หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ดัชนี NASDAQ 100 (US100) ปิดที่ระดับ 18,196.22 จุด ในวันที่ 10 มีนาคม 2025 ด้วยการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% จากวันก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่ยังคงหนาแน่นในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี แม้จะเผชิญกับความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยและการชะลอตัวของการเติบโตของกำไร ความแข็งแกร่งนี้สะท้อนผ่านการที่ดัชนียังคงอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) สำคัญทั้ง 50, 100, และ 200 วัน แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นระยะกลางถึงยาว
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การซื้อขายดัชนี US100 ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) แม้ว่า FOMC จะได้ปรับลดคาดการณ์จำนวนครั้งของการลดดอกเบี้ยในปี 2025 จากเดิม 4 ครั้งเหลือเพียง 2 ครั้ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงมองว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงในระยะยาว
จากมุมมองทางเทคนิค ดัชนี US100 กำลังทดสอบแนวต้านสำคัญที่ระดับ 19,200 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน หากสามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ อาจเปิดทางให้ดัชนีทดสอบระดับ 20,000 จุดในไตรมาส 2/2025 อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดทางเทคนิคอย่าง RSI และ MACD ในกรอบเวลารายวันเริ่มแสดงสัญญาณ Overbought ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานในระยะสั้น
นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนกุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงินของ Fed และส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Meta และ Microsoft ที่จะประกาศในวันที่ 15-17 มีนาคม
ในช่วงสัปดาห์นี้ มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี US100 ดังนี้
วันที่ 12 มีนาคม 2025: การประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เดือนกุมภาพันธ์ ตลาดคาดการณ์ที่ระดับ 2.4% YoY ซึ่งหากตัวเลขออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ อาจทำให้ Fed ชะลอแผนการลดอัตราดอกเบี้ย และส่งผลกดดันต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มี P/E สูง โดยเฉพาะในกลุ่ม Growth Stocks ที่มูลค่าปัจจุบันขึ้นอยู่กับการคาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคต
วันที่ 13 มีนาคม 2025: การประกาศดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจแนวโน้มเงินเฟ้อในระดับผู้ผลิต และอาจเป็นตัวบ่งชี้ล่วงหน้าถึงแนวโน้มเงินเฟ้อในอนาคต โดยหากตัวเลข PPI ชะลอตัวลง อาจสนับสนุนความเชื่อมั่นว่า Fed จะสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ตามแผน
วันที่ 15 มีนาคม 2025: Meta (Facebook) จะประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2025 ซึ่งนักวิเคราะห์จะให้ความสำคัญกับรายได้จากการโฆษณาและความคืบหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ผลประกอบการที่ดีกว่าคาดอาจสร้างแรงซื้อให้กับหุ้นเทคโนโลยีทั้งกลุ่ม
วันที่ 17 มีนาคม 2025: Microsoft จะประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2025 โดยตลาดให้ความสนใจเป็นพิเศษกับรายได้จากบริการคลาวด์ Azure และผลตอบรับจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า 80,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของทิศทางการลงทุนในเทคโนโลยี AI ของอุตสาหกรรม
วันที่ 20 มีนาคม 2025: การประชุมของรัฐสภาสหรัฐฯ เกี่ยวกับกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะมาตรการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและพลังงานสะอาด ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทในดัชนี NASDAQ 100 หากมีความคืบหน้าในการลงมติ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังควรติดตามพัฒนาการด้านการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ หลังจีนประกาศเก็บภาษีตอบโต้สินค้าเกษตรแคนาดามูลค่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของบริษัทเทคโนโลยีที่มีการดำเนินงานในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะ Apple และ Tesla ที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับจีนอย่างใกล้ชิด
