หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2025 กำลังเผชิญกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผลมาจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ทั้งในด้านกฎระเบียบ นโยบายภาครัฐ และสภาวะเศรษฐกิจมหภาค ณ วันที่ 10 มีนาคม 2025 Bitcoin ซื้อขายอยู่ที่ 82,567.96 ดอลลาร์ ลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ที่เคยทำไว้ที่ 91,000 ดอลลาร์ ขณะที่ Ethereum พยายามรักษาเสถียรภาพเหนือระดับ 2,100 ดอลลาร์ ท่ามกลางแรงกดดันจากการแข่งขันของเครือข่าย Layer 2 และความกังวลเกี่ยวกับรายได้จากการ Stake ที่ลดลง
เหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อตลาดในช่วงนี้ได้แก่ การประชุม Crypto Summit ในวันที่ 7 มีนาคม ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศนโยบาย Strategic Bitcoin Reserve และการยกเลิก Operation Chokepoint 2.0 นโยบายเหล่านี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อสินทรัพย์ดิจิทัล แม้จะยังมีข้อจำกัดในรายละเอียดการดำเนินงาน นอกจากนี้ การเตรียมลงมติร่างกฎหมาย GENIUS Act สำหรับกำกับดูแล Stablecoins ในสัปดาห์นี้ (10-14 มีนาคม) จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในระยะถัดไป
ในแง่ของปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค การประกาศตัวเลข CPI ที่ 2.85% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ส่งผลให้ Federal Reserve อาจพิจารณาชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin กับดัชนี S&P 500 เพิ่มสูงขึ้นถึง 0.78 สูงสุดในรอบ 3 ปี แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงที่แนบแน่นระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลกับตลาดการเงินดั้งเดิม
ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดเผชิญกับความท้าทายในระยะสั้นจากการเทขายของนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะกลุ่ม Whale Wallet ที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี อย่างไรก็ตาม กระแสเงินลงทุนในกองทุน ETF ยังคงเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญ โดยมีเงินไหลเข้าสุทธิประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์สำหรับ Bitcoin ETF และ 800 ล้านดอลลาร์สำหรับ Ethereum ETF ในช่วงต้นเดือนมีนาคม
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีได้เผชิญกับปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อทิศทางราคาและพฤติกรรมนักลงทุน การวิเคราะห์นี้จะแยกพิจารณาสินทรัพย์ดิจิทัลหลักและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาในแต่ละกลุ่ม
Bitcoin: ความท้าทายจากนโยบาย Strategic Reserve
ณ วันที่ 10 มีนาคม 2025 Bitcoin มีการซื้อขายอยู่ที่ 82,567.96 ดอลลาร์ โดยความผันผวนในรอบ 24 ชั่วโมงอยู่ระหว่าง 80,126.02 – 83,740.66 ดอลลาร์ ดัชนีชี้วัดทางเทคนิคแสดงให้เห็นสัญญาณผสม โดย RSI อยู่ที่ 42.7 ซึ่งเริ่มเข้าใกล้ภาวะ Oversold เบื้องต้น ขณะที่ MACD แสดงสัญญาณ Bearish Crossover บ่งชี้แรงขายในระยะสั้น
ปัจจัยสำคัญที่กดดันราคา Bitcoin ในช่วงนี้คือการประกาศนโยบาย Strategic Bitcoin Reserve ของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งแม้จะเป็นสัญญาณเชิงบวกในระยะยาวต่อการยอมรับ Bitcoin ในระบบการเงินกระแสหลัก แต่รายละเอียดที่จำกัดเฉพาะการจัดการ Bitcoin ที่ยึดได้จากคดีอาญา โดยไม่มีแผนซื้อเพิ่มด้วยงบประมาณรัฐ ทำให้นักลงทุนสถาบันเริ่มปรับลดสัดส่วนการถือครอง ดังจะเห็นได้จากจำนวน Whale Wallet ที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี
อย่างไรก็ตาม กระแสเงินลงทุนในกองทุน ETF ยังคงเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญ โดยมีเงินไหลเข้าสุทธิประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์ในช่วงต้นเดือนมีนาคม แม้อัตราการสะสมจะลดลง 15% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ การอภิปรายเรื่องการเพิ่ม Block Size เป็น 8MB เพื่อรองรับการใช้งานระดับสถาบันอาจเป็นปัจจัยบวกในระยะยาว
ในแง่การคาดการณ์ราคา แบบจำลอง Monte Carlo ชี้ว่า Bitcoin มีศักยภาพที่จะพุ่งไปถึง 713,000 ดอลลาร์ภายใน 6 เดือน แต่ก็มีความเสี่ยงราว 20% ที่ราคาอาจร่วงลงมาที่ระดับ 70,000 ดอลลาร์หากไม่สามารถยืนเหนือแนวรับสำคัญที่ 80,000 ดอลลาร์ได้ ปัจจัยเสี่ยงหลักที่ต้องจับตายังรวมถึงการเทขายจากกองทุน GBTC ซึ่งมีสัดส่วนถึง 4.2% ของอุปทาน Bitcoin ทั้งหมด
