หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์นี้ (14-18 เมษายน 2568) นักลงทุนในตลาด CFD ทั่วโลกกำลังรอคอยเหตุการณ์สำคัญหลายประการที่อาจก่อให้เกิดความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญในตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของจีนและการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงดำเนินต่อไป
ความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนและประเทศอื่นๆ ยังคงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาด โดยเฉพาะหลังจีนประกาศมาตรการตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีนำเข้าน้ำมันดิบและ LNG จากสหรัฐฯ 15% พร้อมทั้งขู่ว่าจะลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และจำกัดการส่งออกแร่หายาก สถานการณ์นี้สร้างความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทานโลกและส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ในหลายภาคส่วน
นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อจากหลายประเทศ รวมถึงสหราชอาณาจักร แคนาดา และนิวซีแลนด์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต ขณะเดียวกัน การพูดของสมาชิก FOMC หลายท่านในสัปดาห์นี้อาจให้มุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินของสหรัฐฯ
บทวิเคราะห์นี้จะนำเสนอภาพรวมของเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อตลาด CFD ประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่สกุลเงิน ดัชนีหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และคริปโตเคอร์เรนซี เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนและโอกาสทางการลงทุนที่อาจเกิดขึ้น
05:30 น. – ดัชนีภาคบริการของนิวซีแลนด์ (BusinessNZ Services Index)
05:45 น. – ยอดการเดินทางเข้าประเทศนิวซีแลนด์ (m/m)
ช่วงเช้า – ดุลการค้าของจีน (CNY)
ช่วงเช้า – ดุลการค้าของจีนในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ (USD)
11:30 น. – การผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ฉบับปรับปรุง (m/m)
13:30 น. – ดัชนีราคาผู้ผลิตของสวิตเซอร์แลนด์ (m/m)
ตลอดวัน – การประชุม ECOFIN ของสหภาพยุโรป
ช่วงเย็น – สินเชื่อใหม่ของจีน
ช่วงเย็น – ปริมาณเงินในระบบ M2 ของจีน (y/y)
19:30 น. – ยอดขายส่งของแคนาดา (m/m)
23:00 น. – สมาชิก FOMC Barkin กล่าวสุนทรพจน์
00:00 น. – สมาชิก FOMC Waller กล่าวสุนทรพจน์
05:00 น. – สมาชิก FOMC Harker กล่าวสุนทรพจน์
05:45 น. – ดัชนีราคาอาหารของนิวซีแลนด์ (m/m)
06:01 น. – ดัชนีค้าปลีกของสหราชอาณาจักร โดย BRC (y/y)
06:40 น. – สมาชิก FOMC Bostic กล่าวสุนทรพจน์
08:30 น. – รายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA)
13:00 น. – ดัชนีราคาผู้ผลิตของเยอรมนี (m/m)
13:00 น. – ข้อมูลการว่างงานในสหราชอาณาจักร
13:45 น. – ดัชนีราคาผู้บริโภคฉบับสมบูรณ์ของฝรั่งเศส (m/m)
16:00 น. – ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ZEW ของเยอรมนี
16:00 น. – การผลิตภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซน (m/m)
16:00 น. – ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ZEW ของยูโรโซน
19:15 น. – จำนวนการเริ่มสร้างบ้านในแคนาดา
19:30 น. – ดัชนีราคาผู้บริโภคของแคนาดา
19:30 น. – ยอดขายภาคการผลิตของแคนาดา (m/m)
19:30 น. – ดัชนีการผลิตของเอ็มไพร์สเตท สหรัฐฯ
19:30 น. – ดัชนีราคานำเข้าของสหรัฐฯ (m/m)
20:30 น. – ดัชนีชี้นำของ CB ในสหราชอาณาจักร (m/m)
03:30 น. – รายงานสถิติรายสัปดาห์จาก API สหรัฐฯ
06:01 น. – ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Rightmove ของสหราชอาณาจักร (m/m)
06:10 น. – สมาชิก FOMC Cook กล่าวสุนทรพจน์
06:50 น. – ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานของญี่ปุ่น (m/m)
07:30 น. – ดัชนีชี้นำของออสเตรเลีย (m/m)
08:30 น. – ราคาบ้านใหม่ในจีน (m/m)
09:00 น. – ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน
13:00 น. – ข้อมูลเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักร
15:00 น. – บัญชีเดินสะพัดของยูโรโซน
15:30 น. – ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยของสหราชอาณาจักร (y/y)
16:00 น. – ข้อมูลเงินเฟ้อของยูโรโซน ฉบับสมบูรณ์
19:30 น. – ข้อมูลการค้าปลีกของสหรัฐฯ
20:15 น. – อัตราการใช้กำลังการผลิตของสหรัฐฯ
20:15 น. – การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ (m/m)
20:45 น. – รายงานนโยบายการเงินของธนาคารกลางแคนาดา (BOC)
20:45 น. – แถลงการณ์อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางแคนาดา
21:00 น. – สต็อกสินค้าธุรกิจของสหรัฐฯ (m/m)
21:00 น. – ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย NAHB ของสหรัฐฯ
21:30 น. – ดัชนีชี้นำของออสเตรเลีย (m/m)
21:30 น. – การแถลงข่าวของธนาคารกลางแคนาดา
21:30 น. – รายงานสต็อกน้ำมันดิบในสหรัฐฯ
23:00 น. – สมาชิก FOMC Hammack กล่าวสุนทรพจน์
00:30 น. – ประธานเฟด Powell กล่าวสุนทรพจน์
03:00 น. – ยอดซื้อพันธบัตรระยะยาวของนักลงทุนต่างชาติในสหรัฐฯ (TIC)
05:45 น. – ดัชนีราคาผู้บริโภคของนิวซีแลนด์ (q/q)
06:00 น. – สมาชิก FOMC Schmid กล่าวสุนทรพจน์
06:50 น. – ดุลการค้าของญี่ปุ่น
08:30 น. – ข้อมูลการจ้างงานของออสเตรเลีย
13:00 น. – ดุลการค้าของสวิตเซอร์แลนด์
13:00 น. – ดัชนีราคาผู้ผลิตของเยอรมนี (m/m)
15:30 น. – รายงานสำรวจเงื่อนไขสินเชื่อของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)
19:15 น. – การตัดสินอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
19:30 น. – จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐฯ
19:30 น. – ดัชนีการผลิตของเฟดฟิลาเดลเฟีย
19:30 น. – ใบอนุญาตก่อสร้างในสหรัฐฯ
19:30 น. – การเริ่มสร้างบ้านในสหรัฐฯ
19:45 น. – การแถลงข่าวของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
21:30 น. – รายงานสต็อกก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ
22:45 น. – สมาชิก FOMC Barr กล่าวสุนทรพจน์
วันหยุดธนาคารในหลายประเทศ: นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, สวิตเซอร์แลนด์, เยอรมนี, สหราชอาณาจักร, แคนาดา
06:30 น. – ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของญี่ปุ่น (y/y)
15:00 น. – ดุลการค้าของอิตาลี
22:00 น. – สมาชิก FOMC Daly กล่าวสุนทรพจน์
การเปิดเผยข้อมูล GDP ไตรมาสแรกของจีนในวันพุธที่ 16 เมษายน เวลา 09:00 น. (GMT+7) เป็นเหตุการณ์ที่ตลาดการเงินทั่วโลกจับตามากที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขการเติบโต 5.2% ในไตรมาสที่ 4/2567 เล็กน้อย
ความสำคัญของข้อมูลชุดนี้เพิ่มสูงขึ้นในบริบทของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรง การที่สหรัฐฯ ขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้นถึง 40% ภายใต้นโยบาย “Country-Level Reciprocity” ได้สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจจีนที่กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้านอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ หนี้ท้องถิ่นที่พุ่งสูง และการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้า
นอกจากตัวเลข GDP แล้ว การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ของจีนในวันเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการผลิตภาคอุตสาหกรรม (คาดการณ์ที่ 5.9% y/y) และยอดค้าปลีก (คาดการณ์ที่ 4.0% y/y) จะให้ภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะความสมดุลระหว่างภาคการผลิตและการบริโภค
หากตัวเลขเหล่านี้ออกมาต่ำกว่าคาด อาจนำไปสู่การอ่อนค่าของสกุลเงินหยวน (CNH) และการปรับตัวลงของดัชนีหุ้นจีน ตลอดจนส่งผลกระทบเชิงลบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พึ่งพาความต้องการจากจีน เช่น ทองแดง เหล็ก และน้ำมันดิบ ในทางกลับกัน หากข้อมูลออกมาดีกว่าคาด อาจช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน เวลา 19:15 น. (GMT+7) มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่า ECB อาจตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.40% เป็น 2.65% ซึ่งจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2567
ปัจจัยสนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB มาจากการชะลอตัวของเงินเฟ้อในยูโรโซน โดยเฉพาะในเยอรมนีซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) อยู่ที่ 2.4% ซึ่งลดลงต่อเนื่องและเข้าใกล้เป้าหมายของธนาคารกลางที่ 2% มากขึ้น ขณะที่ภาคการผลิตในยูโรโซนยังคงอ่อนแอ สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตที่ต่ำกว่าระดับ 50 มาเป็นเวลานาน
นอกจากการตัดสินใจด้านอัตราดอกเบี้ยแล้ว ตลาดยังจับตาถ้อยแถลงของประธาน ECB คริสติน ลาการ์ด ในการแถลงข่าวเวลา 19:45 น. อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต (Forward Guidance) และประเมินความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจยูโรโซนจากความตึงเครียดทางการค้าโลก ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน
การลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB อาจส่งผลให้เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงในระยะสั้น โดยเฉพาะหากธนาคารกลางส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้ ในทางกลับกัน หากถ้อยแถลงมีน้ำเสียงระมัดระวังและชี้ว่าการลดดอกเบี้ยในอนาคตจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจ อาจช่วยจำกัดการอ่อนค่าของเงินยูโร
ข้อมูลการค้าปลีกของสหรัฐฯ ประจำเดือนมีนาคมที่จะประกาศในวันพุธที่ 16 เมษายน เวลา 19:30 น. (GMT+7) มีความสำคัญต่อการประเมินสุขภาพของการบริโภคภาคเอกชนซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลาดคาดการณ์ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งชะลอตัวลงจากการเพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่ยอดค้าปลีกพื้นฐาน (ไม่รวมยานยนต์) คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% เทียบกับ 0.4% ในเดือนก่อน
การชะลอตัวของยอดค้าปลีกเป็นที่คาดการณ์หลังจากการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนก่อนหน้า และสอดคล้องกับสัญญาณความระมัดระวังในการใช้จ่ายของผู้บริโภคท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ อาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่าที่คาด
นอกจากนี้ ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่จะประกาศในวันเดียวกันเวลา 20:15 น. จะให้ภาพเกี่ยวกับสถานะของภาคการผลิตสหรัฐฯ โดยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.7% หลังจากลดลง 0.2% ในเดือนกุมภาพันธ์ การฟื้นตัวของภาคการผลิตจะเป็นสัญญาณบวกสำหรับเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะหลังจากที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตล่าสุดอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการหดตัว
ข้อมูลเศรษฐกิจทั้งสองรายการนี้จะมีผลต่อการคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หากตัวเลขออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด อาจลดความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่อาจกดดันตลาดหุ้นและพันธบัตร
การเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรในวันพุธที่ 16 เมษายน เวลา 13:00 น. (GMT+7) จะเป็นข้อมูลสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ตลาดคาดการณ์ว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมีนาคมจะเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสูงกว่าตัวเลข 2.7% ในเดือนกุมภาพันธ์เล็กน้อย ขณะที่ CPI พื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ 3.5% เพิ่มขึ้นจาก 3.4% ในเดือนก่อน
การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้ออาจทำให้ธนาคารกลางอังกฤษระมัดระวังมากขึ้นในการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 5.25% อัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ความหวังในการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤษภาคมลดลง และอาจเลื่อนการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกออกไปถึงเดือนสิงหาคมหรือกันยายน
นอกจากนี้ ข้อมูลเงินเฟ้อยังมีความสำคัญในบริบทของตลาดแรงงานสหราชอาณาจักรที่ยังคงตึงตัว โดยอัตราการว่างงานอยู่ที่ 4.4% และการเติบโตของค่าจ้างยังคงแข็งแกร่งที่ 5.7% การเคลื่อนไหวของเงินเฟ้อและตลาดแรงงานจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดนโยบายการเงินในช่วงที่เหลือของปีนี้
ผลกระทบต่อตลาดการเงินจะขึ้นอยู่กับตัวเลขที่ประกาศออกมา หากเงินเฟ้อสูงกว่าคาดมาก อาจส่งผลให้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นจากความคาดหวังที่ว่าธนาคารกลางอังกฤษจะยังคงนโยบายการเงินที่เข้มงวดไว้นานกว่าที่คาด ในทางกลับกัน หากเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด อาจเพิ่มความเป็นไปได้ของการลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เงินปอนด์อ่อนค่าลง
ข้อมูลการจ้างงานของออสเตรเลียประจำเดือนมีนาคมที่จะประกาศในวันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน เวลา 08:30 น. (GMT+7) มีความสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ตลาดคาดการณ์ว่าการจ้างงานจะลดลง 52,800 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการหดตัวที่รุนแรงหลังจากเพิ่มขึ้น 40,200 ตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่อัตราการว่างงานคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% จาก 4.2% ในเดือนก่อน
การลดลงอย่างมีนัยสำคัญของการจ้างงานอาจส่งสัญญาณถึงการชะลอตัวของตลาดแรงงานออสเตรเลีย ซึ่งอาจสนับสนุนกรณีการลดอัตราดอกเบี้ยของ RBA ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานออสเตรเลียมีความผันผวนสูงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ดังนั้นธนาคารกลางอาจต้องการเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนมากขึ้นก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน
รายงานการประชุมนโยบายการเงินล่าสุดของ RBA ที่เพิ่งเปิดเผยในวันอังคารที่ 15 เมษายน แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการยังคงกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อ และย้ำว่าจะยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้อกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ช่วงเป้าหมาย 2-3% อย่างยั่งยืน
ผลกระทบต่อตลาดการเงินจะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ประกาศออกมา หากการจ้างงานลดลงมากกว่าคาดและอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ อาจทำให้เงินดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) อ่อนค่าลงจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย ในทางกลับกัน หากข้อมูลออกมาดีกว่าคาด อาจช่วยสนับสนุนค่าเงิน AUD
การเปิดเผยข้อมูลดุลการค้าของจีนประจำเดือนมีนาคมในวันจันทร์ที่ 14 เมษายน (ช่วงเช้า ตามเวลา GMT+7) จะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการส่งออกและนำเข้าของประเทศที่มีการค้าใหญ่ที่สุดในโลก ตลาดคาดการณ์ว่าดุลการค้าจะอยู่ที่ 1,220 พันล้านหยวน (หรือประมาณ 170.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 537 พันล้านหยวน (หรือ 74.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนกุมภาพันธ์
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เพิ่มขึ้นทำให้ข้อมูลนี้มีความสำคัญมากขึ้น โดยนักวิเคราะห์จะจับตาดูว่ามีสัญญาณของการเร่งส่งออกก่อนที่มาตรการภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้หรือไม่ นอกจากนี้ การนำเข้าที่ลดลงอาจบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของความต้องการภายในประเทศ ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน
ข้อมูลการค้าที่แข็งแกร่งอาจช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และอาจส่งผลดีต่อสกุลเงินเอเชียรวมถึงสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ในทางกลับกัน หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาดมาก อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความอ่อนแอที่ลึกซึ้งกว่าที่คาดในเศรษฐกิจโลก และอาจส่งผลลบต่อตลาดการเงิน
การแถลงข่าวหลังการประชุมของผู้ว่าการ BOC Tiff Macklem เวลา 21:30 น. จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมุมมองของธนาคารกลางต่อเศรษฐกิจแคนาดาและแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต ท่าทีที่เข้มงวดหรือผ่อนคลายจะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์แคนาดา (CAD) และตลาดพันธบัตรแคนาดาอย่างมีนัยสำคัญ
ความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จากเดิมที่คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 2568 ปัจจุบันตลาดคาดการณ์ว่าอาจมีการลดดอกเบี้ยเพียง 1-2 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งและเงินเฟ้อลดลงช้ากว่าที่คาด
หากเจ้าหน้าที่ Fed ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้สูงเป็นเวลานานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นและพันธบัตร ในทางกลับกัน หากมีท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้นเกี่ยวกับเงินเฟ้อและบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น อาจส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและสนับสนุนสินทรัพย์เสี่ยง
การเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ไตรมาสแรกของนิวซีแลนดในวันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน เวลา 05:45 น. (GMT+7) เป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตลาดคาดการณ์ว่า CPI จะเพิ่มขึ้น 0.5% ในไตรมาส 1/2568 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งชะลอตัวลงจาก 0.7% ในไตรมาส 4/2567
RBNZ เป็นหนึ่งในธนาคารกลางที่ใช้นโยบายการเงินเข้มงวดอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับสูง 5.5% การชะลอตัวของเงินเฟ้อตามที่คาดการณ์อาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่ RBNZ จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนพฤษภาคม หรืออย่างช้าที่สุดในเดือนกรกฎาคม 2568
หากข้อมูลเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ อาจส่งผลให้เงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) อ่อนค่าลงจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย ในทางกลับกัน หากเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าคาด อาจทำให้ NZD แข็งค่าขึ้นเนื่องจากตลาดอาจปรับลดความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้
การเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ของญี่ปุ่นในวันศุกร์ที่ 18 เมษายน เวลา 06:30 น. (GMT+7) จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ตลาดคาดการณ์ว่า Core CPI จะเพิ่มขึ้น 3.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงจาก 3.2% ในเดือนกุมภาพันธ์
BOJ ได้เริ่มปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยยกเลิกนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในเดือนมีนาคม 2568 และส่งสัญญาณว่าอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมหากเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% อย่างต่อเนื่อง การลดลงของเงินเฟ้อตามที่คาดการณ์อาจทำให้ BOJ ระมัดระวังมากขึ้นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม หากเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าคาด อาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่ BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนมิถุนายน ซึ่งจะส่งผลให้เงินเยน (JPY) แข็งค่าขึ้น และอาจกระทบต่อภาคการส่งออกของญี่ปุ่น รวมถึงตลาดหุ้นของประเทศ
วันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2568 เป็นวันหยุดธนาคารในหลายประเทศ รวมถึงนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี สหราชอาณาจักร และแคนาดา ซึ่งเป็นการหยุดชดเชยวันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) สถานการณ์นี้จะส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดการเงินลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงบ่ายของวัน
ระบบการชำระเงินของธนาคารกลางยุโรป TARGET2 จะปิดทำการในวันนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดเงินยูโร (EUR) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นในยุโรปและหลายประเทศจะปิดทำการเช่นกัน ทำให้ปริมาณการซื้อขายทั่วโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในช่วงที่มีสภาพคล่องต่ำ การเคลื่อนไหวของราคามักจะผันผวนมากขึ้น โดยคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่อาจส่งผลต่อราคามากกว่าปกติ นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรระมัดระวังเป็นพิเศษในการเปิดสถานะใหม่หรือปิดสถานะในวันดังกล่าว และควรพิจารณาลดขนาดของคำสั่งซื้อขายเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญกับความผันผวนที่มากเกินไป
สัปดาห์ที่ 14-18 เมษายน 2568 เป็นสัปดาห์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับตลาดการเงินโลก เนื่องจากมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการและการประชุมนโยบายการเงินที่สำคัญ โดยเฉพาะการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2568 ของจีน และการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งคาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรง
ตลาด Forex มีแนวโน้มที่จะผันผวนอย่างมากในสัปดาห์นี้ โดยคู่เงินหลักที่ควรจับตามองได้แก่:
ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจเผชิญแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและการส่งออกที่พึ่งพาตลาดจีน อย่างไรก็ตาม การลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB อาจช่วยบรรเทาแรงกดดันบางส่วนในตลาดหุ้นยุโรป
เป็นสัปดาห์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับตลาดการเงินโลก โดยมีปัจจัยหลักที่จะส่งผลกระทบต่อตลาด ได้แก่ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน, ข้อมูล GDP ไตรมาส 1/2568 ของจีน, และการประชุมนโยบายการเงินของ ECB การติดตามพัฒนาการของเหตุการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิด รวมถึงการปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นและการแสวงหาโอกาสในการลงทุนที่เหมาะสม
เทรดเดอร์และนักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงเป็นอันดับแรก และพร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างรวดเร็วหากสถานการณ์ตลาดเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ การมีแผนรองรับสถานการณ์ต่างๆ (Scenario Planning) จะช่วยให้สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น