เหตุการณ์เศรษฐกิจเหล่านี้จะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางและความผันผวนของดัชนี US100 ในระยะสั้น นักลงทุนจึงควรเตรียมความพร้อมและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของดัชนี US100 แสดงให้เห็นถึงภาพโครงสร้างราคาที่น่าสนใจในหลายกรอบเวลา ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการเทรดได้ดังนี้
การวิเคราะห์ในกรอบเวลารายวัน (Daily):
ดัชนี US100 กำลังเคลื่อนตัวในแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง โดยราคาเคลื่อนตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำคัญทั้ง 21, 50, 100 และ 200 วัน ซึ่งเรียงตัวในลักษณะขาขึ้น (Bullish Alignment) แสดงถึงแนวโน้มเชิงบวกที่แข็งแกร่ง โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคม 2025 ราคาได้สร้างรูปแบบ Higher Highs และ Higher Lows อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงแรงซื้อที่มีเสถียรภาพ
อย่างไรก็ตาม ค่า RSI ในกรอบรายวันเริ่มแสดงสัญญาณเข้าสู่เขต Overbought ที่ระดับเหนือ 70 ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงโอกาสในการปรับฐานระยะสั้น นอกจากนี้ยังมีสัญญาณ Bearish Divergence ระหว่างราคาที่ทำจุดสูงสุดใหม่กับค่า MACD ที่ไม่ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ตาม แสดงถึงการอ่อนแรงของโมเมนตัมขาขึ้น
การวิเคราะห์ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง (H4):
ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง ราคาเคลื่อนตัวในลักษณะของการสร้างช่องแนวโน้มขาขึ้น (Ascending Channel) ที่ชัดเจน โดยแนวรับของช่องนี้ได้รับการทดสอบและยืนยันหลายครั้ง ล่าสุดในช่วงต้นเดือนมีนาคม ราคาได้ทดสอบแนวรับนี้พร้อมกับการเกิด Bullish Engulfing Pattern ซึ่งเป็นสัญญาณกลับตัวเชิงบวกที่น่าเชื่อถือ
นอกจากนี้ ตัวชี้วัด Stochastic ในกรอบ H4 เพิ่งแสดงสัญญาณ Golden Cross (เส้น %K ตัดขึ้นเหนือเส้น %D) ในเขต Oversold และเริ่มเคลื่อนตัวขึ้น สนับสนุนโอกาสในการฟื้นตัวของราคาในระยะสั้น ขณะที่ Bollinger Bands เริ่มขยายตัวกว้างขึ้น บ่งชี้ถึงความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นและโอกาสในการเกิด Breakout
การวิเคราะห์ในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง (H1):
กรอบเวลารายชั่วโมงแสดงให้เห็นถึงการเกิดรูปแบบ Cup and Handle ซึ่งเป็นรูปแบบการกลับตัวเชิงบวกระยะกลาง โดยส่วนของ “Handle” กำลังก่อตัวหลังจากที่ราคาได้สร้างส่วนของ “Cup” เสร็จสมบูรณ์ หากราคาสามารถทะลุผ่านแนวต้านของรูปแบบนี้ได้ จะเป็นสัญญาณซื้อที่แข็งแกร่งและอาจนำไปสู่การเคลื่อนตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
MACD ในกรอบ H1 เพิ่งแสดงสัญญาณ Bullish Crossover (เส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal) ซึ่งมักเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเคลื่อนตัวขึ้นใหม่ ประกอบกับการที่ราคาเคลื่อนตัวอยู่เหนือ Fractals ขาลงล่าสุด บ่งชี้ว่าแรงกดดันจากการขายเริ่มลดลง
แนวโน้มและจุดเข้าซื้อขายที่น่าสนใจ:
จากการวิเคราะห์แผนภูมิทั้ง 3 กรอบเวลา แสดงให้เห็นว่าดัชนี US100 ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง แม้จะมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความเสี่ยงในการปรับฐานระยะสั้น ดังนั้น กลยุทธ์ “Buy the Dips” หรือการซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมาที่แนวรับสำคัญจึงมีความเหมาะสมในสภาวะตลาดปัจจุบัน
จุดเข้าซื้อที่น่าสนใจคือบริเวณแนวรับของ Ascending Channel ในกรอบ H4 (ประมาณ 17,800 จุด) ซึ่งตรงกับบริเวณ Moving Average 50 วัน โดยควรรอยืนยันสัญญาณกลับตัวเชิงบวก เช่น Bullish Engulfing หรือ Hammer สำหรับจุดเข้าขายหรือปิดกำไรควรพิจารณาเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ 19,200 จุด หรือเมื่อมีสัญญาณกลับตัวเชิงลบที่ชัดเจน
การติดตามการเคลื่อนไหวของปริมาณการซื้อขาย (Volume) ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ราคาจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณทางเทคนิค โดยหากการทะลุแนวต้านหรือแนวรับเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายสูงผิดปกติ จะเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของสัญญาณดังกล่าว
การระบุระดับแนวต้านที่สำคัญมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการวางแผนกลยุทธ์การซื้อขาย US100 อย่างมีประสิทธิภาพ จากการวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิคล่าสุด สามารถกำหนดระดับแนวต้านสำคัญได้ดังนี้:
แนวต้านที่ 19,650 จุด: เป็นระดับจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ (All-Time High) ที่ดัชนีเคยทำได้ในเดือนกรกฎาคม 2024 ก่อนที่จะเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ ระดับนี้มีความสำคัญอย่างมากในเชิงจิตวิทยาและมักจะมีแรงขายทำกำไรสูง การทะลุผ่านระดับนี้จะเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่ที่แข็งแกร่ง
แนวต้านที่ 20,000 จุด: เป็นระดับกลมทางจิตวิทยา (Psychological Round Number) ที่มักมีแรงต้านธรรมชาติ แม้จะไม่ใช่ระดับทางเทคนิคโดยตรง แต่มักจะมีการตั้งคำสั่งขายล่วงหน้าจำนวนมากรอไว้ที่ระดับนี้ ทำให้ดัชนีอาจต้องใช้แรงซื้อที่มากขึ้นเพื่อทะลุผ่านไปได้
แนวต้านที่ 20,400 จุด: เป็นเป้าหมายทางเทคนิคจากการวัดความกว้างของช่องแนวโน้มขาขึ้น (Ascending Channel) ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง โดยวัดจากจุดต่ำสุดของช่องมายังแนวต้านบน หากแนวโน้มขาขึ้นยังคงดำเนินต่อไป ราคาอาจมีโอกาสไปถึงระดับนี้ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า
แนวต้านที่ 20,800 จุด: เป็นเป้าหมายจากการคำนวณด้วย Fibonacci Projection 161.8% จากจุดต่ำสุดล่าสุดในเดือนมกราคม 2025 มายังจุดสูงสุดของการฟื้นตัวล่าสุด ระดับนี้มักได้รับความสนใจจากนักวิเคราะห์ทางเทคนิคและเทรดเดอร์มืออาชีพ
แนวต้านที่ 21,000 จุด: เป็นระดับกลมทางจิตวิทยาอีกระดับหนึ่งและยังสอดคล้องกับการคาดการณ์บนพื้นฐานของอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทในดัชนี US100 ในปี 2025 ที่ประมาณ 18% หากผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ออกมาดีกว่าคาด ระดับนี้อาจเป็นเป้าหมายที่สมเหตุสมผลภายในสิ้นปี 2025
นักลงทุนที่มีสถานะซื้อในดัชนี US100 อยู่แล้ว ควรพิจารณาแต่ละระดับแนวต้านเหล่านี้เป็นโอกาสในการทยอยปิดกำไรบางส่วน โดยเฉพาะเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับ 19,650 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิม โดยอาจพิจารณาตั้งคำสั่ง Trailing Stop เพื่อปกป้องกำไรที่มีอยู่หากเกิดการกลับตัวของราคา ส่วนนักลงทุนที่กำลังรอเปิดสถานะใหม่ ควรรอสังเกตพฤติกรรมราคาเมื่อทดสอบแนวต้านแต่ละระดับ หากพบว่ามีการทะลุผ่านด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูง อาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อตามแนวโน้มขาขึ้นต่อไป
การระบุระดับแนวรับที่สำคัญเป็นองค์ประกอบสำคัญในการบริหารความเสี่ยงและระบุโอกาสในการเข้าซื้อที่เหมาะสม สำหรับดัชนี US100 ระดับแนวรับสำคัญที่ควรติดตามมีดังต่อไปนี้:
แนวรับที่ 19,200 จุด: ปัจจุบันเป็นระดับแนวรับสำคัญที่ดัชนีเพิ่งผ่านขึ้นมาได้ ระดับนี้เคยเป็นแนวต้านสำคัญในช่วงปลายปี 2024 และตามทฤษฎีทางเทคนิคจะกลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งหลังจากที่ถูกทะลุผ่านไปแล้ว หากดัชนีปรับตัวลงมาทดสอบระดับนี้และสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ จะเป็นสัญญาณยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง
แนวรับที่ 18,800 จุด: เป็นระดับของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 วัน ซึ่งดัชนีใช้เป็นแนวรับในการปรับฐานช่วงสั้นหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา การที่ราคาสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยนี้ได้แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นที่ยังคงมีความแข็งแกร่ง ระดับนี้ยังสอดคล้องกับแนวรับของช่องแนวโน้มขาขึ้นในกรอบเวลา H4
แนวรับที่ 18,350 จุด: เป็นระดับของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน และยังเป็นระดับ Fibonacci Retracement 38.2% ของการปรับตัวขึ้นตั้งแต่จุดต่ำสุดในเดือนมกราคม 2025 การทดสอบและยืนที่ระดับนี้ถือเป็นการปรับฐานที่ปกติในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง นักลงทุนอาจพิจารณาเข้าซื้อที่บริเวณนี้หากมีสัญญาณการกลับตัวทางเทคนิคที่เชื่อถือได้ เช่น การเกิด Bullish Engulfing Pattern หรือ Hammer
แนวรับที่ 17,800 จุด: เป็นระดับ Fibonacci Retracement 50% ของการปรับตัวขึ้นล่าสุด และใกล้เคียงกับจุดต่ำล่าสุดในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2025 การปรับตัวลงมาถึงระดับนี้อาจบ่งชี้ถึงการปรับฐานที่ค่อนข้างรุนแรง แต่ยังอยู่ในกรอบของแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง หากราคาทะลุลงมาต่ำกว่าระดับนี้อย่างมีนัยสำคัญ อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะกลาง
แนวรับที่ 17,300 จุด: เป็นระดับของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน และยังเป็นระดับ Fibonacci Retracement 61.8% ซึ่งมักเป็นระดับสุดท้ายของการปรับฐานในแนวโน้มขาขึ้น หากราคาปรับตัวลงมาถึงระดับนี้ ควรติดตามสัญญาณการกลับตัวอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจเป็นจุดเข้าซื้อที่ให้อัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk-Reward Ratio) ที่ดี
แนวรับที่ 16,500 จุด: เป็นระดับของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มหลักในระยะยาว การทะลุลงมาต่ำกว่าระดับนี้จะเป็นสัญญาณเชิงลบที่ชัดเจนและอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงในระยะยาว
ปัจจัยพื้นฐานเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่กำหนดทิศทางระยะกลางถึงยาวของดัชนี US100 การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างมีหลักการและรับมือกับความผันผวนในระยะสั้นได้ดีขึ้น ปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลต่อดัชนี US100 มีดังนี้:
นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)
จากการประชุมล่าสุดของ Fed เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2025 ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ 4.25%-4.50% อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ได้ปรับลดการคาดการณ์จำนวนครั้งของการลดดอกเบี้ยในปี 2025 จากเดิม 4 ครั้งเหลือเพียง 2 ครั้ง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% และเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้
การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.60% ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อการประเมินมูลค่าของหุ้นเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงเชื่อว่าทิศทางระยะยาวของอัตราดอกเบี้ยจะลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มบริษัทที่มีการเติบโตสูงในดัชนี US100
ผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
กลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ 7 แห่ง ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta, Nvidia และ Tesla ยังคงมีสัดส่วนรวมกันกว่า 50% ของดัชนี NASDAQ 100 ข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence ชี้ว่าการเติบโตของกำไรกลุ่มนี้ในปี 2025 คาดว่าจะลดลงเหลือ 18% จากเดิม 34% ในปี 2024
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาโดยไม่รวม Nvidia การเติบโตของกำไรจะอยู่ที่เพียง 3% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเติบโตของดัชนีพึ่งพา Nvidia มากเกินไป และอาจนำไปสู่ความเปราะบางหากผลประกอบการของ Nvidia ไม่เป็นไปตามคาด นักลงทุนควรติดตามการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2025 ของ Meta และ Microsoft ในวันที่ 15-17 มีนาคม อย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะเป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มของกลุ่มเทคโนโลยีทั้งหมด
การพัฒนาด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดเทคโนโลยี โดย Microsoft ได้ประกาศแผนลงทุนเพิ่มเติม 80,000 ล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูล AI ในปี 2025 ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานของ AI โดยเฉพาะ Nvidia ที่เป็นผู้ผลิตชิปกราฟิกการ์ดหลักสำหรับระบบ AI
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการแปลงการลงทุนนี้เป็นรายได้ที่แท้จริงในระยะกลาง และอาจมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะฟองสบู่ AI หากบริษัทไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่ชัดเจน
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 หดตัว 0.7% ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่ -0.4% สะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจจีนที่ยังคงชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีที่พึ่งพาตลาดจีนอย่าง Apple และ Tesla
นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ยังคงมีอยู่ หลังจากจีนประกาศเก็บภาษีตอบโต้สินค้าเกษตรแคนาดามูลค่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการดำเนินนโยบายการค้าที่เข้มงวดมากขึ้นของจีนต่อพันธมิตรของสหรัฐฯ
การประเมินมูลค่าและความเสี่ยงในการลงทุน
ปัจจุบันดัชนี NASDAQ 100 มีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ที่ 22 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 18.4 เท่า แสดงให้เห็นว่าตลาดอาจมีการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะในบริบทของอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทเทคโนโลยียังคงมีงบดุลที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดที่มั่นคง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากสภาพคล่องหรือความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ แม้จะมีความผันผวนในตลาดก็ตาม การกระจายการลงทุนไปยังกลุ่ม Healthcare และ Industrials ที่มีอัตราการเติบโตของกำไรคาดการณ์ที่ 20% และ 18% ตามลำดับในปี 2025 อาจช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของกลุ่มเทคโนโลยีได้
ดัชนี US100 (NASDAQ 100) ยังคงแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งในระยะกลาง โดยราคายังคงเคลื่อนตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำคัญทั้ง 21, 50, 100 และ 200 วัน ล่าสุดดัชนีปิดที่ระดับ 18,196.22 จุด ในวันที่ 10 มีนาคม 2025 ด้วยการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่ยังคงหนาแน่นแม้จะมีความกังวลด้านนโยบายการเงินและการชะลอตัวของการเติบโตของกำไร
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค เห็นได้ชัดว่าดัชนียังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โดยมีการสร้างรูปแบบ Higher Highs และ Higher Lows อย่างต่อเนื่อง แนวรับสำคัญที่ควรติดตามได้แก่ 19,200, 18,800, 18,350 และ 17,800 จุด ตามลำดับ ในขณะที่แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 19,650, 20,000 และ 20,400 จุด หากดัชนีสามารถทะลุผ่าน 19,650 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ได้ จะเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่ที่แข็งแกร่ง
ในส่วนของปัจจัยพื้นฐาน การลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed แม้จะช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม แต่ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนระยะยาวสำหรับหุ้นเทคโนโลยี การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก Microsoft ที่ประกาศแผนลงทุนเพิ่มเติม 80,000 ล้านดอลลาร์ ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาด อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระวังความเสี่ยงจากการพึ่งพา Nvidia มากเกินไป และความสามารถในการแปลงการลงทุนด้าน AI เป็นรายได้ที่แท้จริงในระยะกลาง
นักลงทุนควรให้ความสนใจกับเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ในวันที่ 12-13 มีนาคม และการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2025 ของ Meta และ Microsoft ในวันที่ 15-17 มีนาคม ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของทิศทางตลาดในระยะสั้น
กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบันคือ “Bullish with Caution” หรือการเทรดตามแนวโน้มขาขึ้นแต่ด้วยความระมัดระวัง โดยนักลงทุนอาจพิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับสำคัญ โดยเฉพาะที่ระดับ Moving Average 50 วัน (ประมาณ 18,350 จุด) พร้อมตั้ง Stop Loss ไว้ใต้แนวรับถัดไปเพื่อจำกัดความเสี่ยง สำหรับการทำกำไร อาจพิจารณาทยอยปิดสถานะเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ 19,650 และ 20,000 จุด
โดยสรุป ภาพรวมของดัชนี US100 ยังคงเป็นบวกในระยะกลางถึงยาว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามสัญญาณการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหากราคาทะลุลงมาต่ำกว่า Moving Average 100 วัน (ประมาณ 17,300 จุด) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะกลาง การบริหารความเสี่ยงที่ดีและการยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์จะเป็นกุญแจสำคัญในการเทรดดัชนี US100 อย่างประสบความสำเร็จในสภาวะตลาดปัจจุบัน