Ethereum: โอกาสจาก RWA Tokenization และความกังวลด้าน Gas Fee
Ethereum ซื้อขายอยู่ที่ 2,112.39 ดอลลาร์ ณ วันที่ 10 มีนาคม โดยมีช่วงการซื้อขาย 1,999.12 – 2,142.81 ดอลลาร์ใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา การวิเคราะห์ทางเทคนิคระบุแนวต้านสำคัญที่ 2,150 ดอลลาร์ และแนวรับหลักที่ 2,000 ดอลลาร์ โดยดัชนี On-Balance Volume (OBV) แสดงให้เห็นแรงขายจากนักลงทุนสถาบัน
แม้จะเผชิญความท้าทายในระยะสั้น แต่ Ethereum ได้รับประโยชน์จากกระแส RWA Tokenization โดยเฉพาะจากโครงการของ BlackRock ที่ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 500 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้มีเงินไหลเข้า Ethereum ETF เพิ่มขึ้น 800 ล้านดอลลาร์ สวนทางกับ Bitcoin
การอัปเกรด Dencun ล่าสุดช่วยลดค่า Gas Fee เฉลี่ยลงเหลือเพียง 1.5 ดอลลาร์ แต่กลับส่งผลกระทบเชิงลบต่อรายได้ของผู้ที่ Stake ETH ซึ่งลดลงเหลือ 3.2% ต่อปี ความขัดแย้งระหว่างการเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายกับความยั่งยืนของรายได้นักลงทุนกำลังสร้างแรงกดดันต่อราคา อย่างไรก็ตาม การเตรียมอัปเกรด Prague/Electra เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ L2 scaling อาจเป็นปัจจัยบวกในระยะยาว
นักวิเคราะห์จาก VirtualBacon คาดการณ์ว่าหากสถาบันเพิ่มสัดส่วนการถือครองผ่าน ETF ราคา Ethereum อาจแตะ 14,000 ดอลลาร์ภายในปี 2025 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน ETH/BTC ที่อยู่ที่ 0.028 ณ วันที่ 10 มีนาคม เป็นสัญญาณที่น่ากังวล โดยนักวิเคราะห์มองว่าจำเป็นต้องปรับตัวขึ้นเหนือ 0.031 เพื่อเปิดทางสู่การฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง
Stablecoins: ผลกระทบของร่างกฎหมาย GENIUS Act
การเตรียมลงมติร่างกฎหมาย GENIUS Act (Guiding and Establishing National Innovation for US Stablecoins) ระหว่างวันที่ 10-14 มีนาคม 2025 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาด Stablecoins ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ออก Stablecoin ต้องมีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลและรักษาสินทรัพย์สำรองในอัตรา 1:1 พร้อมการตรวจสอบโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ
ผลกระทบของร่างกฎหมายเห็นได้ชัดจากการปรับตัวของราคาและปริมาณการซื้อขาย โดย Stablecoin ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งเช่น USDC ได้รับความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น มีปริมาณการออกโทเค็นใหม่เพิ่ม 1.4 พันล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรกของมีนาคม ในขณะที่ Stablecoin ขนาดเล็กอย่าง FDUSD ปรับตัวลง 0.3% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเพียงพอของสินทรัพย์สำรอง
ข้อกำหนดการรายงานทางการเงินที่เข้มงวดทำให้ผู้ให้บริการขนาดเล็กเช่น Honey (HONEY) ประกาศยุติการออกโทเค็นใหม่ ส่งผลให้อุปทานลดลง 7% และราคาปรับขึ้น 0.15% ภายใน 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ โทษทางอาญาสำหรับการรายงานเท็จตามมาตรา 4 ของร่างกฎหมาย ทำให้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนบางแห่งระงับการซื้อขาย Stablecoin ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ
ผลกระทบต่อตลาด DeFi ก็มีนัยสำคัญ โดยปริมาณล็อกทุนในโปรโตคอลเช่น MakerDAO ลดลง 15% ภายใน 3 วัน ส่งผลให้อัตราส่วน Dai ในระบบลดลง 9% และเพิ่มความต้องการแลกเปลี่ยนเป็น USDC ที่มีการกำกับดูแลมากกว่า
ผลกระทบของการประชุม Crypto Summit และบทบาทของรัฐบาลทรัมป์
การประชุม Crypto Summit ครั้งแรกในทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2025 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการสินทรัพย์ดิจิทัล โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้เวทีนี้ประกาศนโยบายเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ 3 ประการ:
นโยบายเหล่านี้มีผลกระทบผสมผสานต่อตลาด ในระยะสั้น เกิดความผันผวนจากการปรับพอร์ตของสถาบันการเงิน แต่ในระยะกลางถึงยาว อาจสร้างความชัดเจนในกรอบกฎหมายและเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินดั้งเดิมเข้าร่วมตลาด DeFi มากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่ JPMorgan ประกาศแผนเปิดบริการสเตกกิ้งภายในไตรมาสที่ 2/2025 และ BlackRock เตรียมขยาย Bitcoin ETF ไปยังผลิตภัณฑ์อนุพันธ์
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2025 กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ อันเนื่องมาจากปัจจัยด้านกฎระเบียบและนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะผลกระทบจากการประชุม Crypto Summit และการพิจารณาร่างกฎหมาย GENIUS Act ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดในระยะถัดไป
สำหรับ Bitcoin แม้จะมีแรงกดดันระยะสั้นจากการเทขายของนักลงทุนสถาบัน แต่แนวโน้มระยะยาวยังคงแข็งแกร่งจากการยอมรับในระบบการเงินกระแสหลัก นโยบาย Strategic Bitcoin Reserve ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงความเชื่อมั่นของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อสินทรัพย์ดิจิทัล แม้จะมีข้อจำกัดในทางปฏิบัติ ส่วน Ethereum กำลังเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันของเครือข่าย Layer 2 แต่ก็มีโอกาสเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากกระแส RWA Tokenization และการเตรียมอัปเกรด Prague/Electra
ในส่วนของตลาด Stablecoins การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบภายใต้ GENIUS Act จะสร้างสมดุลใหม่ โดย Stablecoin ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งจะได้รับประโยชน์ ขณะที่ผู้ให้บริการรายเล็กอาจต้องปรับตัวหรือออกจากตลาด ซึ่งในระยะยาวจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของ Stablecoin ในระบบการเงินโดยรวม
สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ มีข้อเสนอแนะดังนี้:
1. สำหรับการลงทุนระยะสั้น (1-2 สัปดาห์)
การติดตามการยืนราคา Bitcoin เหนือแนวรับสำคัญที่ 80,000 ดอลลาร์มีความสำคัญอย่างยิ่ง หากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง อาจพิจารณาเข้าซื้อเมื่อ RSI ต่ำกว่า 30 หรือเมื่อราคาทดสอบเส้น MA 50 วัน โดยตั้งเป้าทำกำไรที่แนวต้าน 85,000-90,000 ดอลลาร์ ควรใช้กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงโดยตั้ง Stop Loss ไว้ใต้ระดับ 78,000 ดอลลาร์เพื่อป้องกันการขาดทุนที่มากเกินไป
2. สำหรับ Ethereum
แนะนำให้รอสัญญาณการฟื้นตัวเหนือแนวต้านที่ 2,150 ดอลลาร์ และพิจารณาการเข้าซื้อเมื่อมีการยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น การตั้งเป้าทำกำไรที่ 2,300-2,500 ดอลลาร์มีความเป็นไปได้ในระยะสั้น หากผลการลงมติ GENIUS Act เป็นไปในทิศทางบวก ทั้งนี้ ควรใช้แนวรับที่ 2,000 ดอลลาร์เป็น Stop Loss เพื่อจำกัดความเสียหายหากตลาดปรับตัวลงรุนแรง
3. สำหรับ Stablecoins
ในสถานการณ์ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบ แนะนำให้พิจารณาถือครอง USDC และ DAI ที่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากร่างกฎหมาย GENIUS Act เนื่องจากมีความโปร่งใสและสินทรัพย์สำรองที่มั่นคง ควรหลีกเลี่ยง Stablecoin ขนาดเล็กที่อาจมีปัญหาด้านสินทรัพย์สำรองหรือไม่สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ได้อย่างครบถ้วน
4. กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง
ในภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง การกระจายการลงทุนระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทต่างๆ และสินทรัพย์ดั้งเดิมมีความสำคัญอย่างยิ่ง แนะนำให้จัดสรรพอร์ตโฟลิโอให้มี Bitcoin ไม่เกิน 40%, Ethereum 30%, Stablecoins 20% และ Altcoins ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง 10% เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน
ปัจจัยสำคัญที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิดในสัปดาห์นี้ ได้แก่:
สถานการณ์ตลาดคริปโตในปัจจุบันสะท้อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค Institutional Adoption อย่างเต็มรูปแบบ โดย Bitcoin ถูกมองเป็น Digital Gold ในพอร์ตสำรอง ขณะที่ Ethereum ถูกขับเคลื่อนด้วย Utility จากการประยุกต์ใช้ RWA และ DeFi 2.0 แม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น แต่แนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นบวกสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง นักลงทุนที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบและมีความอดทนมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงระยะยาว