หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์ที่ 10-14 มีนาคม 2025 นี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะเห็นความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลักของโลกอย่างชัดเจน โดยในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงยึดมั่นในนโยบายอัตราดอกเบี้ยสูงที่ 5.25-5.50% เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) กลับตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps สู่ระดับ 2.75% เป็นครั้งแรก และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งสัญญาณการยกเลิกนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในเดือนเมษายน 2025 ที่จะถึงนี้
ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลักเกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน โดยสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความเสี่ยงของภาวะ Stagflation หลังจากข้อมูลล่าสุดระบุว่าอัตราว่างงานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.0% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ยังคงอยู่ที่ 3.2% YoY สูงกว่าที่คาดการณ์ ด้านยุโรปกำลังเผชิญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและเงินเฟ้อที่ลดลงสู่ระดับ 2.1% ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของ ECB ที่ 2.0% ส่วนญี่ปุ่นเริ่มเห็นสัญญาณแรงกดดันเงินเฟ้อจากการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างพื้นฐาน 3.8% สูงสุดในรอบ 33 ปี
นอกจากปัจจัยด้านนโยบายการเงินแล้ว ตลาดยังต้องติดตามความเคลื่อนไหวสำคัญอื่นๆ อีกหลายด้าน ได้แก่ มาตรการภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ของสหรัฐฯ ที่อาจขยายขอบเขตไปยังรถยนต์และชิปเซมิคอนดักเตอร์ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 3.2 ล้านล้านหยวนของจีน และความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ที่อาจส่งผลต่อเส้นทางขนส่งน้ำมัน
ผลกระทบของปัจจัยเหล่านี้ต่อตลาดการเงินเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว โดยดัชนีดอลลาร์ (DXY) แข็งค่าขึ้น 0.8% ในขณะที่ EUR/USD อ่อนค่าลง 1.2% สู่ระดับ 1.0750 จากความแตกต่างนโยบายการเงิน ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น 1.5% สู่ระดับ 135.50 ต่อดอลลาร์จากความคาดหวังการปรับนโยบายของ BOJ ทองคำปรับตัวแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,950 USD/oz จากความไม่แน่นอนทางการเมืองและความเสี่ยง Stagflation ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวลดลง 3.2% สู่ 76.50 USD/บาร์เรล จากความกังวลด้านอุปสงค์ และหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวลดลงจากอัตราดอกเบี้ยสูง ในขณะที่หุ้นพลังงานและสาธารณูปโภคได้รับแรงหนุน
สัปดาห์นี้มีเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจหลายรายการที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะข้อมูลเงินเฟ้อและตลาดแรงงานสหรัฐฯ การแถลงของ ECB หลังลดอัตราดอกเบี้ย การบังคับใช้ภาษีนำเข้ารถยนต์ยุโรปของสหรัฐฯ และรายงานสต็อกน้ำมัน EIA ซึ่งผลของเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดในระยะสั้นและอาจส่งผลต่อแนวโน้มในระยะกลางด้วย
ในสัปดาห์ที่ 10-14 มีนาคม 2025 มีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน ต่อไปนี้คือรายการเหตุการณ์เรียงตามวันและเวลา (ตามเวลาไทย GMT+7):
วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2025
06:30 น. – ค่าเฉลี่ยรายได้เงินสด (Average Cash Earnings) ของญี่ปุ่น y/y คาดการณ์: 3.2% (ค่าจริงก่อนหน้า: 4.4%)
06:50 น. – การปล่อยสินเชื่อธนาคาร (Bank Lending) ของญี่ปุ่น y/y คาดการณ์: 3.1% (ค่าจริงก่อนหน้า: 3.0%)
06:50 น. – บัญชีเดินสะพัด (Current Account) ของญี่ปุ่น คาดการณ์: 1.97 ล้านล้านเยน (ค่าจริงก่อนหน้า: 2.73 ล้านล้านเยน)
12:00 น. – ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Indicators) ของญี่ปุ่น คาดการณ์: 108.1% (ค่าจริงก่อนหน้า: 108.3%)
13:00 น. – ความเชื่อมั่นของนักสังเกตการณ์เศรษฐกิจ (Economy Watchers Sentiment) ของญี่ปุ่น คาดการณ์: 48.5 (ค่าจริงก่อนหน้า: 48.6)
14:00 น. – การผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนี m/m คาดการณ์: 1.6% (ค่าจริงก่อนหน้า: -2.4%)
14:00 น. – ดุลการค้าของเยอรมนี คาดการณ์: 21.0 พันล้านยูโร (ค่าจริงก่อนหน้า: 20.7 พันล้านยูโร)
15:00 น. – ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค SECO ของสวิตเซอร์แลนด์ คาดการณ์: -28 (ค่าจริงก่อนหน้า: -29)
16:30 น. – ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน Sentix ของยุโรป คาดการณ์: -9.1 (ค่าจริงก่อนหน้า: -12.7)
04:45 น. – ยอดขายภาคการผลิต (Manufacturing Sales) ของนิวซีแลนด์ q/q คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: -0.1%)
06:30 น. – ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค Westpac ของออสเตรเลีย คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.1%)
06:30 น. – การใช้จ่ายภาคครัวเรือน (Household Spending) ของญี่ปุ่น y/y คาดการณ์: 3.7% (ค่าจริงก่อนหน้า: 2.7%)
06:50 น. – ดัชนีราคา GDP ฉบับสุดท้าย (Final GDP Price Index) ของญี่ปุ่น y/y คาดการณ์: 2.8% (ค่าจริงก่อนหน้า: 2.8%)
06:50 น. – ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ฉบับสุดท้ายของญี่ปุ่น q/q คาดการณ์: 0.7% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.7%)
06:50 น. – ปริมาณเงิน M2 (M2 Money Stock) ของญี่ปุ่น y/y คาดการณ์: 1.4% (ค่าจริงก่อนหน้า: 1.3%)
07:01 น. – ดัชนีการค้าปลีก BRC (BRC Retail Sales Monitor) ของอังกฤษ y/y คาดการณ์: 1.9% (ค่าจริงก่อนหน้า: 2.5%)
07:30 น. – ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ NAB ของออสเตรเลีย คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: 4)
13:00 น. – ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรกล (Machine Tool Orders) เบื้องต้นของญี่ปุ่น y/y คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: 4.7%)
17:00 น. – ดัชนีธุรกิจขนาดเล็ก NFIB ของสหรัฐฯ คาดการณ์: 100.9 (ค่าจริงก่อนหน้า: 102.8)
20:30 น. – ดัชนีชี้นำของธนาคารกลาง (CB Leading Index) อังกฤษ m/m คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: -0.1%)
21:00 น. – ตำแหน่งงานว่าง JOLTS ของสหรัฐฯ คาดการณ์: 7.71 ล้านตำแหน่ง (ค่าจริงก่อนหน้า: 7.60 ล้านตำแหน่ง)
06:50 น. – ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของญี่ปุ่น y/y คาดการณ์: 4.0% (ค่าจริงก่อนหน้า: 4.2%)
06:50 น. – ดัชนีการผลิตภาคบริการ (BSI Manufacturing Index) ของญี่ปุ่น คาดการณ์: 6.5 (ค่าจริงก่อนหน้า: 6.3)
12:00-15:00 น. – สินเชื่อใหม่ (New Loans) ของจีน คาดการณ์: 2,150 พันล้านหยวน (ค่าจริงก่อนหน้า: 5,130 พันล้านหยวน)
12:00-15:00 น. – ปริมาณเงิน M2 (M2 Money Supply) ของจีน y/y คาดการณ์: 7.1% (ค่าจริงก่อนหน้า: 7.0%)
15:45 น. – การแถลงของประธาน ECB ลาการ์ด ติดตามแนวทางนโยบายการเงินในอนาคตหลังการลดอัตราดอกเบี้ย
19:30 น. – ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ของสหรัฐฯ m/m คาดการณ์: 0.3% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.4%)
19:30 น. – ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ m/m คาดการณ์: 0.3% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.5%)
19:30 น. – ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ y/y คาดการณ์: 2.9% (ค่าจริงก่อนหน้า: 3.0%)
20:45 น. – แถลงการณ์อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางแคนาดา (BOC) ติดตามนโยบายอัตราดอกเบี้ยและมุมมองเศรษฐกิจ
20:45 น. – อัตราดอกเบี้ยข้ามคืน (Overnight Rate) ของแคนาดา คาดการณ์: 2.75% (ค่าจริงก่อนหน้า: 3.00%)
21:30 น. – แถลงการณ์ของธนาคารกลางแคนาดา (BOC Press Conference) ติดตามทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต
21:30 น. – รายงานสต็อกน้ำมันดิบ (Crude Oil Inventories) ของสหรัฐฯ คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: 3.6 ล้านบาร์เรล)
00:01 น. – การประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยคาดที่: 4.63% | อัตราส่วนประมูล: 2.5
01:00 น. – งบประมาณรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (Federal Budget Balance) คาดการณ์: -315.0 พันล้านดอลลาร์ (ค่าจริงก่อนหน้า: -128.6 พันล้านดอลลาร์)
04:45 น. – จำนวนผู้มาเยือน (Visitor Arrivals) ของนิวซีแลนด์ m/m คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: 3.5%)
07:00 น. – ความคาดหวังเงินเฟ้อ MI ของออสเตรเลีย คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: 4.6%)
07:01 น. – ดัชนีราคาบ้าน RICS ของอังกฤษ คาดการณ์: 20% (ค่าจริงก่อนหน้า: 22%)
14:30 น. – ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสวิตเซอร์แลนด์ m/m คาดการณ์: 0.2% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.1%)
16:00 น. – อัตราการว่างงานรายไตรมาสของอิตาลี คาดการณ์: 6.1% (ค่าจริงก่อนหน้า: 6.1%)
17:00 น. – การผลิตภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซน m/m คาดการณ์: 0.6% (ค่าจริงก่อนหน้า: -1.1%)
19:30 น. – ใบอนุญาตก่อสร้าง (Building Permits) ของแคนาดา m/m คาดการณ์: -4.8% (ค่าจริงก่อนหน้า: 11.0%)
19:30 น. – ดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน (Core PPI) ของสหรัฐฯ m/m คาดการณ์: 0.3% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.3%)
19:30 น. – ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ m/m คาดการณ์: 0.3% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.4%)
19:30 น. – จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (Unemployment Claims) ของสหรัฐฯ คาดการณ์: 226,000 ราย (ค่าจริงก่อนหน้า: 221,000 ราย)
21:30 น. – รายงานสต็อกก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas Storage) ของสหรัฐฯ คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: -80 พันล้านลูกบาศก์ฟุต)
00:01 น. – การประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีของสหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยคาดที่: 4.75% | อัตราส่วนประมูล: 2.3
04:30 น. – ดัชนีภาคการผลิต BusinessNZ ของนิวซีแลนด์ คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: 51.4)
04:45 น. – ดัชนีราคาอาหาร (FPI) ของนิวซีแลนด์ m/m คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: 1.9%)
14:00 น. – ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ฉบับสุดท้ายของเยอรมนี m/m คาดการณ์: 0.4% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.4%)
14:00 น. – ดัชนีราคาขายส่ง (WPI) ของเยอรมนี m/m คาดการณ์: 0.2% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.9%)
14:00 น. – ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอังกฤษ m/m คาดการณ์: 0.1% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.4%)
14:00 น. – ผลผลิตภาคก่อสร้าง (Construction Output) ของอังกฤษ m/m คาดการณ์: -0.1% (ค่าจริงก่อนหน้า: -0.2%)
14:00 น. – ดุลการค้าสินค้า (Goods Trade Balance) ของอังกฤษ คาดการณ์: -17.1 พันล้านปอนด์ (ค่าจริงก่อนหน้า: -17.4 พันล้านปอนด์)
14:00 น. – ดัชนีภาคบริการ (Index of Services) ของอังกฤษ 3m/3m คาดการณ์: 0.3% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.2%)
14:00 น. – การผลิตภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษ m/m คาดการณ์: -0.1% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.5%)
14:00 น. – การผลิตภาคการผลิต (Manufacturing Production) ของอังกฤษ m/m คาดการณ์: 0.0% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.7%)
14:45 น. – ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ฉบับสุดท้ายของฝรั่งเศส m/m คาดการณ์: 0.0% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.0%)
16:00 น. – การผลิตภาคอุตสาหกรรมของอิตาลี m/m คาดการณ์: 1.2% (ค่าจริงก่อนหน้า: -3.1%)
16:30 น. – ความคาดหวังเงินเฟ้อผู้บริโภคของอังกฤษ คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: 3.0%)
19:30 น. – ยอดขายภาคการผลิต (Manufacturing Sales) ของแคนาดา m/m คาดการณ์: 2.0% (ค่าจริงก่อนหน้า: 0.3%)
19:30 น. – ยอดขายส่ง (Wholesale Sales) ของแคนาดา m/m คาดการณ์: 1.9% (ค่าจริงก่อนหน้า: -0.2%)
21:00 น. – ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกน (เบื้องต้น) คาดการณ์: 63.8 (ค่าจริงก่อนหน้า: 64.7)
21:00 น. – ความคาดหวังเงินเฟ้อของมหาวิทยาลัยมิชิแกน (เบื้องต้น) คาดการณ์: ไม่มีข้อมูล (ค่าจริงก่อนหน้า: 4.3%)
สัปดาห์นี้มีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจสำคัญที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินและการลงทุน ต่อไปนี้คือการวิเคราะห์โดยละเอียดของเหตุการณ์สำคัญที่ควรติดตาม:
1. ข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) วันพุธที่ 12 มีนาคม
ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ จะเป็นหนึ่งในตัวเลขที่มีความสำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้ ตลาดคาดการณ์ว่า CPI โดยรวมจะเพิ่มขึ้น 0.3% MoM และ 2.9% YoY ซึ่งลดลงเล็กน้อยจาก 3.0% ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ CPI พื้นฐานที่ไม่รวมอาหารและพลังงานคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% MoM
ความสำคัญของข้อมูลนี้มีมากเป็นพิเศษเนื่องจาก Fed กำลังเผชิญกับความเสี่ยงภาวะ Stagflation จากอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้นเป็น 4.0% ขณะที่เงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% การที่ตัวเลข CPI ออกมาสูงกว่าคาดอาจทำให้ Fed ต้องชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยออกไปจนถึงไตรมาส 3/2025 ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ตลาดหุ้นโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น
หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะหากดัชนี CPI ทั้งแบบรวมและพื้นฐานแสดงการชะลอตัวชัดเจน อาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่ Fed จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งจะเป็นแรงหนุนตลาดหุ้นและกดดันค่าเงินดอลลาร์
2. การแถลงของประธาน ECB ลาการ์ด วันพุธที่ 12 มีนาคม
หลังจาก ECB ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ลงสู่ระดับ 2.75% การแถลงของประธาน ECB คริสติน ลาการ์ด จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางค่าเงินยูโรและตลาดพันธบัตรยุโรป นักลงทุนจะจับตาถ้อยแถลงเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต โดยเฉพาะความเป็นไปได้ของการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้
การที่ลาการ์ดส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลายมากขึ้น พร้อมระบุถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการลดดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งในปี 2025 จะยิ่งกดดันค่าเงินยูโร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ Fed ยังคงส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยในระดับสูง นอกจากนี้ ตลาดจะติดตามมุมมองของ ECB ต่อภาวะเศรษฐกิจยูโรโซน ซึ่งหากมีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตลง อาจส่งผลลบต่อตลาดหุ้นยุโรป
3. ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สหรัฐฯ วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม
ตัวเลข PPI จะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแรงกดดันด้านต้นทุนที่ผู้ผลิตกำลังเผชิญ ซึ่งมักจะส่งผ่านไปยังผู้บริโภคในที่สุด การคาดการณ์ล่าสุดระบุว่า PPI จะเพิ่มขึ้น 0.3% MoM ซึ่งลดลงเล็กน้อยจาก 0.4% ในเดือนก่อนหน้า ส่วน PPI พื้นฐานคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% MoM เท่ากับเดือนก่อนหน้า
หากตัวเลข PPI ออกมาสูงกว่าคาด โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าขั้นกลาง (Intermediate Goods) อาจเป็นสัญญาณว่าแรงกดดันเงินเฟ้อยังคงมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นในระยะกลาง ซึ่งจะยิ่งสนับสนุนท่าทีแข็งกร้าวของ Fed ในทางตรงกันข้าม หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ อาจช่วยลดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและเปิดทางให้ Fed พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น
4. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม
ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ คาดการณ์ที่ 226,000 ราย เพิ่มขึ้นจาก 221,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า การติดตามตัวเลขนี้มีความสำคัญเนื่องจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ เริ่มแสดงสัญญาณการชะลอตัว โดยอัตราว่างงานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.0% ในเดือนกุมภาพันธ์
หากตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังอ่อนแอลงรวดเร็วกว่าที่คาด ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความกังวลเรื่องภาวะ Stagflation และอาจส่งผลให้ Fed เผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากระหว่างการต่อสู้กับเงินเฟ้อหรือกระตุ้นการจ้างงาน ข้อมูลนี้จะมีความสำคัญเป็นพิเศษเมื่อพิจารณาร่วมกับตัวเลข CPI และ PPI
5. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน
ในสัปดาห์นี้ ตลาดจะติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 3.2 ล้านล้านหยวนของจีน ซึ่งประกอบด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องสู่ระบบการเงิน โครงการฟื้นฟูเมืองเก่า (Urban Renewal) และการลดหย่อนภาษีสำหรับบริษัทเทคโนโลยี ข้อมูลสินเชื่อใหม่และปริมาณเงิน M2 ในวันพุธจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จเบื้องต้นของนโยบายดังกล่าว
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนมีความสำคัญต่อตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และเศรษฐกิจเอเชีย หากมาตรการดังกล่าวได้รับการตอบรับเชิงบวกจากตลาดและมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน อาจเป็นแรงหนุนให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หุ้นจีน และสกุลเงินเอเชียปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงกังวลกับปัญหาหนี้รัฐบาลท้องถิ่นจีนที่แตะ 120% ของ GDP ซึ่งอาจจำกัดประสิทธิผลของมาตรการกระตุ้นในระยะยาว
6. นโยบายการค้าของสหรัฐฯ
การบังคับใช้ภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ของสหรัฐฯ ตามมาตรา 232 ของกฎหมายการค้า 1962 และการขยายขอบเขตไปยังรถยนต์ยุโรปในวันพุธที่ 12 มีนาคม จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะในภาคการผลิตยานยนต์และโลหะ
มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะกระทบมูลค่าการค้ารถยนต์ประมาณ 45,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นยานยนต์ยุโรปอ่อนตัวลงก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ประเทศกลุ่ม ASEAN โดยเฉพาะไทยและเวียดนามที่มีสัดส่วนส่งออกเหล็กไปสหรัฐฯ สูงก็จะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
หากสหรัฐฯ ยกระดับมาตรการโดยการประกาศภาษีนำเข้าเพิ่มเติมสำหรับสินค้าจากจีนหรือประเทศอื่นๆ อาจนำไปสู่สงครามการค้ารอบใหม่ที่ส่งผลลบต่อการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะกดดันตลาดหุ้นและสกุลเงินของประเทศที่พึ่งพาการส่งออก
7. การบ่งชี้แนวโน้มการปรับนโยบายของ BOJ
ในสัปดาห์นี้มีข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่นหลายรายการ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยรายได้เงินสด การใช้จ่ายภาคครัวเรือน และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มการปรับนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในเดือนเมษายน 2025 โดยเฉพาะความเป็นไปได้ในการยกเลิกนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ
รายงานการเจรจาค่าจ้างปี 2025 ของสหภาพแรงงานญี่ปุ่น (Rengo) ระบุว่าค่าจ้างพื้นฐานจะเพิ่มขึ้น 3.8% สูงสุดในรอบ 33 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญที่จะหนุนให้ BOJ พิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นบวก หากข้อมูลเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ยังคงแสดงสัญญาณแรงกดดันเงินเฟ้อและการบริโภคที่แข็งแกร่ง โอกาสที่ BOJ จะปรับนโยบายในเดือนเมษายนจะยิ่งมีมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง
8. ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้
การประชุมสุดยอด ASEAN ว่าด้วยสถานการณ์ทะเลจีนใต้ในวันพฤหัสบดีจะเป็นเวทีสำคัญในการติดตามความตึงเครียดระหว่างจีนและฟิลิปปินส์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเส้นทางขนส่งน้ำมันกว่า 30% ของโลกที่ผ่านภูมิภาคนี้
หากความตึงเครียดทวีความรุนแรงหรือมีการเผชิญหน้าทางทหารเพิ่มเติม อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นจากความกังวลด้านอุปทาน แม้ว่าในปัจจุบันราคาน้ำมันจะเผชิญแรงกดดันจากความกังวลด้านอุปสงค์ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลให้เกิดการไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ เยน และฟรังก์สวิส
9. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกน วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกน (เบื้องต้น) คาดการณ์ที่ระดับ 63.8 ลดลงจาก 64.7 ในเดือนกุมภาพันธ์ ข้อมูลนี้จะให้ภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ และความคาดหวังเงินเฟ้อในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจของ Fed
หากความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงมากกว่าคาด อาจเป็นสัญญาณว่าการบริโภคภาคเอกชนซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังชะลอตัวลง ซึ่งอาจนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอในไตรมาส 2/2025 ขณะเดียวกัน ความคาดหวังเงินเฟ้อของผู้บริโภคก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยหากมีการปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจช่วยลดความกังวลของ Fed เกี่ยวกับการตรึงตัวของเงินเฟ้อในระยะยาว
สัปดาห์ที่ 10-14 มีนาคม 2025 เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดการเงินในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเห็นการแยกทางกันอย่างชัดเจนของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลักของโลก ความแตกต่างนี้จะสร้างทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับนักลงทุนในตลาด CFD ทุกประเภท
ผลกระทบต่อตลาดหลักและแนวโน้ม
ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (Forex): ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง Fed ที่ยังคงยึดมั่นในอัตราดอกเบี้ยสูงกับ ECB ที่เริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักให้ EUR/USD มีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อในระยะสั้นถึงกลาง โดยคู่เงินนี้อาจทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1.0700 และ 1.0650 หากข้อมูล CPI และ PPI สหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด
ในขณะเดียวกัน USD/JPY มีแนวโน้มปรับตัวลงต่อเนื่องจากความคาดหวังที่ BOJ จะยกเลิกนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในเดือนเมษายน ซึ่งอาจทำให้คู่เงินนี้มุ่งหน้าสู่ระดับ 133.50 ในระยะกลาง สกุลเงินปลอดภัยอย่าง CHF ก็มีแนวโน้มแข็งค่าจากความไม่แน่นอนทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในสภาวะที่เศรษฐกิจเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Stagflation และความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงสูง โดยราคาอาจทดสอบระดับ 3,000 USD/oz ในไตรมาส 2/2025 โดยเฉพาะหากความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ทวีความรุนแรง และการเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครนไม่ประสบความสำเร็จ
ราคาน้ำมันยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากความกังวลด้านอุปสงค์ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แม้จะมีปัจจัยหนุนจากความเสี่ยงด้านอุปทานก็ตาม ราคาน้ำมัน WTI อาจเคลื่อนไหวในกรอบ 74-80 USD/บาร์เรลในระยะสั้น โดยรายงานสต็อกน้ำมันของ EIA จะเป็นตัวชี้นำสำคัญ
ตลาดหุ้นและดัชนี: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่มีราคาแพงจะยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยสูง ในทางตรงกันข้าม ตลาดหุ้นยุโรปอาจได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของ ECB โดยเฉพาะในกลุ่มการเงินและอสังหาริมทรัพย์
กลุ่มหุ้นพลังงานและสาธารณูปโภคอาจยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าตลาดโดยรวม (Outperform) จากการที่นักลงทุนปรับพอร์ตไปสู่สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง ในขณะที่หุ้นจีนอาจฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ความยั่งยืนขึ้นอยู่กับประสิทธิผลของมาตรการดังกล่าว
ตลาดพันธบัตร: ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี มีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงหรือปรับตัวเพิ่มขึ้นหากข้อมูลเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมาย ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยุโรปมีแนวโน้มปรับตัวลงจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของ ECB ความแตกต่างของผลตอบแทน (Yield Spread) ระหว่างพันธบัตรสหรัฐฯ และยุโรปที่กว้างขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดัน EUR/USD เพิ่มเติม
ข้อแนะนำสำหรับนักเทรด CFD
โดยสรุปแล้ว สัปดาห์นี้จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการปรับพอร์ตการลงทุนและกำหนดกลยุทธ์การเทรดในไตรมาส 2/2025 ท่ามกลางความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลัก ความตึงเครียดทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความเสี่ยงของภาวะ Stagflation ในสหรัฐฯ นักเทรดที่สามารถปรับตัวตามสภาพตลาดและจับจังหวะการเข้า-ออกได้อย่างมีวินัยจะมีโอกาสที่ดีในการสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจแม้ในสภาวะตลาดที่ท้าทายเช่นนี้