หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์ที่ผ่านมา (7-11 เมษายน 2025) นับเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับตลาดคริปโตเคอร์เรนซี โดยเราได้เห็นความผันผวนอย่างรุนแรงที่ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมลดลงกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน การปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจระดับโลกและเหตุการณ์เฉพาะในอุตสาหกรรมคริปโต ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดในสัปดาห์นี้คือการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อสินค้าจากประเทศจีน โดยเฉพาะการเก็บภาษีในอัตรา 104% ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน 2025 นโยบายดังกล่าวสร้างความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้นักลงทุนลดความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอของตนและส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโตเคอร์เรนซีได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐฯ ในวันที่ 10 เมษายน ที่สูงกว่าคาดการณ์ที่ 2.8% ได้เพิ่มแรงกดดันให้กับตลาด เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลลบต่อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงคริปโตเคอร์เรนซี
ปัจจัยภายในอุตสาหกรรมคริปโตเองก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะการหมดอายุของสัญญาออปชันมูลค่ามหาศาลในวันที่ 11 เมษายน กับสัญญาออปชันของ Bitcoin กว่า 28,000 สัญญา มูลค่าราว 2,250 ล้านดอลลาร์ และ Ethereum อีกประมาณ 183,000 สัญญา มูลค่าราว 283 ล้านดอลลาร์ การหมดอายุของสัญญาจำนวนมากในช่วงเวลาเดียวกันมักนำไปสู่ความผันผวนของราคาที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ถือสัญญาพยายามบรรลุเป้าหมายของตนก่อนการหมดอายุ
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้เห็นการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลหลักที่น่าสนใจ โดย Bitcoin ปรับตัวลดลงจากระดับ 83,017 ดอลลาร์มาแตะระดับต่ำสุดที่ 74,800 ดอลลาร์ คิดเป็นการลดลงเกือบ 10% Ethereum ปรับตัวลดลงมากกว่าที่ 13.08% มาอยู่ที่ 1,572 ดอลลาร์ ในขณะที่ Altcoins หลักอย่าง Solana, Dogecoin และ XRP ปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงเดียวกัน โดย XRP ร่วงลงมากถึง 20%
ที่น่าสนใจคือ Bitcoin Dominance หรือสัดส่วนมูลค่าตลาดของ Bitcoin เมื่อเทียบกับตลาดคริปโตทั้งหมด ได้เพิ่มขึ้นถึง 60% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2021 สะท้อนให้เห็นว่าในช่วงตลาดผันผวน นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะเลือก Bitcoin มากกว่า Altcoins เนื่องจากมองว่า Bitcoin มีความเสถียรและความเสี่ยงน้อยกว่า
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักลงทุน โดยนักลงทุนระยะยาว (Long-Term Holders) เริ่มมีการเทขายสินทรัพย์ ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าจับตา และกระแสเงินไหลออกจาก ETF ของทั้ง Bitcoin และ Ethereum ก็เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความระมัดระวังของนักลงทุนสถาบันในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอน
ในบทวิเคราะห์ฉบับนี้ เราจะพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อตลาดคริปโตอย่างละเอียด วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ดิจิทัลหลัก ศึกษาพฤติกรรมนักลงทุนและการเคลื่อนไหวในตลาด รวมถึงนำเสนอมุมมองทางเทคนิคและกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับช่วงตลาดผันผวน เพื่อให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีหลักการและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา Bitcoin ได้ประสบกับความผันผวนอย่างมาก โดยเริ่มต้นสัปดาห์ที่ระดับราคา 83,017 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วสู่ระดับต่ำสุดที่ 74,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 7 เมษายน คิดเป็นการปรับตัวลดลงถึง 9.9%
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่าดัชนี Relative Strength Index (RSI) ของ Bitcoin ได้ลดลงมาอยู่ในเขต Oversold ที่ระดับ 28 ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีแรงขายที่มากเกินไปในช่วงเวลาดังกล่าว และมักเป็นสัญญาณเบื้องต้นว่าราคาอาจจะมีการฟื้นตัวในระยะสั้น
จุดสำคัญที่นักลงทุนควรให้ความสนใจคือระดับราคา 72,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (50-day Moving Average) ที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญทางเทคนิค ในวันที่ 8 เมษายน ราคาได้ทดสอบแนวรับใกล้ระดับนี้และเกิดการฟื้นตัวเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวรับดังกล่าว
ปริมาณการซื้อขาย Bitcoin เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงการปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในวันที่ 7 เมษายน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 30 วันถึง 68% การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายพร้อมกับการลดลงของราคาบ่งชี้ถึงแรงขายที่มีนัยสำคัญและความกังวลของนักลงทุน
ในช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษี 90 วัน ราคา Bitcoin ได้ฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 78,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงการตอบสนองเชิงบวกต่อข่าวดังกล่าว แต่ยังคงต่ำกว่าระดับราคาเริ่มต้นสัปดาห์อยู่มาก
Ethereum ปรับตัวลดลงรุนแรงกว่า Bitcoin โดยร่วงลงถึง 13.08% จากระดับราคาประมาณ 1,809 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 1,572 ดอลลาร์สหรัฐฯ การปรับตัวลงที่มากกว่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนไหวที่มากกว่าของ Ethereum ต่อแรงกดดันจากตลาด และพฤติกรรม “การบินสู่คุณภาพ” (Flight to Quality) ของนักลงทุนที่มักจะเลือกสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าในช่วงตลาดผันผวน
ในวันที่ 11 เมษายน มีสัญญาออปชันของ Ethereum ที่หมดอายุประมาณ 183,000 สัญญา คิดเป็นมูลค่าราว 283 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจุด max pain อยู่ที่ 1,750 ดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตราส่วน put/call อยู่ที่ 0.92 ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่ามีสัญญา call options มากกว่า put options เล็กน้อย แต่ราคาปัจจุบันต่ำกว่าจุด max pain ค่อนข้างมาก
การที่ราคาอยู่ต่ำกว่าจุด max pain บ่งชี้ว่าผู้ออกสัญญาออปชัน (Option Writers) มีแนวโน้มที่จะได้กำไรจากการหมดอายุของสัญญา ขณะที่ผู้ถือสัญญา call options จำนวนมากจะขาดทุน อย่างไรก็ตาม ในทางทฤษฎี ราคามักมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวเข้าใกล้จุด max pain ก่อนการหมดอายุของสัญญา ซึ่งอาจเป็นแรงหนุนให้ราคา Ethereum ฟื้นตัวในระยะสั้น
ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อ Ethereum ยังรวมถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจาก Layer-1 อื่นๆ เช่น Solana และ Avalanche รวมถึงความล่าช้าในการพัฒนาและการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครือข่าย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว
Altcoins หลักปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย Solana (SOL) ลดลง 13.47% จากประมาณ 172 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 149 ดอลลาร์สหรัฐฯ Dogecoin (DOGE) ลดลง 12.69% จาก 0.181 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 0.158 ดอลลาร์สหรัฐฯ และ XRP ร่วงลงมากถึง 20% จาก 0.65 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 0.52 ดอลลาร์สหรัฐฯ
การปรับตัวลงอย่างรุนแรงของ Solana มีปัจจัยเสริมจากการปลดล็อกโทเค็นมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 4 เมษายน ซึ่งส่งผลให้มีการถอนโทเค็นจากสเตกกิ้งและโอนเข้าศูนย์ซื้อขายกลางจำนวนมาก เพิ่มแรงกดดันด้านการขายให้กับราคา SOL นอกจากนี้ ปริมาณธุรกรรมบนเครือข่าย Solana ยังลดลงประมาณ 17% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนถึงกิจกรรมในระบบนิเวศที่ลดลง
สำหรับ XRP การปรับตัวลงอย่างรุนแรงส่วนหนึ่งเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับคดีความระหว่าง Ripple และ SEC ที่ยังไม่มีข้อยุติชัดเจน รวมถึงความไม่แน่นอนในการกำกับดูแลคริปโตเคอร์เรนซีในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะมีข่าวบวกเกี่ยวกับการใช้งาน XRP ในระบบการชำระเงินระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงขายในตลาดได้
ที่น่าสนใจคือ Bitcoin Dominance เพิ่มขึ้นถึง 60% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2021 สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนกำลังหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและเลือกที่จะถือครองสินทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดสูงและสภาพคล่องมากกว่าอย่าง Bitcoin การเพิ่มขึ้นของ Bitcoin Dominance มักเป็นสัญญาณของตลาดขาลงหรือตลาดที่มีความกังวล เนื่องจากนักลงทุนมักจะถอนเงินออกจาก Altcoins ที่มีความเสี่ยงสูงก่อนเมื่อเผชิญกับความไม่แน่นอน
การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อตลาดในสัปดาห์นี้ ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเพิ่มขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติม ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง โดยดัชนี S&P 500 ลดลง 1.8% ในวันที่ 8 เมษายน และดัชนี Shanghai Composite ลดลง 2.4% ในวันเดียวกัน
การประกาศขึ้นภาษี 104% ของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน ซึ่งครอบคลุมสินค้านำเข้าหลายประเภทรวมถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมคริปโต เช่น เครื่องขุด Bitcoin นโยบายนี้อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการทำเหมืองแร่คริปโตในสหรัฐฯ และส่งผลต่อผลตอบแทนของนักขุด ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างต้นทุนและการกระจายตัวของอำนาจการขุดทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 10 เมษายน ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีออกไป 90 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาทางการค้าเพิ่มเติม การประกาศดังกล่าวช่วยบรรเทาความกังวลของตลาดและส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงคริปโตเคอร์เรนซีฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย โดย Bitcoin ปรับตัวขึ้นประมาณ 3.5% ในวันดังกล่าว
ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการค้าและตลาดคริปโตแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงที่เพิ่มขึ้นระหว่างตลาดคริปโตและเศรษฐกิจโลก รวมถึงความสำคัญของปัจจัยเศรษฐศาสตร์มหภาคที่มีต่อการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล
การประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐฯ ในวันที่ 10 เมษายน แสดงอัตราเงินเฟ้อปีต่อปีที่ 2.8% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.6% ตัวเลขนี้ส่งสัญญาณว่าเงินเฟ้อยังคงเป็นความท้าทายสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยออกไป
ตลาดคริปโตมักได้รับแรงหนุนจากสภาพคล่องในระบบการเงินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง การที่ Fed อาจชะลอการลดดอกเบี้ยจึงเป็นปัจจัยลบต่อสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่สูงยังส่งผลให้ต้นทุนเงินทุนสำหรับกิจการในอุตสาหกรรมคริปโตสูงขึ้น และทำให้สินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยหรือเงินปันผลอย่าง Bitcoin มีความน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับตราสารหนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยและราคาคริปโตเคอร์เรนซีสามารถสังเกตได้จากค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งแสดงความสัมพันธ์เชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีค่าสหสัมพันธ์ -0.65 ในช่วง 90 วันที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น (สะท้อนถึงความคาดหวังเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น) ราคา Bitcoin มักจะปรับตัวลดลง
นอกเหนือจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคแล้ว ปัจจัยเฉพาะภายในอุตสาหกรรมคริปโตก็มีส่วนสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของตลาดในสัปดาห์นี้:
มีรายงานจาก Pintu News ว่านักลงทุน Bitcoin ระยะยาว (Long-Term Holders หรือ LTH) ซึ่งหมายถึงผู้ที่ถือครอง Bitcoin มานานกว่า 155 วัน เริ่มมีการเทขายสินทรัพย์มากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าจับตาและอาจนำไปสู่แรงขายที่เพิ่มขึ้นในตลาด ข้อมูลจาก CryptoQuant แสดงให้เห็นว่ามีการเคลื่อนย้ายเหรียญ Bitcoin ที่ถือครองมานานไปยังศูนย์ซื้อขาย (Exchanges) มากขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายน
ดัชนี Long-Term Holder Supply Ratio (LTHSR) ซึ่งวัดสัดส่วนของ Bitcoin ที่ถือครองโดยนักลงทุนระยะยาวเทียบกับอุปทานทั้งหมด ได้ลดลงจาก 76.5% ในเดือนมีนาคม มาอยู่ที่ 75.8% ในช่วงต้นเดือนเมษายน การลดลงนี้แม้จะไม่มากแต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนระยะยาวมักจะถือครองเหรียญไว้ผ่านวัฏจักรตลาดและไม่ค่อยขายเมื่อราคาลดลงในระยะสั้น
เมื่อนักลงทุนระยะยาวเริ่มขายสินทรัพย์ มักเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มตลาดหรือการคาดการณ์เกี่ยวกับราคาในอนาคต โดยอาจบ่งชี้ว่าแม้แต่ผู้ที่มีความเชื่อมั่นสูงในระยะยาวก็เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มราคาในระยะกลางถึงระยะยาว
Bitcoin ETF Flow ในสัปดาห์นี้มีกระแสเงินไหลออกสุทธิที่ 104.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นสัปดาห์ที่มีเงินไหลออกมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม ในส่วนของ Ethereum ETF Flow ก็มีกระแสเงินไหลออกสุทธิที่ 56.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ข้อมูลเชิงลึกแสดงให้เห็นว่า ETF ที่มีเงินไหลออกมากที่สุดคือ Grayscale Bitcoin Trust (GBTC) ที่มีเงินไหลออกสุทธิ 92.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามมาด้วย ProShares Bitcoin Strategy ETF (BITO) ที่มีเงินไหลออก 34.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในทางตรงกันข้าม BlackRock’s iShares Bitcoin Trust (IBIT) ยังคงมีเงินไหลเข้าสุทธิ 22.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีแรงขายโดยรวม แต่ก็ยังมีนักลงทุนบางส่วนที่ยังคงเพิ่มการลงทุนในช่วงที่ราคาลดลง
กระแสเงินไหลออกจาก ETF สะท้อนถึงความระมัดระวังของนักลงทุนสถาบันท่ามกลางความผันผวนของตลาดและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม การติดตาม ETF Flows อย่างต่อเนื่องจะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของทิศทางการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวโน้มราคาในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเฉพาะตั้งแต่การอนุมัติ Bitcoin ETF ในสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นปี 2024 ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลได้ง่ายขึ้น
ตลาดอนุพันธ์คริปโตแสดงสัญญาณที่น่าสนใจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยปริมาณการซื้อขาย Bitcoin Futures พุ่งสูงขึ้นเกือบ 300% ในวันที่ 7-8 เมษายน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 7 วันก่อนหน้า การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายในช่วงที่ตลาดผันผวนสะท้อนถึงความตื่นตัวและการเก็งกำไรที่เพิ่มขึ้นในตลาด
ในขณะเดียวกัน Open Interest หรือมูลค่ารวมของสัญญาที่ยังไม่ปิดสถานะในตลาด Bitcoin Futures ลดลงประมาณ 15% จาก 23.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การลดลงนี้แสดงถึงการล้างพอร์ต (Liquidations) และการปิดสถานะของนักลงทุนที่ไม่สามารถรับมือกับความผันผวนได้ หรือถูกบังคับปิดสถานะเมื่อราคาเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คาดการณ์ไว้
Funding rate ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่ผู้ถือสถานะ Long หรือ Short จ่ายให้กันเพื่อรักษาราคาของสัญญา Perpetual Futures ให้ใกล้เคียงกับราคาในตลาด Spot มีการปรับตัวลงเล็กน้อยในสัปดาห์นี้ โดยหลายเหรียญยังคงมี Funding Rate ติดลบ ซึ่งหมายความว่าผู้ถือสถานะ Short ต้องจ่ายให้ผู้ถือสถานะ Long
Funding Rate ติดลบสะท้อนว่ามีแรงกดดันด้านการขายมากกว่าด้านการซื้อในตลาด Perpetual Futures ซึ่งแสดงถึงความเป็น Bearish ของนักเทรดในตลาดอนุพันธ์ อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง Funding Rate ติดลบที่ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวของตลาด (Contrarian Indicator) เนื่องจากสถานะ Short ที่มากเกินไปอาจนำไปสู่การบีบ Short (Short Squeeze) เมื่อมีแรงซื้อเข้ามาในตลาด
ข้อมูลจาก Coinglass แสดงให้เห็นว่ามีการล้างพอร์ตรวมกว่า 860 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 7 เมษายน โดย 78% เป็นการล้างพอร์ตของสถานะ Long ซึ่งสะท้อนถึงการลดลงอย่างรวดเร็วของราคาที่ทำให้นักเทรดที่มีสถานะ Long ไม่สามารถเติมเงินประกัน (Margin) ได้ทันเวลา
จากการวิเคราะห์กราฟราคา Bitcoin ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เราสามารถระบุแนวรับและแนวต้านสำคัญได้ดังนี้:
แนวรับสำคัญ:
แนวต้านสำคัญ:
การวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าดัชนี RSI ของ Bitcoin ปรับตัวขึ้นจากระดับ Oversold (28) มาอยู่ที่ประมาณ 40 ในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งยังคงต่ำกว่าระดับ 50 ที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้น ในขณะที่ MACD (Moving Average Convergence Divergence) ยังคงอยู่ต่ำกว่าเส้น Signal Line แสดงถึงแนวโน้มขาลงในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม Stochastic Oscillator เริ่มแสดงสัญญาณของการกลับตัว (Bullish Crossover) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของการฟื้นตัวในระยะสั้น
แม้ตลาดจะเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น แต่มุมมองระยะยาวสำหรับ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีหลักยังคงเป็นบวก มีการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์หลายรายว่า Bitcoin และ XRP จะมีการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาต่อจากนี้
นักวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายรายคาดการณ์ว่า Bitcoin จะพุ่งแตะ 90,000-95,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้ หากสามารถทะลุแนวต้านหลักที่ 85,000-86,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลดลงของอุปทานใหม่หลังเหตุการณ์ Halving ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2024 และการเข้ามาของเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันผ่าน ETF
ที่น่าสนใจคือการคาดการณ์จากเบน อาร์มสตรอง นักวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียงในวงการคริปโต ที่มองว่า Bitcoin จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2025 โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ประมาณ 140,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และอาจมีการพุ่งสูงชั่วคราวถึง 170,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ การคาดการณ์นี้อ้างอิงจากรูปแบบวัฏจักรของ Bitcoin ในอดีตและผลกระทบของ Halving ที่มักจะส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 12-18 เดือนหลังเหตุการณ์
สำหรับ Ethereum นักวิเคราะห์มองว่าอาจมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งหลังจากการปรับปรุงเครือข่ายในเฟส Cancun-Deneb ที่คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในช่วงกลางปี 2025 การปรับปรุงนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายและลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศ Ethereum และอาจผลักดันราคาให้สูงขึ้นในระยะยาว
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองระยะยาวนี้ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบและนโยบายการกำกับดูแลคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศหลัก การปรับตัวของนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก และความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจโลกทที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นนี้ การเลือกใช้กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นี่คือกลยุทธ์ที่นักเทรดควรพิจารณา:
การทยอยซื้อเป็นประจำตามระยะเวลาที่กำหนด ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลง เป็นวิธีที่ดีในการลดผลกระทบจากความผันผวนของราคา และเหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่เชื่อมั่นในแนวโน้มการเติบโตของคริปโตเคอร์เรนซี
วิธีการ:
ข้อดี:
การเข้าซื้อเมื่อราคาทดสอบแนวรับสำคัญและตั้งเป้าหมายกำไรที่แนวต้านเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในช่วงตลาดผันผวน
วิธีการ:
ข้อดี:
การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในช่วงตลาดผันผวน
วิธีการ:
ข้อดี:
การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลหลายประเภทและการปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ
วิธีการ:
ข้อดี:
การติดตามข้อมูลที่สะท้อนพฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่และกระแสเงินในตลาดจะช่วยให้เข้าใจแนวโน้มของตลาดได้ดีขึ้น
วิธีการ:
ข้อดี:
สัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2025 นับเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบอย่างแท้จริงสำหรับตลาดคริปโตเคอร์เรนซี การร่วงลงอย่างรุนแรงของ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนไหวของตลาดต่อปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเศรษฐกิจระดับมหภาค ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ หรือความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ผันผวน
มูลค่าตลาดคริปโตโดยรวมร่วงลงเหลือ 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ จากช่วงสูงสุดเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นการลดลงถึง 30% ในเวลาเพียง 4 เดือน อย่างไรก็ตาม Bitcoin ยังแสดงความแข็งแกร่งมากกว่าตลาดโดยรวม สังเกตได้จากค่า Bitcoin Dominance ที่พุ่งขึ้นถึง 60% สูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2021 ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ Bitcoin ในฐานะ “ทองคำดิจิทัล” ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงในช่วงเศรษฐกิจไม่แน่นอน
ประเด็นสำคัญที่เราได้เห็นคือการเชื่อมโยงที่เพิ่มขึ้นระหว่างตลาดคริปโตกับตลาดการเงินดั้งเดิม โดยปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค อย่างเช่นการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาคริปโต สถานการณ์นี้อาจเป็นสัญญาณว่าตลาดคริปโตกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินกระแสหลักมากขึ้น ซึ่งแม้จะทำให้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยมหภาค แต่ก็อาจนำไปสู่การยอมรับในวงกว้างและความมั่นคงในระยะยาว
การที่นักลงทุนระยะยาว (Long-Term Holders) เริ่มเทขายสินทรัพย์และกระแสเงินไหลออกจาก ETF เป็นสัญญาณที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป อาจเป็นสัญญาณของการปรับฐานที่ลึกกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ระดับ Oversold ของดัชนี RSI และ Funding Rate ติดลบที่ต่อเนื่องกันอาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของการฟื้นตัวในระยะสั้น โดยเฉพาะหากมีปัจจัยบวกด้านการกำกับดูแลหรือการไหลเข้าของเงินทุนจากนักลงทุนสถาบัน
สำหรับมุมมองในช่วงที่เหลือของปี 2025 เรายังคงมองบวกต่อแนวโน้มของ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีหลัก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เช่น การลดลงของอุปทานใหม่หลังเหตุการณ์ Halving การเติบโตของการนำไปใช้งานจริง และการเข้ามาของเงินทุนจากนักลงทุนสถาบัน อย่างไรก็ตาม ความผันผวนยังคงเป็นเรื่องปกติในตลาดนี้ นักลงทุนจึงควรเตรียมพร้อมรับมือกับการปรับฐานที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง
จากการวิเคราะห์ข้างต้น เราขอเสนอแนะกลยุทธ์การลงทุนสำหรับเทรดเดอร์ในประเภทต่างๆ ดังนี้:
สำหรับนักลงทุนระยะยาว:
สำหรับนักเทรดระยะกลาง:
สำหรับนักเทรดระยะสั้น:
สำหรับนักลงทุนมือใหม่:
ในช่วงตลาดผันผวนเช่นนี้ การรักษาวินัยในการเทรดและการจัดการอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด หลายครั้งที่การตัดสินใจโดยใช้อารมณ์นำเหตุผลนำไปสู่ความผิดพลาดในการลงทุน โดยเฉพาะการขายในจุดต่ำสุดเนื่องจากความกลัว (Fear) หรือการซื้อเพิ่มในจุดสูงสุดเนื่องจากความโลภ (Greed)
ท้ายที่สุด นักลงทุนควรพัฒนาแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงิน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และระยะเวลาการลงทุนของตนเอง ความเข้าใจถึงวัฏจักรของตลาดคริปโตและการเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนจะช่วยให้สามารถบรรลุผลสำเร็จในการลงทุนในระยะยาว