หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกได้ผ่านช่วงเวลาที่ผันผวนอย่างมากในเดือนเมษายน 2568 เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าครั้งใหม่ ส่งผลให้ตลาดเกิดความตื่นตระหนกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริษัทที่มีฐานการผลิตหลักในประเทศจีน บริษัท Apple ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้เผชิญกับการร่วงลงของราคาหุ้นอย่างหนักถึง 9% ทำให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 310,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในเวลาอันรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลทรัมป์ประกาศยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ จากภาษีที่เรียกว่า “ภาษีตอบโต้” ในอัตรา 125% การประกาศครั้งนี้ส่งผลให้หุ้น Apple ฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึงกว่า 15% ในวันเดียว แสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวของตลาดต่อนโยบายการค้าระหว่างประเทศ
บทวิเคราะห์นี้จะศึกษาถึงปัจจัยหลักที่มีผลต่อราคาหุ้น Apple ในบริบทของนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ตลอดจนผลกระทบที่มีต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในวงกว้าง เราจะวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทาน กลยุทธ์การปรับตัวของบริษัทชั้นนำ และความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ ยังจะนำเสนอมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มระยะยาวและโอกาสการลงทุนสำหรับเทรดเดอร์ในตลาด CFD
ประเด็นสำคัญที่จะวิเคราะห์ในบทความนี้ประกอบด้วย:
การวิเคราะห์นี้มีเป้าหมายเพื่อให้เทรดเดอร์ของ FXGT เข้าใจถึงปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดเทคโนโลยีในปัจจุบัน และสามารถวางแผนกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ได้กลับมาทวีความรุนแรงอีกครั้งภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในวาระที่สอง ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2568 ทรัมป์ประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตราใหม่ที่สูงถึง 10-49% ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจีน ได้มีการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 34% ซึ่งเมื่อรวมกับภาษีเดิมที่ 20% ทำให้สินค้าจากจีนต้องเผชิญกับภาษีสูงถึง 54% มาตรการนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานในจีนอย่างมีนัยสำคัญ
เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 เมื่อทรัมป์ประกาศระงับภาษีตอบโต้เป็นเวลา 90 วันสำหรับทุกประเทศยกเว้นจีน สร้างความหวังว่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการทางการค้า จากนั้นในวันที่ 11-12 เมษายน 2568 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการผ่านกรมศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ เพื่อยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ จากภาษีที่เรียกว่า “ภาษีตอบโต้” ในอัตรา 125% โดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ 5 เมษายน 2568
สินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีประกอบด้วยสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป ฮาร์ดไดรฟ์ ซีพียู ชิปหน่วยความจำ และเครื่องจักรที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยอดนิยมที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ การยกเว้นนี้สร้างความโล่งอกให้กับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะ Apple ที่มีห่วงโซ่อุปทานหลักอยู่ในประเทศจีน
การประกาศยกเว้นภาษีส่งผลดีทันทีต่อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี นอกจาก Apple ที่หุ้นพุ่งขึ้นกว่า 15% แล้ว ยังส่งผลบวกต่อบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรม ดังนี้:
ทั้งนี้ การยกเว้นภาษีไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการนำเข้าโดยตรง แต่ยังช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการขาดแคลนสินค้าในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งอาจนำไปสู่เงินเฟ้อในระยะยาว
ความผันผวนอย่างรุนแรงของหุ้น Apple และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ในช่วงเดือนเมษายน 2568 ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกลุ่มนี้:
แม้ว่าการยกเว้นภาษีจะช่วยบรรเทาความกังวลในระยะสั้น แต่นักวิเคราะห์ยังคงมองว่าความไม่แน่นอนในระยะยาวยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าเพิ่มเติมในอนาคต บริษัทเทคโนโลยีจึงต้องเร่งปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์รับมือที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของนโยบายภาษีในระยะยาว
ในส่วนถัดไป เราจะวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานและกลยุทธ์การปรับตัวของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจถึงแนวทางที่บริษัทเหล่านี้ใช้ในการรับมือกับความท้าทายด้านนโยบายการค้าในปัจจุบัน
ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สร้างความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานที่มีฐานการผลิตในประเทศจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ในกรณีของ Apple นั้น บริษัทพึ่งพาการผลิตในจีนอย่างมาก โดยมีการผลิต iPhone ประมาณ 85% อยู่ในประเทศจีน สัดส่วนที่สูงนี้ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีนำเข้า
การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 54% เมื่อต้นเดือนเมษายน 2568 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานในหลายด้าน ได้แก่:
แม้ว่าการประกาศยกเว้นภาษีในเวลาต่อมาจะช่วยบรรเทาความกังวลในระยะสั้น แต่ความไม่แน่นอนในระยะยาวยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์เองได้กล่าวว่าการยกเว้นนี้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว และเขาอาจเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบใหม่ในอนาคต
บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำได้เริ่มดำเนินกลยุทธ์ “China+1” อย่างจริงจัง เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านการผลิตออกจากประเทศจีน โดยมุ่งเน้นการขยายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะอินเดียและเวียดนาม
Apple เริ่มเพิ่มการผลิตในอินเดียอย่างมีนัยสำคัญ โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการผลิต iPhone ในอินเดียเป็น 25 ล้านเครื่องต่อปี คิดเป็นประมาณ 12-15% ของกำลังการผลิตทั่วโลก นอกจากนี้ Apple ยังได้ลงทุน 500 ล้านดอลลาร์ในศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ที่กรุงเดลี เพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในภูมิภาคนี้
ในส่วนของเวียดนาม Apple ได้เริ่มย้ายการผลิต iPad บางส่วน (ประมาณ 15%) ไปยังประเทศนี้ และกำลังพิจารณาขยายการผลิต AirPods และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาขยายฐานการผลิตในบราซิล ซึ่งมีอัตราภาษีนำเข้าต่ำกว่าจีนมาก
สำหรับบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ:
การกระจายฐานการผลิตนำมาซึ่งความท้าทายและต้นทุนที่สำคัญหลายประการ:
นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายด้านโลจิสติกส์และการขนส่งเนื่องจากรูปแบบของห่วงโซ่อุปทานที่เปลี่ยนไป รวมถึงความเสี่ยงด้านนโยบายการค้าของประเทศใหม่ที่ย้ายฐานการผลิตไป
Apple ได้ดำเนินการหลายอย่างเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี:
บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ก็มีแนวทางการปรับตัวที่น่าสนใจ:
ทั้งนี้ แม้ว่าการยกเว้นภาษีจะช่วยบรรเทาความกังวลในระยะสั้น แต่บริษัทเทคโนโลยียังคงเดินหน้ากลยุทธ์กระจายความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับนโยบายภาษีที่อาจเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในการกระจายฐานการผลิตและเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ อาจเพิ่มต้นทุนในระยะสั้น แต่จะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
นโยบายภาษีนำเข้าส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีไม่เพียงส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตโดยตรง แต่ยังมีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการประเมินมูลค่าหุ้นในระยะยาว
ในกรณีของ Apple เราได้เห็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างประกาศนโยบายภาษีและการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เมื่อมีการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 54% ส่งผลให้หุ้น Apple ร่วงลงถึง 9% ในวันเดียว และเมื่อมีการประกาศยกเว้นภาษีในภายหลัง หุ้น Apple ฟื้นตัวขึ้นกว่า 15% แสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวอย่างมากของตลาดต่อนโยบายภาษี
ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่หุ้นรายตัว แต่ยังส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นในวงกว้างด้วย การประกาศยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq Composite ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2.5% ในวันที่ 12 เมษายน 2568 ในขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.8% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงน้ำหนักและอิทธิพลของบริษัทเทคโนโลยีต่อภาพรวมของตลาด
นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์ข้ามตลาดระหว่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นในเอเชีย โดยเฉพาะตลาดที่มีซัพพลายเออร์รายสำคัญของบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น ตลาดหุ้นไต้หวัน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ การฟื้นตัวของหุ้น Apple ส่งผลให้หุ้นของ Hon Hai Precision Industry (Foxconn) ในไต้หวันพุ่งขึ้นกว่า 4% ขณะที่ Samsung Electronics ในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 1.5% แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งในระบบนิเวศการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก
กลุ่มผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และชิปเซมิคอนดักเตอร์เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายภาษีนำเข้า การยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่งผลดีต่อบริษัทในกลุ่มนี้หลายประการ:
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายที่สำคัญสำหรับกลุ่มนี้ โดยเฉพาะด้านราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาซิลิกอนคุณภาพสูงได้ปรับตัวขึ้น 15% ตั้งแต่ต้นปี 2568 เนื่องจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและ AI นักวิเคราะห์คาดว่าการผันผวนนี้จะส่งผลให้ราคาชิป GPU ประมวลผล AI ปรับตัวขึ้น 5-8% ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568
ผู้ให้บริการคลาวด์และซัพพลายเออร์ในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีเช่นกัน การยกเว้นภาษีนำเข้าช่วยลดต้นทุนฮาร์ดแวร์สำหรับผู้ให้บริการคลาวด์ระดับใหญ่ เช่น AWS, Microsoft Azure และ Google Cloud ซึ่งต้องลงทุนในเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เครือข่ายจำนวนมาก
Microsoft ประเมินว่าต้นทุนการขยายศูนย์ข้อมูลในแอริโซนาจะลดลง 8% ในปี 2568 ซึ่งเป็นการประหยัดต้นทุนที่มีนัยสำคัญเมื่อคำนึงถึงมูลค่าการลงทุนในศูนย์ข้อมูลที่มักอยู่ในระดับหลายพันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ AWS สามารถเร่งแผนติดตั้งเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Graviton4 ได้เร็วขึ้น 6 สัปดาห์ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีข้อได้เปรียบด้านประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานได้ 15% ต่อปี
ในส่วนของซัพพลายเออร์ระดับ Tier 1 เช่น Foxconn, Pegatron และ Quanta Computer ต่างได้รับอานิสงส์จากการยกเว้นภาษี Foxconn รายงานว่าสามารถลดต้นทุนการขนส่งแผงวงจรหลักไปสหรัฐฯ ได้ 9% ต่อหน่วย ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคา นอกจากนี้ Pegatron ยังประกาศจ้างงานเพิ่ม 5,000 อัตราในโรงงานเวียดนามเพื่อรองรับออเดอร์ที่เพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการกระจายการผลิตออกจากจีน
อย่างไรก็ตาม ซัพพลายเออร์ระดับกลางที่ผลิตชิ้นส่วนเฉพาะทาง เช่น แบตเตอรี่ลิเธียมและเซ็นเซอร์ภาพ ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้น 15-20% ตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้บริษัทเช่น TDK และ Murata Manufacturing ต้องปรับกลยุทธ์การซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าเป็น 6 เดือน แทนที่จะเป็น 3 เดือนตามปกติ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา
การลดลงของต้นทุนฮาร์ดแวร์ยังส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาบริการคลาวด์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบริการ IaaS (Infrastructure as a Service) นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า AWS อาจลดราคาบริการ EC2 ลง 3-5% ในไตรมาสที่สามของปี 2568 เพื่อกดดันคู่แข่งรายย่อย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการคลาวด์ในวงกว้าง
นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สร้างทั้งโอกาสและความเสี่ยงสำหรับผู้ประกอบการในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียที่กำลังเป็นฐานการผลิตทางเลือกนอกเหนือจากจีน
โอกาสสำหรับผู้ประกอบการในประเทศอื่น:
ความเสี่ยงที่ต้องคำนึงถึง:
ในกรณีของประเทศไทย แม้จะยังไม่ได้เป็นฐานการผลิตหลักของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ แต่มีโอกาสในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการกระจายสินค้าในภูมิภาค รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนเฉพาะทางที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์หรืออุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว
การเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลกเนื่องจากนโยบายภาษีและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนจึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการในประเทศต่างๆ การปรับตัวอย่างรวดเร็วและการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันเฉพาะด้านจะเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้
การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีและความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนกำลังเร่งให้เกิดการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทไม่ได้มองการยกเว้นภาษีปัจจุบันเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว แต่กำลังเร่งวางแผนเชิงกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นแนวทาง “China+1” และ “Manufacturing Diversification” มากขึ้น
ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่าบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ วางแผนเพิ่มงบลงทุนในการกระจายฐานการผลิตเฉลี่ย 12-15% ในปี 2568-2569 การเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า แต่เป็นการสร้างความยืดหยุ่นให้กับห่วงโซ่อุปทานในระยะยาว แนวโน้มสำคัญที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ประกอบด้วย:
การกระจายฐานการผลิตนำมาซึ่งโอกาสการเติบโตในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะอินเดียและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การย้ายฐานการผลิตไม่เพียงเป็นกลยุทธ์ด้านต้นทุน แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสในการเจาะตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง
อินเดียกำลังเป็นศูนย์กลางการเติบโตที่สำคัญสำหรับ Apple ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นปีละ 18-22% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การลงทุน 500 ล้านดอลลาร์ในศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ที่กรุงเดลีไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับ Samsung และ Xiaomi ในภูมิภาคนี้ แต่ยังช่วยให้ Apple เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในตลาดเกิดใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
นักวิเคราะห์จาก CFRA Research คาดว่าการขยายตัวในตลาดเกิดใหม่จะชดเชยการชะลอตัวในสหรัฐฯ ได้ 40-50% ภายในปี 2570 โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้:
การลดลงของต้นทุนการผลิตจากการยกเว้นภาษีทำให้บริษัทเทคโนโลยีมีเงินทุนเหลือเพื่อลงทุนในงานวิจัยและพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นแนวโน้มสำคัญในอนาคต
ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่าบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ วางแผนเพิ่มงบ R&D เฉลี่ย 7-9% ในปี 2568 โดยเน้นที่:
การลงทุนเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนในระยะยาว แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันผ่านนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ในตลาด CFD ความผันผวนของหุ้นเทคโนโลยีจากนโยบายภาษีสร้างทั้งความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน การวางกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมภายใต้สภาวะความไม่แน่นอนเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรพิจารณาแนวทางดังนี้:
ในกรณีของหุ้น Apple ข้อมูลล่าสุดจาก NASDAQ ณ วันที่ 16 เมษายน 2568 ชี้ว่าราคาหุ้นปิดที่ 202.14 ดอลลาร์ ลดลง 0.19% จากวันก่อนหน้า แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย 50 วันที่ 223.30 ดอลลาร์ นักวิเคราะห์จาก Forbes ประเมินว่า Apple มีศักยภาพฟื้นตัวสู่ระดับ 250 ดอลลาร์ได้ภายในปี 2569 หากสามารถ:
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่:
นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรติดตามปัจจัยสำคัญเหล่านี้อย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การผสมผสานระหว่างการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคจะช่วยให้สามารถระบุจุดเข้าซื้อและขายที่เหมาะสมในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
การประกาศนโยบายภาษีนำเข้าและการยกเว้นภาษีล่าสุดของประธานาธิบดีทรัมป์สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างนโยบายการค้าระหว่างประเทศและตลาดหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทที่มีห่วงโซ่อุปทานระดับโลกอย่าง Apple ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีในช่วงเดือนเมษายน 2568 ส่งผลให้ราคาหุ้น Apple ผันผวนอย่างรุนแรง โดยลดลง 9% หลังการประกาศขึ้นภาษี และฟื้นตัวกว่า 15% หลังได้รับการยกเว้นภาษี
การยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีผลบวกต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในหลายด้าน ทั้งการรักษาอัตรากำไร การลดต้นทุนการผลิต และการเพิ่มความมั่นใจของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม การประกาศของทรัมป์ว่ามาตรการนี้เป็นเพียงชั่วคราวยังคงสร้างความไม่แน่นอนในระยะยาว และเป็นแรงผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีเร่งปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดการพึ่งพาการผลิตในประเทศจีน
ผลกระทบของนโยบายภาษีไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อซัพพลายเออร์ในเอเชีย บริษัทผู้ให้บริการคลาวด์ และผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับประเทศที่เป็นฐานการผลิตทางเลือก เช่น อินเดียและเวียดนาม ซึ่งกำลังได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน
ในบริบทของความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้า นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีควรติดตามปัจจัยสำคัญต่อไปนี้อย่างใกล้ชิด:
สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ในตลาด CFD ที่สนใจลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Apple ควรพิจารณาแนวทางดังนี้:
ในกรณีของหุ้น Apple โดยเฉพาะ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมองบวกต่อแนวโน้มในระยะยาว โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 230-250 ดอลลาร์ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ปัจจัยสนับสนุนได้แก่ความสามารถในการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทาน การเติบโตในตลาดอินเดีย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI-based อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดเกิดใหม่ที่นักลงทุนควรคำนึงถึง
ในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าโลกและการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานกำลังสร้างภูมิทัศน์ใหม่สำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบด้าน
บริษัทที่สามารถปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน มีความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ และมีนวัตกรรมที่แข็งแกร่งจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว Apple แม้จะเผชิญกับความท้าทายในระยะสั้น แต่ด้วยทรัพยากรทางการเงินที่แข็งแกร่ง ระบบนิเวศผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจร และความสามารถในการปรับตัว ทำให้บริษัทยังคงมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว
นอกจากนี้ การกระจายฐานการผลิตและการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานและลดความเสี่ยงจากนโยบายภาษีในอนาคต บริษัทที่สามารถบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จะมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
การขยายตัวในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเป็นแหล่งการเติบโตที่สำคัญสำหรับบริษัทเทคโนโลยีในอนาคต การเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในตลาดเหล่านี้และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
โดยสรุป แม้ว่านโยบายภาษีนำเข้าและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศจะสร้างความผันผวนในระยะสั้น แต่ยังมีโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในหุ้นเทคโนโลยีสำหรับนักลงทุนที่มีมุมมองระยะยาว การพิจารณาปัจจัยพื้นฐาน การวิเคราะห์ความสามารถในการปรับตัวของบริษัท และการติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมจะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก