หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดพันธบัตรทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ และความกังวลเกี่ยวกับระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น บทวิเคราะห์นี้จะนำเสนอภาพรวมของสถานการณ์ในตลาดพันธบัตรโลก โดยมุ่งเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเยอรมัน
ในขณะที่นักลงทุนจับตามองการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 5% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงในตลาดพันธบัตรยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหุ้นและค่าเงินทั่วโลก ทำให้เกิดโอกาสและความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์
นอกจากนี้ ข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ยังส่งผลต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งยังคงดำเนินนโยบาย “รอและดู” เพื่อประเมินผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ก่อนตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ย
ตลาดพันธบัตรโลกในปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงระยะที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด ในสหรัฐอเมริกา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก กำลังเคลื่อนไหวที่ระดับ 4.323% ขณะที่นักวิเคราะห์จาก DZ Bank Research คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนดังกล่าวอาจพุ่งสูงถึง 5% ภายในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้า
ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนแนวโน้มนี้คือภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะให้คำมั่นว่าจะควบคุมระดับหนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระดับหนี้ยังคงขยายตัว สถานการณ์นี้อาจนำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมของอันดับความน่าเชื่อถือ AAA ที่สหรัฐฯ ได้รับจาก Moody’s Ratings ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกเพียงแห่งเดียวที่ยังคงให้อันดับสูงสุดแก่สหรัฐฯ
ในขณะเดียวกัน ตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น (JGB) กำลังแสดงการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างตลาดพันธบัตรของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ นักวิเคราะห์จาก Mitsubishi UFJ Morgan Stanley Securities ระบุว่า พันธบัตรญี่ปุ่นอายุยาวมีแนวโน้มที่จะมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่า โดยสอดคล้องกับรูปแบบที่เกิดขึ้นในวันก่อนหน้า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดูเหมือนจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากการประมูลพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 20 ปี เสร็จสิ้นโดยไม่มีเหตุการณ์ที่น่ากังวลอย่างมีนัยสำคัญ
ในยุโรป พันธบัตรรัฐบาลเยอรมัน (Bunds) กำลังแยกตัวจากพันธบัตรสหรัฐฯ หลังจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ ในช่วงที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ มีความผันผวน พันธบัตรเยอรมันได้รับประโยชน์จากสถานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (safe-haven) ซึ่งดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก SEB Research ระบุว่า ความต้องการนี้กำลังลดลงหลังจากข่าวการเปลี่ยนแปลงนโยบายของทรัมป์
ในระยะกลางถึงระยะยาว คาดการณ์ว่าพันธบัตรเยอรมันจะยังคงได้รับประโยชน์ โดยตลาดการเงินกำลังคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินครั้งต่อไปในวันที่ 17 เมษายน ตามด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนมิถุนายนและเดือนตุลาคม ตามข้อมูลจาก LSEG
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก ING เตือนว่า ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจะยังคงอยู่ ซึ่งจะป้องกันการฟื้นตัวอย่างเต็มที่ของความเชื่อมั่นในการลงทุนเสี่ยง ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นหมายความว่าสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลเยอรมันอายุ 10 ปี อาจได้รับความต้องการในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนและราคาพันธบัตรในตลาด
การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายภาษีศุลกากรที่มีการปรับเปลี่ยนล่าสุด การตัดสินใจชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรอัตราสูงกับมากกว่า 100 ประเทศ ได้สร้างความโล่งใจให้กับนักลงทุนในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ อย่างมาก
ก่อนหน้านี้ นโยบายภาษีศุลกากรแบบครอบคลุมทั่วโลกของทรัมป์ได้ก่อให้เกิดการขายทิ้งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างหนัก ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพุ่งสูงขึ้น (ซึ่งเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับราคา) และสร้างความกังวลอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับสถานะความเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” ของพันธบัตรสหรัฐฯ แม้ในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลง นโยบายภาษีศุลกากรดังกล่าวถูกมองว่าจะเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและสร้างความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจล่าสุดในการชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรได้ช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตลาด ทำให้เกิดการกลับมาของความเสี่ยงในการลงทุน (risk appetite) โดยตลาดหุ้นในเอเชียและยุโรปต่างพุ่งสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี ลดลงประมาณ 6 เบสิสพอยต์ หลังจากการเปิดเผยข้อมูล CPI ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ซึ่งช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อาจเกิดจากนโยบายภาษีศุลกากร
นอกจากประเด็นนโยบายการค้าแล้ว การดำเนินนโยบายของทรัมป์ยังส่งผลกระทบต่อโครงการประกันสังคม (Social Security) ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเด็นที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้แสดงความกังวล โดยเฉพาะเกี่ยวกับการตรวจสอบผู้รับผลประโยชน์และการปรับลดบุคลากรในหน่วยงานบริหารประกันสังคม แม้ว่าทางทำเนียบขาวจะยืนยันว่าจะปกป้องผลประโยชน์สำหรับ “พลเมืองอเมริกันที่เสียภาษีและผู้สูงอายุที่จ่ายเงินเข้าโครงการ” แต่ความไม่แน่นอนในประเด็นนี้ก็ยังคงส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาด
การเปลี่ยนแปลงนโยบายเหล่านี้ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างตลาดพันธบัตรโลก โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ในขณะที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ตอบสนองในเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีศุลกากร พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) และพันธบัตรรัฐบาลเยอรมัน (Bund) กลับเห็นอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการลดลงของความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเนื่องจากความเสี่ยงในตลาดสหรัฐฯ เริ่มลดลง
ในระยะกลางถึงระยะยาว ผลกระทบของนโยบายทรัมป์ต่อตลาดพันธบัตรและตลาดการเงินโดยรวมจะขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายในรายละเอียดและการตอบสนองของเศรษฐกิจต่อนโยบายเหล่านั้น ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกกำลังใช้แนวทาง “รอและดู” เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าใหม่ของสหรัฐฯ ก่อนที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางของตลาดพันธบัตรและสินทรัพย์อื่นๆ ในอนาคต
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับหนี้สาธารณะ ตามที่นักวิเคราะห์จาก DZ Bank Research ได้ชี้ให้เห็น แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะให้คำมั่นเกี่ยวกับการควบคุมหนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระดับหนี้สาธารณะของประเทศกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การขยายตัวของหนี้นี้เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี จะเพิ่มขึ้นถึง 5% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า จากระดับปัจจุบันที่ 4.323%
ความสัมพันธ์ระหว่างหนี้สาธารณะและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเป็นไปตามกลไกพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อรัฐบาลเพิ่มการออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนสำหรับการใช้จ่ายและการชำระหนี้ที่มีอยู่ อุปทานของพันธบัตรในตลาดจะเพิ่มขึ้น หากความต้องการไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน ราคาพันธบัตรจะลดลงและอัตราผลตอบแทนจะสูงขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของระดับหนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงด้านเครดิตของประเทศ ซึ่งนักลงทุนจะเรียกร้องอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ประเด็นที่น่ากังวลคือการขยายตัวของหนี้สาธารณะสหรัฐฯ อาจนำไปสู่การทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอันดับ AAA จาก Moody’s Ratings ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกเพียงแห่งเดียวที่ยังคงให้อันดับสูงสุดแก่สหรัฐฯ หากมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ จะยิ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจะต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังส่งผลต่อต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งจะยิ่งเพิ่มภาระด้านงบประมาณและอาจนำไปสู่การขยายตัวของหนี้เพิ่มเติม สร้างวงจรที่อาจเป็นปัญหาในระยะยาว นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นยังส่งผลต่อต้นทุนการกู้ยืมในภาคเอกชน รวมถึงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งอาจชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาดการณ์อาจช่วยบรรเทาแรงกดดันต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร ข้อมูล CPI เดือนมีนาคมแสดงการลดลง 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น 0.1% ในขณะที่ Core CPI รายเดือนเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% เทียบกับการคาดการณ์ที่ 0.2% ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออาจเริ่มผ่อนคลาย ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มที่จะเริ่มพิจารณาการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
การตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยจะมีผลอย่างมากต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรและสภาพคล่องในระบบการเงิน ในปัจจุบัน Fed และธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลกกำลังใช้แนวทาง “รอและดู” เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าใหม่และปัจจัยอื่นๆ ก่อนตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางของตลาดพันธบัตรและการจัดการหนี้สาธารณะในระยะต่อไป
สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ ความสัมพันธ์ระหว่างหนี้สาธารณะและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ตลาดหุ้น และตลาดสกุลเงิน การเข้าใจความสัมพันธ์นี้จะช่วยให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มและปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
ตลาดพันธบัตรทั่วโลกมีความเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งเป็นตลาดพันธบัตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในช่วงที่ผ่านมา เราได้เห็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่น่าสนใจระหว่างพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเศรษฐกิจหลักเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์
พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามทิศทางของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ดังที่นักวิเคราะห์ตลาดตราสารหนี้หลายรายได้สังเกตเห็น นี่เป็นรูปแบบที่เห็นได้ชัดเจนในเซสชั่นการซื้อขายล่าสุดในโตเกียว ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของพันธบัตรญี่ปุ่น (JGB futures) ปรับตัวขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของราคาพันธบัตรสหรัฐฯ ในช่วงก่อนหน้า ความสัมพันธ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำทิศทางตลาดการเงินโลก รวมถึงการที่ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุด
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างพันธบัตรยุโรป โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลเยอรมัน (Bunds) กับพันธบัตรสหรัฐฯ มีความซับซ้อนมากขึ้น ในช่วงเวลาปกติ พันธบัตรเหล่านี้มักจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน แต่เมื่อเกิดความไม่แน่นอนในนโยบาย เช่น การประกาศนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ เราเห็นการแยกตัว (divergence) ที่ชัดเจน โดยพันธบัตรเยอรมันได้รับประโยชน์จากสถานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ในขณะที่พันธบัตรสหรัฐฯ เผชิญกับแรงขายทิ้ง
เมื่อทรัมป์ตัดสินใจชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรกับกว่า 100 ประเทศ เราเห็นปฏิกิริยาที่แตกต่างกันในตลาดพันธบัตร อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ลดลงประมาณ 6 เบสิสพอยต์ แสดงถึงความโล่งใจของนักลงทุน ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้น 8.69 เบสิสพอยต์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมันอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นประมาณ 7 เบสิสพอยต์ การเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามนี้สะท้อนให้เห็นถึงการลดลงของความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในญี่ปุ่นและยุโรป เมื่อความกังวลเกี่ยวกับตลาดสหรัฐฯ ลดลง
นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังได้รับอิทธิพลจากนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของธนาคารกลางในแต่ละภูมิภาค ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง ตลาดการเงินกำลังคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ย โดยเริ่มจากการลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 17 เมษายน ความแตกต่างในนโยบายการเงินนี้จะส่งผลต่อส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรสหรัฐฯ และพันธบัตรยุโรป ซึ่งจะมีผลต่อการไหลของเงินทุนระหว่างสองภูมิภาค
ข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ยังเพิ่มความซับซ้อนให้กับความสัมพันธ์นี้ ตัวเลข CPI ที่ลดลง 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน อาจทำให้ Fed เริ่มพิจารณาการลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากเป็นเช่นนั้น ความแตกต่างในนโยบายการเงินระหว่าง Fed และ ECB อาจลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างพันธบัตรสหรัฐฯ และพันธบัตรยุโรป
สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ การเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างตลาดพันธบัตรเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ความแตกต่างของอัตราผลตอบแทน (yield spreads) ระหว่างพันธบัตรรัฐบาลของประเทศต่างๆ สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดและโอกาสในการลงทุน การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในความสัมพันธ์เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มตลาด
นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงนี้ยังมีผลต่อตลาดเงินตราระหว่างประเทศ โดยส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ เยน และยูโร การติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดพันธบัตรจึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการวิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มในตลาดเงินตราและตลาดสินทรัพย์อื่นๆ
ตลาดพันธบัตรโลกกำลังเผชิญกับช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการทั้งนโยบายการค้า ภาระหนี้สาธารณะ สภาวะเงินเฟ้อ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก การวิเคราะห์ของเราชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มและข้อควรพิจารณาสำคัญสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ในช่วงถัดไป
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นถึง 5% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ตามการคาดการณ์ของ DZ Bank Research โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการเพิ่มขึ้นของระดับหนี้สาธารณะสหรัฐฯ แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดที่ต่ำกว่าคาดการณ์อาจช่วยบรรเทาแรงกดดันบางส่วน แต่ความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลังของสหรัฐฯ ในระยะยาวยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อตลาดพันธบัตร ประเด็นการทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือ AAA จาก Moody’s Ratings อาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรติดตามในอนาคตอันใกล้
นโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์จะยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดการเงินทั่วโลก การตัดสินใจล่าสุดในการชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรอัตราสูงกับกว่า 100 ประเทศได้ช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตลาด แต่นักลงทุนควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นหากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเพิ่มเติมในอนาคต นโยบายการค้าที่เข้มงวดยังคงเป็นความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ความแตกต่างในนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลักของโลกจะยังคงส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างตลาดพันธบัตร ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มที่จะเริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจยังคงรักษาท่าที “รอและดู” เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าและปัจจัยอื่นๆ ก่อนตัดสินใจเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย ความแตกต่างนี้จะส่งผลต่อส่วนต่างของอัตราผลตอบแทน (yield spreads) ระหว่างพันธบัตรสหรัฐฯ และพันธบัตรยุโรป ซึ่งจะมีผลต่อการไหลของเงินทุนระหว่างภูมิภาคและอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลลาร์สหรัฐฯ และยูโร
ตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น (JGB) จะยังคงได้รับอิทธิพลอย่างมากจากพันธบัตรสหรัฐฯ แต่ก็มีปัจจัยภายในประเทศที่จะส่งผลต่อทิศทางของตลาด โดยเฉพาะนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เกี่ยวกับการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve Control) ความสัมพันธ์ระหว่างเยนและดอลลาร์สหรัฐฯ จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดพันธบัตรญี่ปุ่นและการไหลของเงินทุนระหว่างสองประเทศ
ความผันผวนในตลาดพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นจะยังคงเป็นลักษณะสำคัญของตลาดในช่วงถัดไป ตามที่นักวิเคราะห์จาก ING ได้เตือนไว้ นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและบางครั้งอาจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ สินทรัพย์ปลอดภัยเช่นพันธบัตรรัฐบาลเยอรมันอาจยังคงได้รับความต้องการในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนและการเทรด นักลงทุนควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงระหว่างพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเศรษฐกิจหลัก เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาดใดตลาดหนึ่ง การติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลเงินเฟ้อและตลาดแรงงาน จะช่วยให้คาดการณ์การตัดสินใจของธนาคารกลางเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทน (yield spread analysis) ระหว่างพันธบัตรของประเทศต่างๆ จะช่วยให้ระบุโอกาสในการทำกำไรจากความแตกต่างในนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยสรุป ตลาดพันธบัตรโลกกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่ท้าทายและน่าสนใจ การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการค้า ระดับหนี้สาธารณะ สภาวะเงินเฟ้อ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำทางผ่านความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นักลงทุนและเทรดเดอร์ที่สามารถวิเคราะห์และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจในสภาวะตลาดที่ท้าทายนี้