หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่ 24-28 กุมภาพันธ์ 2025 แสดงให้เห็นถึงความผันผวนสูงในหลายภาคส่วน เนื่องจากนักลงทุนพยายามประเมินผลกระทบจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ทั้งนโยบายการเงินที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่องในประเทศเศรษฐกิจหลัก การประกาศมาตรการภาษีการค้าใหม่ของสหรัฐอเมริกา และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรง
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง 1.7% ตลอดทั้งสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาสูงกว่าคาดและผลประกอบการของบริษัทชั้นนำอย่าง Walmart ที่ต่ำกว่าความคาดหมาย ในขณะที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ เห็นการเพิ่มขึ้นของความต้องการ สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ลดลง 10 basis points มาอยู่ที่ 3.7% ซึ่งบ่งชี้ถึงการแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน
ในตลาดสกุลเงิน ดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ส่งสัญญาณว่าจะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยจากเดิมที่คาดว่าจะมี 2-3 ครั้งในปีนี้ เหลือเพียง 1 ครั้ง (คาดการณ์ในเดือนกันยายน) เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย ส่วนคู่เงิน EUR/USD แข็งค่าขึ้น 0.8% หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points ต่อไตรมาสเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำปรับตัวขึ้น 2.5% ในสัปดาห์นี้ จากบทบาทการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven) ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะการเตรียมรับมือการโจมตีจากอิหร่านของอิสราเอล ในทางตรงกันข้าม ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลดลง 3% หลังจากมีรายงานว่าความต้องการน้ำมันดิบในจีนต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ในด้านข้อมูลเศรษฐกิจ ตัวเลข GDP สหรัฐฯ ไตรมาส 4/2024 ยังคงแสดงการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่ 2.3% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้จะเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูง อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมกราคมที่เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แสดงให้เห็นว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ในระบบเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด โดยเฉพาะการประกาศมาตรการภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก และภาษีเพิ่มเติม 10% สำหรับสินค้าจีน ซึ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อต้นทุนโลจิสติกส์ทั่วโลก ขณะที่การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และยูเครนเกี่ยวกับข้อตกลงแร่ธาตุก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพิ่มความไม่แน่นอนในภูมิภาค
ตลาด Forex ในสัปดาห์ที่ 24-28 กุมภาพันธ์ 2025 แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเป็นผลมาจากความแตกต่างในนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลัก และแรงกดดันจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเงินทุนระหว่างประเทศ
ดอลลาร์สหรัฐฯ และนโยบาย Fed
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) แข็งค่าขึ้น 0.8% ในสัปดาห์นี้ สะท้อนถึงความต้องการถือครองสกุลเงินดอลลาร์ที่ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ Fed ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะดัชนี Core CPI และ Core PPI ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 เหลือเพียงครั้งเดียว จากเดิมที่คาดว่าจะมี 2 ครั้ง
ความเข้มแข็งของดอลลาร์สหรัฐฯ ยังได้รับแรงหนุนจากการเป็นสกุลเงินหลักที่นักลงทุนเลือกถือครองในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งส่งสัญญาณถึงช่วงเริ่มต้นของสงครามการค้ารอบใหม่
ยูโรและสกุลเงินยุโรป
แม้ว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นโดยรวม แต่ EUR/USD กลับแข็งค่าขึ้น 0.8% ในช่วงสัปดาห์นี้ ปิดที่ระดับ 1.0490 โดยได้รับแรงหนุนจากแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งประกาศแผนลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points ต่อไตรมาสในปี 2025 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซนที่ชะลอตัว นอกจากนี้ ยูโรยังได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาดในประเทศหลักของยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีที่ดัชนี IFO Business Climate ปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน
GBP/USD มีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับ EUR/USD โดยแข็งค่าขึ้น 0.6% มาปิดที่ระดับ 1.2680 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเงินเฟ้อสหราชอาณาจักรที่ลดลงมากกว่าคาด ส่งผลให้ธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) มีแนวโน้มที่จะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคม
เงินเยนญี่ปุ่นและเอเชีย
USD/JPY ปรับตัวลง 0.5% ในสัปดาห์นี้ มาปิดที่ระดับ 147.80 โดยเงินเยนได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2025 เพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่ยังสูง และเพื่อลดช่องว่างของอัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่นกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ นอกจากนี้ เงินเยนยังได้ประโยชน์จากการเป็นสกุลเงินปลอดภัยในช่วงที่มีความไม่แน่นอนในตลาดโลก
เงินบาทไทยอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 3.2% ภายใน 48 ชั่วโมง จากระดับ 33.38 เป็น 34.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลง 0.25% สู่ระดับ 2.00% ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญกับการไหลออกของเงินทุนต่างชาติสุทธิ 10,232 ล้านบาท ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันค่าเงินบาท
ปัจจัยที่ต้องจับตาในสัปดาห์หน้า
สำหรับสัปดาห์หน้า (3-7 มีนาคม 2025) นักลงทุนควรติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (Nonfarm Payrolls) และอัตราว่างงานที่จะประกาศในวันที่ 7 มีนาคม ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางดอกเบี้ยของ Fed โดยคาดว่าการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง และอัตราว่างงานจะคงอยู่ที่ 4.0%
นอกจากนี้ การประกาศอัตราดอกเบี้ยของ ECB ในวันที่ 7 มีนาคม และการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อยูโรโซนเบื้องต้นในวันที่ 3 มีนาคม จะเป็นตัวชี้นำที่สำคัญสำหรับทิศทางของสกุลเงินยูโร ในขณะที่มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาด Forex โดยเฉพาะคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับประเทศที่ได้รับผลกระทบ เช่น USD/CAD, USD/MXN และ USD/CNH
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์ที่ 24-28 กุมภาพันธ์ 2525 แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ โดยทองคำเผชิญแรงเทขายขณะที่น้ำมันปรับตัวลดลงจากความกังวลด้านอุปทานและความต้องการ ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองที่หลากหลาย
ทองคำ: สัปดาห์ที่แย่ที่สุดในรอบสามเดือนจากการแข็งค่าของดอลลาร์
ราคาทองคำ (XAU/USD) ปรับตัวลดลงกว่า 1% ในวันศุกร์ มาปิดตลาดที่ $2,846.96 ต่อออนซ์ ส่งผลให้สัปดาห์นี้ราคาทองคำร่วงลงถึง 3% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลดลงรายสัปดาห์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยสัญญาทองคำล่วงหน้าของสหรัฐฯ ปิดตลาดที่ $2,858.90 ลดลง 1.3%
ปัจจัยหลักที่กดดันราคาทองคำได้แก่:
อย่างไรก็ตาม ทองคำยังคงมีแนวโน้มที่จะบันทึกการเติบโตรายเดือนเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับแผนการเก็บภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์จาก Kitco Metals ระบุว่า “ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทองคำและเงินคือการทำกำไรและการชำระบัญชีที่ดำเนินมาตลอดทั้งสัปดาห์ รวมถึงดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง”
น้ำมัน: แรงกดดันจากอุปทานส่วนเกินและความต้องการที่ชะลอตัว
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลง 3% ในสัปดาห์นี้ มาปิดที่ระดับ $78.3 ต่อบาร์เรล หลังจากที่ได้เห็นรูปแบบกราฟทางเทคนิคที่เรียกว่า Death Cross เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันตัดลงใต้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ซึ่งมักเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลงในระยะกลาง
ปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาน้ำมันได้แก่:
ตลาดฟิวเจอร์สน้ำมันดิบ WTI บันทึกปริมาณซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.2 ล้านสัญญา สะท้อนถึงความผันผวนและการเก็งกำไรที่เพิ่มขึ้นในตลาดพลังงาน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันอาจทดสอบแนวรับสำคัญที่ $75 ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 7 เดือน หากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกินยังคงดำเนินต่อไป
โลหะอุตสาหกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
โลหะอุตสาหกรรมมีการเคลื่อนไหวที่ผสมผสาน โดยทองแดงปรับตัวลง 1.2% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความต้องการจากจีนซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ที่สุด ในขณะที่อลูมิเนียมทรงตัวหลังจากที่มีรายงานว่าจีนอาจมีการให้เงินอุดหนุนภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นความต้องการในภาคการก่อสร้าง
สินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าวโพดและถั่วเหลืองปรับตัวขึ้นหลังจากที่มีรายงานสภาพอากาศแห้งแล้งในอเมริกาใต้ ขณะที่กาแฟอาราบิก้าปรับตัวขึ้น 4.2% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลผลิตในประเทศบราซิลและโคลอมเบีย
ความสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์กับตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
ความสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์สหรัฐฯ กับตลาดทองคำและน้ำมันยังคงเป็นไปในลักษณะผกผัน (Negative Correlation) โดยเมื่อค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาทองคำและน้ำมันมักจะปรับตัวลดลง ซึ่งสัปดาห์นี้เห็นได้ชัดเจนจากการที่ดัชนีดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ทองคำมีการปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
นักวิเคราะห์จาก TD Securities ให้ความเห็นว่า “โดยรวมแล้ว การคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายของ Fed ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ในท้ายที่สุดแล้ว ปัจจัยนี้ไม่ได้เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของราคาทองคำมากนัก” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า นอกจากปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อราคาทองคำ เช่น ความกังวลเกี่ยวกับแผนการเก็บภาษีของทรัมป์
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ (Intermarket Analysis) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจภาพรวมและทิศทางของตลาดการเงินโลก ในสัปดาห์ที่ 24-28 กุมภาพันธ์ 2025 เราเห็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจระหว่างตลาดต่างๆ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
ความสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์สหรัฐฯ กับสินทรัพย์หลัก
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ทั่วโลก โดยในสัปดาห์นี้ดอลลาร์มีการแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์หลักดังนี้:
อิทธิพลของนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย
ความแตกต่างในนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลักทั่วโลกสร้างโอกาสและความเสี่ยงในตลาดการเงิน:
ผลกระทบของปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้า
ปัจจัยทางการเมืองและนโยบายการค้าระหว่างประเทศมีอิทธิพลอย่างมากต่อตลาดในสัปดาห์นี้:
การวิเคราะห์ข้ามตลาด (Cross-Market Analysis)
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าสนใจ:
ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์ที่ 24-28 กุมภาพันธ์ 2025 โดยได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังคงสูง นโยบายการเงินที่เข้มงวด และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น การวิเคราะห์ตลาดหุ้นหลักทั่วโลกแสดงให้เห็นแนวโน้มที่น่ากังวลสำหรับนักลงทุน
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง 1.7% ในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรายสัปดาห์ที่มากที่สุดในรอบ 2 เดือน โดยปิดที่ระดับ 5,035 จุด ต่ำกว่าแนวรับทางจิตวิทยาที่ 5,050 จุด ความกังวลหลักของนักลงทุนมาจากผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดของ Walmart และบริษัทค้าปลีกรายใหญ่อื่นๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค
ดัชนี Nasdaq Composite ปรับตัวลดลง 2.1% เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะบริษัทที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศอย่าง Apple และ Tesla ที่ปรับตัวลดลงมากกว่า 3%
ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปรับตัวลดลง 1.5% มาปิดที่ระดับ 38,245 จุด โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มการเงินที่อ่อนแอ สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบจากสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้น
ตลาดหุ้นยุโรป
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลดลง 1.9% ในสัปดาห์นี้ โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของยุโรป โดยเฉพาะในภาคยานยนต์และสินค้าอุตสาหกรรม หุ้นในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์อย่าง Volkswagen และ BMW ปรับตัวลดลงมากกว่า 4% หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ว่าจะเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้ายุโรป
ดัชนี DAX ของเยอรมนีลดลง 2.3% ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดจากบรรดาตลาดหุ้นหลักในยุโรป เนื่องจากเศรษฐกิจเยอรมนีพึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจของเยอรมนียังคงอ่อนแอ โดย GDP ไตรมาส 4/2024 หดตัว 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ในสหราชอาณาจักร ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวลดลง 1.4% ซึ่งลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นหลักอื่นๆ ในยุโรป เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานและเหมืองแร่ที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของปอนด์สเตอร์ลิง ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก
ตลาดหุ้นเอเชีย
ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นปรับตัวลดลง 2.5% ในสัปดาห์นี้ โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินเยน ซึ่งส่งผลลบต่อหุ้นในกลุ่มส่งออก นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่นในปี 2025 ยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาด
ดัชนี Shanghai Composite ของจีนปรับตัวลดลง 1.8% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าเพิ่มเติม 10% ของสหรัฐฯ สำหรับสินค้าจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่กำลังฟื้นตัวอย่างเปราะบาง
บริษัทชั้นนำและรายงานผลประกอบการ
ผลประกอบการของบริษัทชั้นนำมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดในสัปดาห์นี้:
Walmart รายงานรายได้ต่ำกว่าคาดการณ์ในไตรมาส 4/2024 โดยยอดขายเติบโตเพียง 1.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.5% ซึ่งส่งผลให้หุ้น Walmart ปรับตัวลดลง 6.2% ในวันที่ประกาศผลประกอบการ และกดดันหุ้นค้าปลีกรายอื่นๆ
NVIDIA ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชิปปัญญาประดิษฐ์ รายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด แต่ราคาหุ้นยังคงถูกกดดัน เนื่องจากนักลงทุนมองว่าบริษัทมีราคาสูงเกินไปอยู่แล้ว หุ้น NVIDIA ปรับตัวลดลง 2.8% ในสัปดาห์นี้ แม้จะรายงานการเติบโตของรายได้ถึง 122% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ในยุโรป Deutsche Bank รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาดในไตรมาส 4/2024 แต่หุ้นยังคงปรับตัวลดลง 3.5% หลังจากที่ธนาคารประกาศแผนการปรับโครงสร้างซึ่งอาจรวมถึงการลดจำนวนพนักงานและการปิดสาขา
แนวโน้มของตลาดหุ้นในระยะสั้น
จากการวิเคราะห์ตลาดหุ้นหลักทั่วโลก คาดการณ์ว่าในระยะสั้น ตลาดหุ้นยังคงเผชิญกับความผันผวนและแรงกดดันจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจมีการปรับฐานลงถึงระดับ 4,950 จุดสำหรับ S&P 500 ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญตามระดับ Fibonacci 61.8% หากสัญญาณเทคนิค RSI (45) และ MACD ที่ตัดลงล่างยังคงแสดงสภาวะขายที่เพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นยุโรปอาจได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้ทางการค้าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเยอรมนีและอิตาลี
ตลาดหุ้นเอเชียโดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ยังคงเปราะบางต่อการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ โดยเฉพาะหากดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์ที่ 24-28 กุมภาพันธ์ 2025 แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่ค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับตลาดสินทรัพย์ดั้งเดิม โดยสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงเคลื่อนไหวในกรอบที่ค่อนข้างแคบ แม้จะมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์ต่อไปนี้จะให้ภาพรวมของการเคลื่อนไหวในสินทรัพย์คริปโตหลัก ปัจจัยที่ส่งผลกระทบ และแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
Bitcoin (BTC): การเคลื่อนไหวในกรอบก่อนการปรับตัวครั้งใหญ่
Bitcoin ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ $90,000-$93,000 ตลอดทั้งสัปดาห์ แสดงรูปแบบ Sideway Down หรือการแกว่งตัวในแนวโน้มขาลงเล็กน้อย ซึ่งเป็นลักษณะของการพักฐานหลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้นเดือน จุดที่น่าสนใจคือการที่ Bitcoin ไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากความผันผวนในตลาดการเงินทั่วไป สะท้อนให้เห็นถึงการแยกตัว (Decoupling) ในระดับหนึ่งจากสินทรัพย์ดั้งเดิม
กระแสเงินไหลเข้า Bitcoin ETF ในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 238.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขปานกลาง สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนสถาบันยังคงมีความสนใจในการลงทุนใน Bitcoin แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ
ในแง่ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค หากราคา Bitcoin สามารถยก Low ได้โดยมาอยู่บริเวณ $96,000 อาจมีโอกาสที่การเคลื่อนที่จะออกมาในรูปแบบ Ascending Triangle ซึ่งเป็นรูปแบบทางเทคนิคที่บ่งชี้การปรับตัวขึ้น โดยมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ $108,000 ซึ่งหากทะลุผ่านไปได้จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งสำหรับการทดสอบระดับ $120,000 ในอนาคต
Ethereum (ETH): การปรับฐานหลังหลุดรูปแบบ Falling Wedge
Ethereum ยังคงมีการปรับตัวลงต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ หลังจากหลุดจากกรอบ Falling Wedge ซึ่งโดยปกติเป็นรูปแบบทางเทคนิคที่บ่งชี้การปรับตัวขึ้น แต่ในกรณีนี้ ETH กลับเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ค่า RSI ในกรอบเวลา 1 วันได้เข้าสู่โซน Oversold แล้ว ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นตัวในระยะสั้น
ราคา ETH ปิดสัปดาห์ที่ประมาณ $2,550 ซึ่งอยู่ใกล้กับแนวรับสำคัญที่ $2,400 หากไม่สามารถรักษาแนวรับนี้ไว้ได้ อาจเห็นการปรับตัวลงไปถึงระดับ $2,200 ซึ่งเป็นแนวรับถัดไป อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายรายยังคงมองว่า ETH มีแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการพัฒนาต่อเนื่องของเครือข่าย Ethereum และการเติบโตของแอปพลิเคชัน DeFi และ NFT
Altcoins: การเคลื่อนไหวที่หลากหลาย
ในส่วนของ Altcoins ตลาดแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย โดยเหรียญที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องยังคงสามารถต้านทานแรงเทขายได้ดีกว่า เหรียญที่มีสภาพคล่องต่ำและขาดปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
สัปดาห์นี้มีการปลดล็อกเหรียญคริปโตหลายรายการ รวมถึง $SAND มูลค่า $75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงเทขายในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ผลกระทบโดยรวมต่อตลาดมีจำกัด เนื่องจากมูลค่าตลาดรวมของคริปโตเคอเรนซี่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดคริปโต
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดคริปโตในสัปดาห์นี้มีดังนี้:
แนวโน้มและการคาดการณ์
จากการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน เราคาดการณ์แนวโน้มของตลาดคริปโตในระยะสั้นถึงกลางดังนี้:
ในสัปดาห์หน้า นักลงทุนควรจับตามองปัจจัยสำคัญดังนี้:
การวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและกลยุทธ์การลงทุนสำหรับสัปดาห์ที่ 3-7 มีนาคม 2025 มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากปัจจัยหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก ทั้งนโยบายการเงิน ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ การวิเคราะห์ต่อไปนี้จะครอบคลุมแนวโน้มหลักและกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับสินทรัพย์แต่ละประเภท
แนวโน้มหลักสำหรับสัปดาห์หน้า
1. ดอลลาร์สหรัฐฯ และนโยบายการเงิน
ดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องในสัปดาห์หน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการชะลอแผนลดดอกเบี้ยของ Fed และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ การประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันที่ 7 มีนาคม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อทิศทางของดอลลาร์และนโยบายการเงินของ Fed โดยหากตัวเลขออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด อาจยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่ Fed จะชะลอการลดดอกเบี้ย
ในขณะเดียวกัน การประกาศอัตราดอกเบี้ยของ ECB ในวันที่ 7 มีนาคม และการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อยูโรโซนเบื้องต้นในวันที่ 3 มีนาคม จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของยูโรและนโยบายการเงินในยุโรป โดยหากเงินเฟ้อยูโรโซนลดลงต่ำกว่า 2.1% อาจเพิ่มโอกาสที่ ECB จะเร่งการลดอัตราดอกเบี้ย
2. สินค้าโภคภัณฑ์และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
ทองคำอาจเผชิญกับแรงกดดันในระยะสั้นจากดอลลาร์ที่แข็งค่า แต่ยังมีโอกาสทดสอบระดับ $2,900-$3,000 ต่อออนซ์ หากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรง โดยเฉพาะสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งอาจกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย
ราคาน้ำมันมีแนวโน้มยังคงผันผวนและอาจทดสอบแนวรับที่ $75 ต่อบาร์เรล หากรายงานสต็อกน้ำมัน EIA ในวันที่ 5 มีนาคม แสดงการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ มากกว่าคาด อย่างไรก็ตาม มาตรการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ อาจช่วยพยุงราคาไว้ได้ในระดับหนึ่ง
3. ตลาดหุ้นและสงครามการค้า
ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจยังคงเผชิญกับความผันผวนและแรงกดดันในสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะหลังจากการเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในวันที่ 4 มีนาคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทที่พึ่งพาการนำเข้าและห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ
ตลาดหุ้นเอเชียและตลาดเกิดใหม่มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสงครามการค้ารอบใหม่ โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ นักลงทุนควรติดตามท่าทีของจีนและประเทศอื่นๆ ที่อาจมีมาตรการตอบโต้ทางการค้า ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาด
4. คริปโตเคอเรนซี่
Bitcoin อาจยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ $90,000-$95,000 ในสัปดาห์หน้า โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ แต่ยังคงได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินไหลเข้า ETF ที่ยังเป็นบวก อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับฐานเพิ่มเติม อาจเห็นการทดสอบแนวรับที่ $85,000 ก่อนที่จะกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง
Ethereum และ Altcoins อื่นๆ มีแนวโน้มเคลื่อนไหวตามทิศทางของ Bitcoin แต่อาจมีความผันผวนมากกว่า โดยเฉพาะหากมีข่าวเกี่ยวกับกฎระเบียบหรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
ตลาดการเงินโลกในช่วงสัปดาห์ที่ 24-28 กุมภาพันธ์ 2025 ดำเนินไปท่ามกลางความผันผวนและความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งนโยบายการเงินที่เข้มงวด ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ และสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน บทสรุปนี้จะรวบรวมประเด็นสำคัญและมอบข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์ในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์ถัดไป
สรุปประเด็นสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ชะลอแผนการลดอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีนี้ (กันยายน) ในขณะที่ธนาคารกลางอื่นๆ มีทิศทางนโยบายที่แตกต่างกัน โดย ECB มีแผนเร่งตัดดอกเบี้ย BoJ เตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ย และ ธปท. ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างไม่คาดคิด ความแตกต่างในนโยบายการเงินนี้ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวที่หลากหลายในตลาดเงินตราต่างประเทศ
ในด้านการค้าระหว่างประเทศ การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม สร้างความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของการค้าโลกและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ
ตลาดสินทรัพย์หลักแสดงให้เห็นถึงความระมัดระวังของนักลงทุน โดยทองคำปรับตัวลดลง 3% ในสัปดาห์นี้ จากดอลลาร์ที่แข็งค่าและแรงเทขายทำกำไร ในขณะที่น้ำมันดิบ Brent ลดลง 3% จากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกินและความต้องการที่ชะลอตัว ดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่อย่างไทยที่ร่วงลงถึง 3.4% ในขณะที่ตลาดคริปโตยังคงเคลื่อนไหวในกรอบที่ค่อนข้างแคบ แสดงถึงการแยกตัวบางส่วนจากตลาดการเงินดั้งเดิม
ข้อแนะนำสำหรับเทรดเดอร์ในสัปดาห์หน้า
การบริหารความเสี่ยง
การจัดการความเสี่ยงมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 2% ของพอร์ตการลงทุน และพิจารณาใช้ Stop-Loss เพื่อป้องกันการขาดทุนที่รุนแรงหากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทจะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุน โดยอาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรรัฐบาลคุณภาพสูงในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง
กลยุทธ์การเทรดตามประเภทสินทรัพย์
ตลาด Forex:
สินค้าโภคภัณฑ์:
ตลาดหุ้น:
คริปโตเคอเรนซี่:
ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์หน้า
บทส่งท้าย
ตลาดการเงินโลกกำลังเข้าสู่ช่วงที่มีความท้าทายและความไม่แน่นอนสูง จากทั้งปัจจัยด้านนโยบายการเงิน สงครามการค้า และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรใช้ความระมัดระวังและมีวินัยในการบริหารความเสี่ยง รวมถึงติดตามข้อมูลข่าวสารและปัจจัยสำคัญอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการหาโอกาสการลงทุนและบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักทั่วโลกมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งจะสร้างทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มีความเข้าใจในปัจจัยพื้นฐานและความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