หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม 2025 ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีได้เผชิญกับความผันผวนครั้งใหญ่ โดย Bitcoin ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจนแตะระดับต่ำสุดที่ประมาณ 82,000 ดอลลาร์สหรัฐในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2024 การปรับตัวลดลงครั้งนี้มีสาเหตุหลักมาจากนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ประกาศในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ การไหลออกของเงินจากกองทุน Bitcoin ETF และการล้างพอร์ตของนักเทรดรายใหญ่
บทความนี้จะวิเคราะห์เชิงลึกถึงสาเหตุของวิกฤตตลาดคริปโตในช่วงที่ผ่านมา ผลกระทบระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญกับทิศทางตลาดคริปโต นอกจากนี้ ยังจะนำเสนอการวิเคราะห์ทางเทคนิคของ Bitcoin และ Ethereum เพื่อระบุแนวรับแนวต้านสำคัญและจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ
ในขณะที่ตลาดเผชิญกับความท้าทาย เราจะชี้ให้เห็นถึงโอกาสการลงทุนในตลาด Altcoin และแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเติบโต พร้อมทั้งรวบรวมเหตุการณ์สำคัญในเดือนมีนาคม 2025 ที่นักลงทุนควรจับตามอง และสรุปด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับสภาวะตลาดในปัจจุบัน ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
สาเหตุของการปรับฐานครั้งใหญ่
ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีได้เผชิญกับการปรับฐานครั้งใหญ่ซึ่งมีสาเหตุหลายประการที่เกี่ยวข้องกันอย่างซับซ้อน
ประการแรก การประกาศนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งประกอบด้วยการเก็บภาษีนำเข้า 25% จากประเทศแคนาดาและเม็กซิโก รวมถึงภาษี 10% สำหรับสินค้าจากประเทศจีน ได้สร้างความกังวลอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเงินเฟ้อและสงครามการค้าระหว่างประเทศที่อาจเกิดขึ้น นโยบายดังกล่าวทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่าจะเกิดปัญหาเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยงและหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
ประการที่สอง ในระยะเวลาเดียวกัน ตลาดคริปโตเผชิญกับการไหลออกของเงินจากกองทุน Bitcoin ETF อย่างมีนัยสำคัญ นับตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 มีเงินไหลออกจากกองทุน Bitcoin ETF มากกว่า 1.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ มีเงินไหลออกในวันเดียวถึง 516.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ การไหลออกของเงินจากกองทุน ETF เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่านักลงทุนสถาบันเริ่มลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของตน
ประการที่สาม จากสองปัจจัยข้างต้นทำให้ราคา Bitcoin เริ่มปรับตัวลง ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการล้างพอร์ตของนักเทรดที่ใช้เลเวอเรจสูง ข้อมูลจาก CoinGlass แสดงว่าในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากราคาเริ่มปรับตัวลง มีการชำระบัญชี (Liquidation) ของสัญญาฟิวเจอร์สของ Bitcoin มูลค่าถึง 516.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นมูลค่าการชำระบัญชีสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567
ประการสุดท้าย ในช่วงก่อนหน้านี้ Bitcoin อยู่ในจุดวิกฤติหลังจากการซื้อขายในช่วงระยะเวลาเกือบ 90 วันระหว่างระดับราคา 91,000 และ 102,000 ดอลลาร์สหรัฐ การรวมตัวที่ยาวนานนี้แสดงให้เห็นถึงการขาดโมเมนตัมที่จำเป็นสำหรับการทะลุแนวต้านอย่างยั่งยืน และเมื่อแรงซื้อลดลง แรงขายจึงเข้ามามีอิทธิพลเหนือตลาด ทำให้ราคาปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
เคราะห์การล้างพอร์ตและผลกระทบระยะสั้น
การล้างพอร์ตครั้งใหญ่ในตลาดคริปโตได้สร้างผลกระทบระยะสั้นที่รุนแรง โดย Bitcoin ร่วงลงอย่างต่อเนื่องจนแตะระดับประมาณ 82,000 ดอลลาร์สหรัฐในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2024 การลดลงนี้คิดเป็นประมาณ 19% จากระดับสูงสุดที่เคยทำได้ที่ 101,500 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์
การล้างพอร์ตมีลักษณะเป็นลูกโซ่ โดยเมื่อราคาลดลงจนถึงจุดหนึ่ง จะเกิดการขายที่ถูกกระตุ้นโดยคำสั่ง Stop Loss และการบังคับชำระบัญชีที่ดำเนินการโดยระบบอัตโนมัติ ซึ่งยิ่งกดดันให้ราคาลดลงไปอีก การล้างพอร์ตแบบลูกโซ่นี้ทำให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาด และสร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนรายย่อยที่ไม่คุ้นเคยกับสภาวะตลาดเช่นนี้
ผลกระทบระยะสั้นที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการลดลงของสภาพคล่องในตลาด เนื่องจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขายหลายรายต่างระมัดระวังมากขึ้นในการเข้าร่วมตลาด สภาพคล่องที่ลดลงนี้ยิ่งทำให้ความผันผวนของราคาเพิ่มสูงขึ้น เพราะคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่มีผลกระทบต่อราคามากขึ้นกว่าปกติ
นอกจากนี้ การล้างพอร์ตยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะสั้น โดยดัชนี Fear & Greed Index ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความกลัวและความโลภในตลาดคริปโต ได้ปรับตัวลงสู่ระดับ “ความกลัวขั้นสูง” ในช่วงวิกฤต แสดงถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงอย่างรุนแรงของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ราคา Bitcoin ร่วงลงอย่างรุนแรง ราคาได้กลับมาฟื้นตัวบางส่วนในวันที่ 1 มีนาคม 2025 โดยอยู่ที่ระดับ 85,908.9 ดอลลาร์ ลดลงเพียง 0.19% จากวันก่อนหน้า แสดงให้เห็นว่าตลาดเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ว่าจะยังคงอยู่ในภาวะผันผวนและยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่จากการปรับตัวลงในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์
ผลกระทบต่อตลาดในระยะยาว
แม้ว่าการล้างพอร์ตและการปรับฐานในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2025 จะสร้างความเสียหายในระยะสั้น แต่เหตุการณ์ดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อพัฒนาการของตลาดคริปโตในระยะยาวในหลายด้าน
ประการแรก การล้างพอร์ตครั้งนี้เปรียบเสมือนการปรับสมดุลตลาดที่จำเป็น เนื่องจากช่วยกำจัดนักเก็งกำไรที่ใช้เลเวอเรจสูงเกินไปออกจากตลาด โดยทั่วไปแล้ว นักเก็งกำไรเหล่านี้มักเป็นผู้สร้างความผันผวนให้กับตลาด เมื่อพวกเขาถูกกำจัดออกไป จะทำให้ตลาดเข้าสู่ภาวะที่มีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะยาว ผู้เล่นที่เหลืออยู่มักเป็นนักลงทุนที่มีความเข้าใจและมีวินัยมากกว่า ซึ่งเป็นผลดีต่อเสถียรภาพของตลาดโดยรวม
ประการที่สอง การล้างพอร์ตได้สร้างโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวได้เข้าซื้อในราคาที่ถูกลง นักวิเคราะห์หลายรายมองว่านี่เป็น “ช่วงเวลาทอง” สำหรับการสะสมสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อผลตอบแทนในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าในอดีตตลาดคริปโตมักฟื้นตัวกลับมาแข็งแกร่งขึ้นหลังจากเผชิญวิกฤต การลงทุนในช่วงตลาดปรับฐานสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวสำหรับนักลงทุนที่มีความอดทนและวินัย
ประการที่สาม วิกฤตคริปโตครั้งนี้ส่งผลให้นักลงทุนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเฉพาะการลดการใช้เลเวอเรจที่สูงเกินไป ผู้เชี่ยวชาญในตลาดคริปโต เช่น Peter Brandt ได้แนะนำให้นักลงทุนใช้ Stop-Loss เพื่อลดความเสี่ยง หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจสูง และมุ่งเน้นเป้าหมายระยะยาวแทนการขายในภาวะตื่นตระหนก นอกจากนี้ นักลงทุนหลายรายเริ่มหันมาใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา วิธีนี้ช่วยให้นักลงทุนได้ครอบครองเหรียญในราคาเฉลี่ยตามระยะเวลาที่ซื้อ ลดผลกระทบจากการ “ติดดอย” หรือซื้อในราคาที่สูงเกินไป
ประการที่สี่ เหตุการณ์ล้างพอร์ตครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่สำคัญ โดย Donald Trump ได้แต่งตั้ง David Sacks เป็นผู้ดูแลด้าน AI และคริปโต เพื่อร่างกฎหมายและสร้างความชัดเจนให้กับอุตสาหกรรม การพัฒนากรอบกฎหมายที่ชัดเจนนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนสถาบันและรายย่อยในระยะยาว และมีส่วนช่วยให้ตลาดคริปโตมีความเป็นระเบียบมากขึ้น
แม้จะเกิดการล้างพอร์ตครั้งใหญ่ แต่ข้อมูลจาก CoinMarketCap ระบุว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนใน Bitcoin ยังคงอยู่ที่ฝั่งแนวโน้มขาขึ้นถึง 80% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมองว่าคริปโตเคอร์เรนซีเป็นโอกาสการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง และนักลงทุนสถาบันยังคงเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องในช่วงราคาลงทดสอบแนวรับ
นโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์
นโยบายภาษีนำเข้าใหม่ที่ประกาศโดยประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตเคอร์เรนซีอย่างมีนัยสำคัญ มาตรการเก็บภาษีนำเข้า 25% จากแคนาดาและเม็กซิโก รวมถึงภาษี 10% สำหรับสินค้าจีนได้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและสงครามการค้าระหว่างประเทศ
เมื่อพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายภาษีนำเข้าและตลาดคริปโต เราพบว่ามีผลกระทบในหลายมิติ ประการแรก การขึ้นภาษีนำเข้าอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากต้นทุนสินค้านำเข้าที่สูงขึ้นมักจะถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภค ในภาวะเงินเฟ้อสูง นักลงทุนมักหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยงเช่น Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงเทขายในตลาด
ประการที่สอง นโยบายภาษีนำเข้าสร้างความไม่แน่นอนให้กับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ความไม่แน่นอนนี้ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่าสินทรัพย์เสี่ยง ส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนจากตลาดคริปโต โดยเฉพาะเมื่อมาพร้อมกับการไหลออกจากกองทุน Bitcoin ETF ในช่วงเวลาเดียวกัน
ประการที่สาม มาตรการภาษีนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดคริปโตกำลังพยายามทะลุระดับแนวต้านสำคัญ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อน การประกาศนโยบายที่สร้างความกังวลเรื่องเศรษฐกิจในจังหวะนี้จึงเป็นแรงกดดันสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง
ในวันที่ 3 มีนาคม 2568 ได้มีการเริ่มเจรจาเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับประเทศที่ได้รับผลกระทบ ผลของการเจรจานี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดและทิศทางของสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงคริปโตในระยะต่อไป หากการเจรจาเป็นไปด้วยดีและมีการผ่อนปรนมาตรการภาษี อาจส่งผลบวกต่อตลาดคริปโตและช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
ตัวเลขการจ้างงาน (NFP) กับทิศทางตลาดคริปโต
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls – NFP) และอัตราการว่างงานของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ตัวเลขดังกล่าวที่เปิดเผยในวันที่ 7 มีนาคม 2568 เวลา 20.30 น. ตามเวลาไทย ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก
นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จะเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 156,000 ตำแหน่ง จากเดือนมกราคมที่เพิ่มขึ้นเพียง 143,000 ตำแหน่ง ซึ่งตัวเลขในเดือนมกราคมนั้นต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 169,000 ตำแหน่ง การเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานมีผลต่อตลาดคริปโตในหลายด้าน
ประการแรก ตัวเลขการจ้างงานส่งผลโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของราคาคริปโต ดังที่เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อการประกาศตัวเลขการจ้างงานสามารถผลักดันราคา Bitcoin จากระดับ $96,000 ให้พุ่งขึ้นแตะระดับ $100,000 ได้ชั่วคราว การเคลื่อนไหวของราคาในลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวของตลาดคริปโตต่อข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค
ประการที่สอง ผลต่อนโยบายการเงินของเฟด ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งมักส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงหรือพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งมีส่วนทำให้เศรษฐกิจร้อนแรงขึ้น ส่งผลให้เงินเฟ้อลงมาสู่ระดับเป้าหมาย 2% ของ Fed ได้ยากขึ้น การคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และกดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโต
ประการที่สาม ตัวเลขการจ้างงานที่ดีกว่าคาดจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดคริปโตในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม หากตัวเลขแข็งแกร่งเกินไป อาจทำให้เกิดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลลบต่อตลาดคริปโตในระยะยาว
ประการที่สี่ ในทางกลับกัน หากตัวเลขการจ้างงานออกมาแย่กว่าคาด อาจนำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะทำให้นักลงทุนถอนเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงคริปโต แต่ในขณะเดียวกัน อาจเพิ่มโอกาสที่ Fed จะผ่อนคลายนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดคริปโตในระยะกลางถึงยาว
นักลงทุนคริปโตควรติดตามตัวเลขการจ้างงานอย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางของตลาดในระยะสั้น และอาจต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นหลังการประกาศตัวเลขดังกล่าว
นโยบายการเงินของเฟดและผลกระทบ
นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve หรือ Fed) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงตลาดคริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดกำลังเผชิญกับความผันผวน การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการเงินของเฟดและการเคลื่อนไหวของตลาดคริปโตจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุน
ในช่วงปัจจุบัน เฟดยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเงินเฟ้อจะเริ่มมีแนวโน้มลดลงแล้วก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่สูงส่งผลให้ต้นทุนเงินทุนในตลาดสูงขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะส่งผลลบต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงคริปโตเคอร์เรนซี เนื่องจากนักลงทุนมักจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่และมีความเสี่ยงน้อยกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
การสิ้นสุดโครงการสินเชื่อระยะยาวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Bank Term Funding Program – BTFP) ในวันที่ 11 มีนาคม 2568 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม BTFP เป็นโครงการที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบธนาคารในช่วงที่เกิดวิกฤตธนาคารในปี 2566 การสิ้นสุดโครงการนี้อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของระบบการเงิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อตลาดคริปโต
นอกจากนี้ ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index – CPI) ที่จะเผยแพร่ในวันที่ 12 มีนาคม 2568 จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อนโยบายทางการเงินของเฟดในอนาคต หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด อาจทำให้เฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป ซึ่งจะยังคงส่งผลกดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโต
ในทางกลับกัน หากมีสัญญาณที่ชัดเจนว่าเฟดจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินและลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดคริปโต เนื่องจากจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังที่ได้เห็นในช่วงที่ผ่านมา เมื่อมีความคาดหวังว่าเฟดจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 ราคาสินทรัพย์คริปโตมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น
แนวรับแนวต้านสำคัญของ Bitcoin
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของ Bitcoin มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกำหนดจุดเข้าซื้อและขายที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นในปัจจุบัน จากการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา เราสามารถระบุแนวรับแนวต้านสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามได้ดังนี้
ในด้านแนวรับ ระดับราคาที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันคือบริเวณ 82,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดที่ Bitcoin เคยลงไปทดสอบในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 แนวรับนี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นระดับที่มีปริมาณการซื้อขายสูง และราคาสามารถฟื้นตัวจากระดับนี้ได้ในอดีต หากราคา Bitcoin หลุดแนวรับนี้ลงไป แนวรับถัดไปที่สำคัญคือระดับ 73,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจุดที่มีความสำคัญทางจิตวิทยาและเป็นระดับ Fibonacci Retracement ที่ 0.618 เมื่อวัดจากการปรับตัวขึ้นครั้งล่าสุด
ในส่วนของแนวต้าน ระดับราคาที่สำคัญที่นักลงทุนควรติดตามคือ 88,500 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่ Bitcoin เคยปรับตัวขึ้นไปทดสอบหลังจากการปรับฐานครั้งใหญ่ หากราคาสามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ แนวต้านถัดไปที่สำคัญคือระดับ 95,000 ดอลลาร์สหรัฐ และหลังจากนั้นคือระดับจิตวิทยาสำคัญที่ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่เคยทำได้มาก่อน
การวิเคราะห์รูปแบบทางเทคนิคพบว่า Bitcoin กำลังอยู่ในรูปแบบ “Bull Flag” หรือธงกระทิง ซึ่งเป็นรูปแบบการพักตัวหลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างแรง โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบนี้มักจะส่งผลให้ราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อหลังจากการพักตัวเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรรอสัญญาณยืนยันจากปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เพิ่มขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจเข้าซื้อ
นอกจากนี้ อัตราส่วน MVRV (Market Value to Realized Value) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้เปรียบเทียบมูลค่าตลาดของ Bitcoin กับมูลค่าที่นักลงทุนได้รับจริง กำลังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยหากต่ำกว่า 1.5 อาจเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าซื้อ Bitcoin เนื่องจากในอดีตเมื่ออัตราส่วนนี้อยู่ในระดับต่ำ มักจะเป็นสัญญาณของการซื้อที่มีความคุ้มค่า
แนวโน้มราคา Ethereum หลังการอัปเกรดเครือข่าย
Ethereum กำลังเตรียมตัวสำหรับการอัปเกรดเครือข่ายครั้งสำคัญที่เรียกว่า “Dencun” ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 13 มีนาคม 2568 การอัปเกรดนี้มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพ การปรับขนาด และความปลอดภัยของเครือข่าย ผ่านข้อเสนอการปรับปรุง Ethereum (EIP) ต่างๆ รวมถึง EIP-4844 ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับธุรกรรมของเครือข่าย
จากมุมมองทางเทคนิค Ethereum กำลังซื้อขายในช่วงราคา 3,500 – 4,200 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่มีปริมาณการซื้อขายสูงในอดีต หากราคาหลุดแนวรับนี้ลงไป แนวรับถัดไปที่สำคัญคือระดับ 3,200 ดอลลาร์สหรัฐ
ในส่วนของแนวต้าน ระดับราคาที่สำคัญสำหรับ Ethereum คือ 4,200 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่ทำได้ในช่วงที่ผ่านมา หากราคาสามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ แนวต้านถัดไปที่สำคัญคือระดับ 4,500 ดอลลาร์สหรัฐ และหลังจากนั้นคือระดับจิตวิทยาสำคัญที่ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ
โดยทั่วไปแล้ว การอัปเกรดเครือข่ายมักจะส่งผลบวกต่อราคาของ Ethereum โดยเฉพาะหากการอัปเกรดเป็นไปอย่างราบรื่นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน การอัปเกรด “Dencun” นี้คาดว่าจะช่วยลดค่าธรรมเนียมธุรกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่าย ซึ่งอาจส่งผลให้มีการใช้งานเครือข่าย Ethereum เพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาในระยะกลางถึงยาว
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักถึงแนวโน้ม “ซื้อตามข่าวลือ ขายตามข่าวจริง” (Buy the rumor, sell the news) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่พบบ่อยในตลาดคริปโต โดยราคามักจะปรับตัวขึ้นก่อนเหตุการณ์สำคัญ และอาจปรับตัวลดลงหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ดังนั้น นักลงทุนควรระมัดระวังและพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย
ดัชนีชี้วัดทางเทคนิคที่ควรติดตาม
ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของ Bitcoin และ Ethereum มีดัชนีชี้วัดทางเทคนิคหลายตัวที่นักลงทุนควรติดตามเพื่อประเมินทิศทางของตลาดและหาจังหวะเข้าซื้อขายที่เหมาะสม
ดัชนีชี้วัดแรกที่ควรติดตามคือ Relative Strength Index (RSI) ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มราคาและระบุสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) ในปัจจุบัน RSI ของ Bitcoin อยู่ในระดับประมาณ 40-45 ซึ่งยังไม่ถึงระดับขายมากเกินไป (ต่ำกว่า 30) แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับซื้อมากเกินไป (สูงกว่า 70) ดังนั้นจึงยังมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลงหรือขึ้นได้
ดัชนีชี้วัดที่สองคือ Moving Average Convergence Divergence (MACD) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดโมเมนตัมและการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม ในปัจจุบัน MACD ของ Bitcoin แสดงสัญญาณการตัดกันของเส้น MACD และเส้น Signal Line ในทิศทางขาขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรรอการยืนยันจากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นด้วย
ดัชนีชี้วัดที่สามคือ Bollinger Bands ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความผันผวนและระบุระดับราคาที่อาจเกิดการกลับตัว ในปัจจุบัน ราคา Bitcoin กำลังเคลื่อนตัวใกล้กับขอบล่างของ Bollinger Bands ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวขึ้นในระยะสั้น หากมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ร่วมด้วย
นอกจากนี้ ข้อมูล Realized Cap HODL Wave ซึ่งแสดงพฤติกรรมของนักลงทุนที่ถือ Bitcoin ไว้เป็นระยะเวลาต่างๆ เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่น่าสนใจ ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่านักลงทุนระยะยาว (HODL) ยังคงถือครอง Bitcoin ของตนไว้แม้ว่าราคาจะปรับตัวลดลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบวกสำหรับแนวโน้มราคาในระยะยาว
สุดท้าย Bitcoin Open Interest ซึ่งแสดงถึงมูลค่ารวมของสัญญาฟิวเจอร์สที่เปิดอยู่ในตลาด กำลังอยู่ในแนวโน้มขาลง แสดงให้เห็นถึงการลดความเสี่ยงของนักลงทุนอย่างชัดเจน ซึ่งอาจมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค การติดตาม Open Interest จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจแรงกดดันในตลาดและคาดการณ์ความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น
แนวโน้มการเติบโตของ Ethereum และ Layer 2
ในขณะที่ Bitcoin ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา Ethereum กลับมีบทบาทสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยเฉพาะในปี 2025 ที่มีแนวโน้มเป็น “ปีของ Altcoin Cycle” อย่างเต็มตัว
Ethereum กำลังเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาโซลูชัน Layer 2 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับธุรกรรม (Scalability) และลดค่าธรรมเนียมธุรกรรม (Gas Fees) บนเครือข่าย Ethereum โดยโซลูชัน Layer 2 ที่โดดเด่น เช่น Arbitrum, Optimism และ zkSync กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถรองรับธุรกรรมได้มากขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง
การอัปเกรดเครือข่าย Ethereum “Dencun” ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 13 มีนาคม 2568 มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดค่าธรรมเนียมของโซลูชัน Layer 2 ผ่านข้อเสนอการปรับปรุง EIP-4844 ซึ่งจะนำเสนอแนวคิด “Proto-Danksharding” ที่ช่วยเพิ่มพื้นที่สำหรับข้อมูลในแต่ละบล็อกของ Ethereum โดยไม่เพิ่มภาระให้กับโหนดในเครือข่าย
นักพัฒนาจำนวนมากกำลังเข้ามาพัฒนาแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (Decentralized Applications หรือ Dapps) บนระบบนิเวศของ Ethereum มากขึ้น หลังจากที่ปีที่ผ่านมาตลาดเป็น Cycle ของ Bitcoin, Meme coin และ Solana เป็นหลัก การเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการพัฒนานี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเติบโตในระยะยาวของ Ethereum และระบบนิเวศโดยรวม
สำหรับนักลงทุน โอกาสทางการลงทุนในระบบนิเวศของ Ethereum มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการลงทุนใน ETH โดยตรง การลงทุนในโทเคนของโปรโตคอล Layer 2 หรือการลงทุนในโครงการ DeFi ที่สร้างบนเครือข่าย Ethereum การติดตามพัฒนาการและการอัปเกรดของเครือข่ายอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุโอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพได้ล่วงหน้า
นวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่และ RWA
หนึ่งในเทรนด์ที่น่าจับตามองในตลาดคริปโตปี 2025 คือการเติบโตของสินทรัพย์จริง (Real World Assets – RWA) ที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีบล็อกเชน RWA เป็นการนำสินทรัพย์ในโลกจริง เช่น อสังหาริมทรัพย์ พันธบัตร หรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ มาแปลงเป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน ทำให้สินทรัพย์เหล่านี้สามารถซื้อขายและส่งต่อได้อย่างง่ายดายในรูปแบบดิจิทัล
ตัวอย่างที่น่าสนใจของนวัตกรรมในด้านนี้คือ Ondo Finance ที่ให้บริการแพลตฟอร์มทางการเงินเชื่อมต่อนักลงทุนเข้าถึงตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ แบบ On-chain ทำให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยน Stablecoin กับพันธบัตรได้สะดวกยิ่งขึ้น นวัตกรรมเช่นนี้ช่วยเชื่อมโยงระบบการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Finance) เข้ากับระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance) ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้าสู่กระแสหลัก
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนา Stablecoin รูปแบบใหม่ที่อิงกับสินทรัพย์จริงมากขึ้น เช่น Stablecoin ที่อิงกับทองคำ หรือกลุ่มสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Diversified Asset Basket) แทนที่จะอิงกับสกุลเงินเพียงสกุลเดียว Stablecoin เหล่านี้มีเสถียรภาพมากกว่าและมีความเสี่ยงกระจายตัวดีกว่า ซึ่งอาจดึงดูดนักลงทุนสถาบันที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่ง
สำหรับนักลงทุน การลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ RWA อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้ที่มั่นคง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาและเข้าใจโครงสร้างของโครงการ รูปแบบการทำงาน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
โอกาสการลงทุนใน DeFi และโครงการที่เชื่อมโยงกับ AI
การเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance หรือ DeFi) ยังคงเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่น่าจับตามองในตลาดคริปโต โดยเฉพาะในปี 2025 ที่ DeFi กำลังเปลี่ยนจากการแข่งขันด้านผลตอบแทนจากการ Yield Farming มาเป็นการแข่งขันที่รายได้จริง (Real Revenue) เป็นหลัก
แพลตฟอร์ม DeFi ที่น่าสนใจเช่น Aave กำลังพัฒนาฟีเจอร์และบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ และสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับระบบ Aave เป็นหนึ่งในโปรโตคอล DeFi ที่มีปริมาณสินทรัพย์ล็อค (Total Value Locked – TVL) สูงที่สุด และมีแผนการพัฒนาที่ชัดเจนสำหรับการขยายบริการในอนาคต
ความชัดเจนด้านกฎระเบียบและนโยบายคริปโตในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นช่วยสร้างโอกาสของกลุ่มการเงินแบบกระจายศูนย์ โดยเฉพาะหลังจากที่ Donald Trump ได้แต่งตั้ง David Sacks เป็นผู้ดูแลด้าน AI และคริปโต เพื่อร่างกฎหมายและสร้างความชัดเจนให้กับอุตสาหกรรม กฎระเบียบที่ชัดเจนจะช่วยลดความไม่แน่นอนและส่งเสริมการลงทุนในภาคส่วนนี้
นอกจากนี้ เทรนด์ที่น่าจับตาอีกประการหนึ่งคือการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในตลาดคริปโต โดยเฉพาะ AI Agent ที่สามารถวิเคราะห์และซื้อขายเหรียญคริปโตได้โดยอัตโนมัติ รวมถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์และมูลค่าระหว่างกันผ่านระบบบล็อกเชน
โครงการที่เชื่อมโยงระหว่าง AI และบล็อกเชนกำลังได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากสามารถนำจุดแข็งของทั้งสองเทคโนโลยีมาสร้างนวัตกรรมและแก้ไขปัญหาในโลกจริงได้ ตัวอย่างเช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลบนบล็อกเชนเพื่อระบุแนวโน้มและรูปแบบที่ซับซ้อน หรือการใช้บล็อกเชนในการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับโมเดล AI
สำหรับนักลงทุน การพิจารณาลงทุนในโครงการ DeFi ที่มีรายได้จริงที่แข็งแกร่ง และโครงการที่เชื่อมโยงกับ AI อาจเป็นโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรทำการวิจัยอย่างละเอียดและลงทุนเฉพาะในโครงการที่มีทีมพัฒนาที่แข็งแกร่ง แผนธุรกิจที่ชัดเจน และการใช้งานจริงที่สามารถพิสูจน์ได้
การอัปเกรดเครือข่าย Ethereum “Dencun”
การอัปเกรดเครือข่าย Ethereum ที่รู้จักในชื่อ “Dencun” ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 13 มีนาคม 2568 ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่นักลงทุนคริปโตควรติดตามอย่างใกล้ชิด การอัปเกรดครั้งนี้รวมการปรับปรุงสำคัญหลายประการที่จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและความสามารถของเครือข่าย Ethereum โดยรวม
องค์ประกอบหลักของการอัปเกรด “Dencun” คือ EIP-4844 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Proto-Danksharding” ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงความสามารถในการรองรับธุรกรรม (Scalability) ของ Ethereum EIP-4844 จะนำเสนอแนวคิด “Blob transactions” ซึ่งเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่ใช้สำหรับโซลูชัน Layer 2 โดยเฉพาะ โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในบล็อกเชนเพียงชั่วคราว ทำให้ลดภาระของเครือข่ายและลดค่าธรรมเนียมธุรกรรม (Gas Fees) ลงอย่างมีนัยสำคัญ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการอัปเกรดนี้จะช่วยลดค่าธรรมเนียมธุรกรรมบน Layer 2 ลงได้ถึง 10-100 เท่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อการใช้งานและการยอมรับ Ethereum ในวงกว้าง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้รายย่อยที่อาจไม่สามารถรับภาระค่าธรรมเนียมสูงได้ การลดค่าธรรมเนียมนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการทำธุรกรรมจำนวนมาก เช่น เกมบล็อกเชน และแพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi)
สำหรับนักลงทุน การอัปเกรด “Dencun” อาจส่งผลต่อราคาของ Ethereum และโทเคนที่เกี่ยวข้องกับโซลูชัน Layer 2 เช่น Arbitrum (ARB), Optimism (OP) และอื่นๆ โดยทั่วไปแล้ว การอัปเกรดเครือข่ายที่สำคัญมักจะส่งผลบวกต่อราคาในระยะกลางถึงยาว หากการอัปเกรดเป็นไปอย่างราบรื่นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการอัปเกรดเครือข่าย เช่น ปัญหาทางเทคนิคที่อาจส่งผลกระทบต่อความเสถียรของระบบชั่วคราว
การประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกของ FTX
การประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกของ FTX
การประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกของ FTX ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 มีนาคม 2568 เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตในวงกว้าง การประชุมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการชำระบัญชี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการชำระบัญชีอย่างเป็นทางการของ FTX หลังจากที่บริษัทประกาศล้มละลายในปี 2565
ความสำคัญของการประชุมนี้อยู่ที่การกำหนดแผนการจ่ายคืนเงินให้กับเจ้าหนี้และนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากการล้มละลายของ FTX รวมถึงการจัดการกับสินทรัพย์ที่เหลืออยู่ของบริษัท ซึ่งรวมถึงสินทรัพย์คริปโตจำนวนมาก ผลของการประชุมนี้อาจส่งผลต่อตลาดคริปโตในวงกว้าง โดยเฉพาะหากมีการตัดสินใจขายสินทรัพย์คริปโตจำนวนมากเพื่อชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้
นอกจากนี้ การประชุมดังกล่าวยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของเจ้าหนี้และเงินที่พวกเขาอาจได้รับคืน ข้อมูลนี้จะช่วยลดความไม่แน่นอนในตลาดและอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่ออุตสาหกรรมคริปโตโดยรวม
สำหรับนักลงทุน การติดตามผลการประชุมนี้จะช่วยให้เข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อตลาดในระยะสั้น โดยเฉพาะหากมีการขายสินทรัพย์คริปโตในปริมาณมาก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านราคาในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การแก้ไขปัญหาการล้มละลายของ FTX อย่างเป็นระบบจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับอุตสาหกรรมคริปโตและเป็นการปูทางสำหรับการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งขึ้น
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ
ในช่วงเดือนมีนาคม 2568 มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่นักลงทุนคริปโตควรติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อนโยบายการเงินและความเชื่อมั่นของตลาด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อตลาดคริปโต
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls – NFP) และอัตราการว่างงานของสหรัฐอเมริกาที่เปิดเผยในวันที่ 7 มีนาคม 2568 เป็นข้อมูลสำคัญชุดแรกที่นักลงทุนควรติดตาม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกุมภาพันธ์จะเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 156,000 ตำแหน่ง จากเดือนมกราคมที่เพิ่มขึ้นเพียง 143,000 ตำแหน่ง ตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) พิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป ซึ่งอาจกดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโต
ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index – CPI) ที่จะเผยแพร่ในวันที่ 12 มีนาคม 2568 เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดสำคัญที่จะมีผลต่อนโยบายการเงินของเฟดในอนาคต หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด อาจทำให้เฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป ซึ่งจะยังคงส่งผลกดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโต
นอกจากนี้ การสิ้นสุดโครงการสินเชื่อระยะยาวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Bank Term Funding Program – BTFP) ในวันที่ 11 มีนาคม 2568 เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในระบบการเงิน BTFP เป็นโครงการที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบธนาคารในช่วงที่เกิดวิกฤตธนาคารในปี 2566 การสิ้นสุดโครงการนี้อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของระบบการเงิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อตลาดคริปโต
สุดท้าย การประชุมด้านเทคโนโลยี GPU ของ NVIDIA ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม 2568 เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่อาจส่งผลต่อตลาดคริปโต โดยเฉพาะสกุลเงินที่ยังใช้ระบบฉันทามติแบบ Proof-of-Work NVIDIA อาจมีการประกาศความก้าวหน้าในเทคโนโลยี GPU รุ่นใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและต้นทุนในการขุดคริปโต รวมถึงการประเมินมูลค่าของคริปโตที่เกี่ยวข้องกับการขุด
กลยุทธ์การเทรดระยะสั้น (1-2 สัปดาห์)
ในช่วงที่ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูงเช่นในปัจจุบัน การวางกลยุทธ์การเทรดระยะสั้นที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อใช้ประโยชน์จากความผันผวนและลดความเสี่ยงจากการลงทุน
กลยุทธ์ระยะสั้นที่ควรพิจารณาในช่วงนี้คือการเทรดตามแนวรับแนวต้านที่ชัดเจน สำหรับ Bitcoin ควรพิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาลงมาทดสอบแนวรับที่ 82,000-83,000 ดอลลาร์สหรัฐ และตั้งเป้าทำกำไรที่แนวต้านระดับ 88,500 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่มีแรงต้านในช่วงที่ผ่านมา ควรตั้ง Stop Loss ที่ประมาณ 5-7% ต่ำกว่าราคาเข้าซื้อ เพื่อจำกัดความเสียหายในกรณีที่ราคาปรับตัวลดลงต่อ
สำหรับ Ethereum ควรพิจารณาเข้าซื้อก่อนการอัปเกรด “Dencun” ในวันที่ 13 มีนาคม โดยเฉพาะเมื่อราคาลงมาทดสอบแนวรับที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐ และตั้งเป้าทำกำไรที่แนวต้านระดับ 4,200 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ควรระวังปรากฏการณ์ “ซื้อตามข่าวลือ ขายตามข่าวจริง” ที่อาจเกิดขึ้นหลังการอัปเกรดเครือข่าย
นอกจากนี้ การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการเทรดระยะสั้น ควรใช้ Position Size ที่เหมาะสม โดยไม่ควรเกิน 2-3% ของพอร์ตโฟลิโอทั้งหมดสำหรับแต่ละการเทรด เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด และควรหลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจที่สูงเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การล้างพอร์ตหากราคาเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามคาดการณ์
กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน)
สำหรับการลงทุนในระยะกลาง 1-3 เดือน นักลงทุนควรพิจารณากลยุทธ์ที่สมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตของ Altcoin ในปี 2025 และการจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
กลยุทธ์ที่แนะนำในช่วงนี้คือการสะสม Ethereum และ XRP ในช่วงราคาลงทดสอบแนวรับสำคัญ โดยเฉพาะ Ethereum ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากการพัฒนาโซลูชัน Layer 2 และแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (Dapps) ในขณะที่ XRP มีปัจจัยหนุนจากความคืบหน้าของการยื่นขออนุมัติ XRP ETF และการใช้งานจริงกับพันธมิตรทางธุรกิจหลายราย
นอกจากนี้ ควรพิจารณาการลงทุนในโครงการ DeFi ที่มีรายได้จริง (Real Revenue) ที่แข็งแกร่ง เช่น Aave และโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Real World Assets (RWA) ที่เชื่อมโยงกับ Stablecoin รูปแบบใหม่ เช่น Ondo Finance ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะกลาง
การจัดการความเสี่ยงในการลงทุนระยะกลางควรเน้นที่การกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง และควรใช้กลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging (DCA) โดยทยอยซื้อสินทรัพย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดและได้ราคาเฉลี่ยที่ดีในระยะยาว
แนวทางการลงทุนระยะยาวและการจัดการความเสี่ยง
การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีระยะยาว (6-12 เดือนขึ้นไป) ควรมุ่งเน้นที่การลงทุนในโครงการที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว โดยไม่ให้ความสำคัญกับความผันผวนในระยะสั้นมากเกินไป
สำหรับการลงทุนระยะยาว ควรพิจารณาเลือกลงทุนในโครงการที่เชื่อมโยงกับ Real World Assets (RWA) และเทคโนโลยี AI ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะยาว รวมถึงการสะสม Bitcoin ในช่วงตลาดปรับฐาน ซึ่งมักให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวสำหรับนักลงทุนที่มีความอดทนและวินัย
การจัดการความเสี่ยงในการลงทุนระยะยาวควรเน้นที่การลงทุนเฉพาะเงินที่ยอมรับความเสี่ยงได้ และไม่ควรลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันหรือเงินออมเพื่อความมั่นคงในอนาคต นอกจากนี้ ควรติดตามพัฒนาการด้านกฎระเบียบอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายและนโยบายการกำกับดูแลอาจส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตในระยะยาว
สุดท้าย การทบทวนและปรับพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าพอร์ตการลงทุนยังคงสอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การทบทวนพอร์ตทุก 3-6 เดือนและปรับสัดส่วนการลงทุนตามความเหมาะสมจะช่วยให้การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในระยะยาว
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม 2025 ได้เผชิญกับความผันผวนครั้งใหญ่ ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ การไหลออกของเงินจากกองทุน Bitcoin ETF และการล้างพอร์ตของนักเทรด อย่างไรก็ตาม การปรับฐานครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองการณ์ไกล ในการเข้าซื้อสินทรัพย์คริปโตในราคาที่น่าสนใจ
ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น การจ้างงานนอกภาคเกษตรและดัชนีราคาผู้บริโภค มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของตลาดคริปโต การติดตามปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิดจะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์แนวโน้มตลาดและวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค Bitcoin มีแนวรับสำคัญที่ระดับ 82,000-83,000 ดอลลาร์สหรัฐ และแนวต้านที่ 88,500 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ Ethereum มีแนวรับที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐ และแนวต้านที่ 4,200 ดอลลาร์สหรัฐ การอัปเกรดเครือข่าย Ethereum “Dencun” ในวันที่ 13 มีนาคม 2568 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลต่อราคาของ Ethereum และโทเคนที่เกี่ยวข้องกับโซลูชัน Layer 2
ปี 2025 มีแนวโน้มเป็นปีของ Altcoin Cycle โดยมีการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ เช่น Real World Assets (RWA) และการประยุกต์ใช้ AI ในตลาดคริปโต นักลงทุนควรพิจารณาโอกาสการลงทุนในโครงการที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว
การวางกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมถึงการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดคริปโต และสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว การลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจ มีวินัย และความอดทน รวมถึงการกระจายการลงทุน เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการลงทุนในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี
ในท้ายที่สุด แม้ว่าตลาดคริปโตจะมีความผันผวนสูง แต่แนวโน้มการยอมรับและการใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชนในวงกว้างยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจพื้นฐานของเทคโนโลยีและปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาด จะช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุโอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพ และสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล