความกังวลเรื่อง Stagflation ยังคงเป็นความเสี่ยงหลักที่นักลงทุนต้องพิจารณา
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จในสภาวะตลาดที่ท้าทายนี้ กลยุทธ์สำคัญคือการติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด การบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด และการปรับตัวอย่างรวดเร็วเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะตลาด การกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันต่ำและการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจะช่วยให้พอร์ตโฟลิโอมีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น FXGT จะติดตามและวิเคราะห์พัฒนาการในตลาดการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้รับข้อมูลและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการตัดสินใจลงทุน ในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้ การเข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์ที่แม่นยำและทันเวลาคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรด