หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ดัชนี GER40 (DAX 40) ซึ่งเป็นตัวแทนของ 40 บริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ต กำลังเผชิญกับช่วงเวลาแห่งการพักฐานหลังจากที่ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 23,475.88 จุดในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2568 โดยล่าสุด ณ วันที่ 11 มีนาคม 2568 ดัชนีปิดที่ระดับ 22,550.89 จุด ปรับตัวลดลง 1.07% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความระมัดระวังของนักลงทุนก่อนการประกาศนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 มีนาคม
การปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 4 มีนาคม ที่ 3.54% เป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะการประกาศขึ้นภาษีสินค้ายานยนต์นำเข้าจาก EU เป็น 25% ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มยานยนต์ในดัชนี เช่น BMW, Volkswagen และ Continental ที่ปรับตัวลดลงเฉลี่ย 5.9%
อย่างไรก็ตาม มุมมองระยะกลางถึงระยะยาวของดัชนี GER40 ยังคงเป็นบวก โดยได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะลดลง 50 จุดพื้นฐาน หลังจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของเยอรมนีในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 2.8% และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง
ด้านสภาพคล่องของตลาด พบว่าปริมาณการซื้อขายในวันที่ 10 มีนาคมสูงถึง 149.03 ล้านหน่วย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ แต่ลดลงเหลือ 74.23 ล้านหน่วยในวันที่ 11 มีนาคม สะท้อนถึงการชะลอการลงทุนเพื่อรอดูทิศทางนโยบายการเงินและปัจจัยเศรษฐกิจสำคัญที่จะประกาศในสัปดาห์นี้
พฤติกรรมของนักลงทุนสถาบันและรายย่อยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยนักลงทุนสถาบันได้ลดการเปิดสถานะ long ใน GER40 ลง 12% จากระดับสูงสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยกลับเพิ่มสัดส่วนการซื้อผ่าน CFD ขึ้น 7% สะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างนักลงทุนสองกลุ่มนี้
การวิเคราะห์ทางเทคนิคชี้ให้เห็นถึงการทะลุแนวต้าน Bollinger Band บนในกรอบรายวันเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ระดับ 23,479.0 EUR พร้อมสัญญาณโอเวอร์บอท์จากตัวชี้วัดอย่าง %R และ CCI ซึ่งนำไปสู่การปรับฐานในเวลาต่อมา ปัจจุบัน ดัชนี RSI (14-day) อยู่ที่ 58.2 ซึ่งอยู่ในโซนกลาง ไม่แสดงสัญญาณโอเวอร์บอท์หรือโอเวอร์โซลด์
ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนควรติดตามการประกาศนโยบายของ ECB การเจรจาการค้าระหว่าง EU-สหรัฐฯ และข้อมูลเงินเฟ้อเยอรมันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนี GER40 ในระยะสั้น
ในสัปดาห์นี้ (11-17 มีนาคม 2568) มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของดัชนี GER40 นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
การแถลงนโยบาย ECB (14 มีนาคม 2568)
การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรปถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้ ตลาดจับตาคำแถลงของประธาน ECB Christine Lagarde เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยและมาตรการสนับสนุนสภาพคล่องในระบบการเงิน แม้ว่าตลาดคาดการณ์ว่า ECB จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ แต่อาจมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย 50 จุดพื้นฐานในไตรมาสที่ 2/2568
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือท่าทีของ ECB ต่อแผนการชดเชยดอกเบี้ยจำนองให้กับครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบและแนวทางแก้ไขปัญหาสภาพคล่องในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงินในยุโรป หากมีการส่งสัญญาณเชิงบวกอาจเป็นปัจจัยหนุนดัชนี GER40 ในระยะสั้น
ข้อมูลเงินเฟ้อเยอรมันและยุโรป (13 มีนาคม 2568)
การเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของเยอรมนีในเดือนมีนาคมมีความสำคัญต่อการคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของ ECB นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนี HICP ของเยอรมนีจะอยู่ที่ประมาณ 2.6% YoY ลดลงจาก 2.8% ในเดือนกุมภาพันธ์ หากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ จะเพิ่มความเป็นไปได้ที่ ECB จะลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลบวกต่อดัชนี GER40
ดัชนี ZEW Economic Sentiment (12 มีนาคม 2568)
ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจากสถาบัน ZEW เป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเชื่อมั่นนักลงทุนและมุมมองต่อเศรษฐกิจเยอรมนีในอนาคต คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ -12.5 จาก -15.6 ในเดือนก่อน ซึ่งแม้จะยังอยู่ในแดนลบแต่การปรับตัวดีขึ้นจะสะท้อนถึงมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเยอรมนี
ผลการเลือกตั้งรัฐท้องถิ่นบาเยิร์น (12 มีนาคม 2568)
การเลือกตั้งในรัฐบาเยิร์นซึ่งเป็นรัฐที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของเยอรมนีอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ การแข่งขันระหว่างพรรค CSU กับพรรค Greens มีนัยสำคัญต่อทิศทางนโยบายพลังงานและอุตสาหกรรมของเยอรมนีในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมหนักและพลังงานในดัชนี GER40
การเจรจาการค้า EU-สหรัฐฯ (15 มีนาคม 2568)
ความคืบหน้าของการเจรจาเพื่อลดภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐานในดัชนี GER40 หากการเจรจามีความคืบหน้าในเชิงบวก อาจช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและส่งผลดีต่อบริษัทส่งออกของเยอรมนี โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์และอุตสาหกรรมหนักซึ่งมีสัดส่วนสำคัญในดัชนี
ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมเยอรมัน (16 มีนาคม 2568)
รายงานข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีจะให้ภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของภาคการผลิตซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจเยอรมัน ข้อมูลล่าสุดจากสถาบันเศรษฐกิจเยอรมัน (IW) ชี้ว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยเฉพาะในสาขายานยนต์และวิศวกรรมเครื่องกล ตัวเลขที่ดีกว่าคาดการณ์อาจช่วยฟื้นความเชื่อมั่นต่อหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตซึ่งมีน้ำหนักมากในดัชนี GER40
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบครอบคลุมหลาย Timeframe เป็นสิ่งสำคัญในการระบุแนวโน้มและโอกาสในการเทรด GER40 ต่อไปนี้เป็นการวิเคราะห์กราฟในกรอบเวลาต่างๆ เพื่อให้ได้มุมมองที่ครบถ้วนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
การวิเคราะห์กราฟรายวัน (D1)
ในกรอบเวลารายวัน ดัชนี GER40 แสดงให้เห็นแนวโน้มขาขึ้นระยะกลางที่ชัดเจน โดยยังคงเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน แม้จะมีการปรับฐานลงมาในช่วงต้นเดือนมีนาคม เมื่อวันที่ 5-6 มีนาคม ดัชนีได้ทะลุแนวต้าน Bollinger Band บนที่ระดับ 23,479.0 จุด พร้อมกับการเกิด Bearish Engulfing Pattern ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงการกลับตัวระยะสั้น
ค่า RSI ในกรอบรายวันปัจจุบันอยู่ที่ 58.2 ซึ่งไม่ได้แสดงสัญญาณโอเวอร์บอท์หรือโอเวอร์โซลด์ ขณะที่เส้น MACD ได้ตัดลงต่ำกว่า Signal Line เมื่อวันที่ 9 มีนาคม สะท้อนถึงโมเมนตัมขาลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ราคายังคงอยู่เหนือ Ichimoku Cloud ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นระยะกลางที่ยังคงมีอยู่
ปริมาณการซื้อขาย (Volume) แสดงให้เห็นการลดลงของแรงซื้อในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดใหม่ ก่อนที่จะมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายในช่วงที่ราคาปรับตัวลง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึง Volume-Price Divergence อันเป็นสัญญาณของการอ่อนแรงของแนวโน้มขาขึ้น
การวิเคราะห์กราฟรายชั่วโมง (H4 และ H1)
ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง (H4) ดัชนี GER40 อยู่ในช่วงพักฐานหลังจากการปรับตัวลงจากจุดสูงสุด โดยราคาได้ทดสอบแนวรับที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 คาบและสามารถรีบาวด์ขึ้นมาได้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ค่า MACD ยังคงอยู่ต่ำกว่าเส้น Signal ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงขายยังคงมีอยู่
กราฟรายชั่วโมง (H1) แสดงให้เห็นการเกิดรูปแบบ Descending Triangle ซึ่งเป็นรูปแบบการกระจายตัวที่มีแนวโน้มลง โดยมีแนวต้านที่ลดระดับลงมาเรื่อยๆ และแนวรับแนวนอนที่ระดับประมาณ 22,500 จุด หากราคาหลุดแนวรับนี้ไป อาจมีการปรับตัวลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 22,200 จุด
ค่า Stochastic Oscillator ในกรอบ H1 แสดงสัญญาณโอเวอร์โซลด์ที่ระดับต่ำกว่า 20 และเริ่มมีสัญญาณการตัดขึ้น (Bullish Crossover) ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงโอกาสในการรีบาวด์ระยะสั้น
การวิเคราะห์กราฟรายนาที (M30, M15, M5)
ในกรอบเวลา 30 นาที (M30) ดัชนี GER40 แสดงสัญญาณการฟอร์มตัวของรูปแบบ Double Bottom ที่ระดับประมาณ 22,480 จุด ซึ่งหากราคาสามารถทะลุแนวต้านที่คอรูปแบบนี้ (neckline) ได้ จะเป็นสัญญาณซื้อระยะสั้น
กราฟ 15 นาที (M15) และ 5 นาที (M5) แสดงให้เห็นการเกิด Bullish Divergence ระหว่างราคาและค่า RSI โดยราคาทำจุดต่ำสุดที่ต่ำลงแต่ค่า RSI กลับทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณของการอ่อนแรงของแรงขาย และอาจนำไปสู่การรีบาวด์ในระยะสั้น
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาด
ดัชนี GER40 มีค่าสหสัมพันธ์ (correlation) ในเชิงบวกกับดัชนี Euro Stoxx 50 ที่ 0.85 และกับ S&P 500 ที่ 0.72 โดยในช่วงที่ผ่านมา การปรับตัวลงของ Nasdaq 2.78% จากผลประกอบการของ Nvidia ได้ส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีใน GER40 อย่าง SAP SE และ Infineon Technologies ปรับตัวลดลง 3.1% และ 4.2% ตามลำดับ
ในขณะเดียวกัน คู่สกุลเงิน EUR/USD มีความสัมพันธ์กับ GER40 ในระดับปานกลาง โดยการอ่อนค่าของยูโรมักส่งผลบวกต่อบริษัทส่งออกในดัชนี แม้ว่าในระยะสั้นอาจมีผลลบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
บทวิเคราะห์ด้วย Fractals และ Price Action
จากข้อมูล Fractals ที่ปรากฏในกราฟ GER40 พบว่ามีการเกิด Up Fractal ที่ระดับ 23,475.88 จุด ซึ่งกลายเป็นแนวต้านสำคัญในปัจจุบัน ขณะที่ Down Fractals ล่าสุดเกิดที่ระดับประมาณ 22,450 จุด ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวรับระยะสั้น
การวิเคราะห์ Price Action แสดงให้เห็นว่าราคาได้สร้างแท่งเทียน Hammer ในกรอบรายวันเมื่อวันที่ 10 มีนาคม หลังจากทดสอบแนวรับที่ 22,200 จุด ซึ่งเป็นสัญญาณบวกระยะสั้น แต่ยังต้องรอการยืนยันจากแท่งเทียนในวันถัดไป
สรุปการวิเคราะห์กราฟ
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคในหลาย Timeframe พบว่าดัชนี GER40 กำลังอยู่ในช่วงพักฐานระยะสั้นหลังจากที่ทำจุดสูงสุดใหม่ โดยมีแนวโน้มขาลงในระยะสั้น แต่ยังคงรักษาแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางถึงระยะยาวไว้ได้ นักลงทุนระยะสั้นควรระมัดระวังและติดตามสัญญาณการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นในช่วงนี้ ขณะที่นักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวอาจพิจารณาการทยอยเข้าซื้อที่แนวรับสำคัญหากปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุน
การระบุระดับแนวต้านสำคัญเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์การเทรด โดยเฉพาะสำหรับการกำหนดจุดทำกำไรและการจัดการความเสี่ยง จากการวิเคราะห์กราฟและข้อมูลทางเทคนิคของดัชนี GER40 สามารถระบุระดับแนวต้านสำคัญได้ดังนี้
แนวต้านที่ 1: 22,750 จุด
ระดับนี้เป็นแนวต้านระยะสั้นที่สำคัญซึ่งเกิดจากการทำหน้าที่เป็นแนวรับมาก่อนในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนที่จะมีการทะลุลงมาในช่วงต้นเดือนมีนาคม ปัจจุบันระดับนี้สอดคล้องกับค่า Volume-Weighted Average Price (VWAP) ที่ 22,750 EUR และยังทำหน้าที่เป็นแนวต้านทางจิตวิทยาด้วย ในกรอบเวลา H1 และ H4 ระดับนี้ตรงกับแนวต้านของรูปแบบ Descending Triangle ซึ่งหากราคาสามารถทะลุขึ้นไปได้ อาจนำไปสู่การทดสอบแนวต้านถัดไป
แนวต้านที่ 2: 23,000 จุด
ระดับ 23,000 จุดเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญและเป็นระดับกลมที่มักมีแรงขายเข้ามา นอกจากนี้ ระดับนี้ยังสอดคล้องกับระดับ Fibonacci Resistance 61.8% ของการปรับตัวลงจากจุดสูงสุดที่ 23,475.88 จุด มาที่จุดต่ำสุดล่าสุดที่ 22,200 จุด ในกราฟ D1 ระดับนี้ยังตรงกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 วันและแนวบนของ Bollinger Bands ซึ่งทำให้เป็นแนวต้านที่มีนัยสำคัญ
แนวต้านที่ 3: 23,250 จุด
ระดับ 23,250 จุดเป็นแนวต้านที่เกิดจากการทำ Swing High ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และยังเป็นระดับที่มีปริมาณการซื้อขายสูงในอดีต ทำให้มีความสำคัญในเชิง Price Action การทะลุระดับนี้จะเป็นสัญญาณของความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง และอาจนำไปสู่การทดสอบจุดสูงสุดเดิม
แนวต้านที่ 4: 23,475.88 จุด
ระดับนี้คือจุดสูงสุดประวัติศาสตร์ล่าสุดของดัชนี GER40 ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 และเป็นจุดที่เกิด Up Fractal ที่ชัดเจน การทดสอบระดับนี้มักมีแรงขายจากนักลงทุนที่ต้องการทำกำไรและนักลงทุนที่มองว่าราคาสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน ระดับนี้จึงเป็นแนวต้านที่มีความแข็งแกร่งมาก การทะลุระดับนี้ขึ้นไปและปิดเหนือระดับนี้ได้จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเริ่มต้นขาขึ้นรอบใหม่
แนวต้านที่ 5: 24,000 จุด
ระดับ 24,000 จุดเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาและเป็นระดับเป้าหมายระยะยาวที่หลายสถาบันวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ หากราคาสามารถทะลุจุดสูงสุดเดิมได้ แนวต้านนี้จะเป็นเป้าหมายถัดไปตามทฤษฎี Price Projection โดยคำนวณจาก Fibonacci Extension 127.2% ของการเคลื่อนไหวขาขึ้นก่อนหน้า
ปัจจัยที่จะส่งผลต่อแนวต้าน
ความแข็งแกร่งของแนวต้านเหล่านี้จะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
กลยุทธ์สำหรับแนวต้าน
นักเทรดควรพิจารณากลยุทธ์ต่อไปนี้เมื่อราคาเข้าใกล้ระดับแนวต้านสำคัญ:
การระบุระดับแนวรับสำคัญเป็นองค์ประกอบสำคัญในการบริหารความเสี่ยงและกำหนดจุดเข้าซื้อที่เหมาะสม จากการวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิคและพฤติกรรมราคาของดัชนี GER40 สามารถระบุระดับแนวรับสำคัญที่ควรติดตามได้ดังนี้
แนวรับที่ 1: 22,500 จุด
ระดับ 22,500 จุดเป็นแนวรับระยะสั้นที่สำคัญซึ่งทำหน้าที่เป็นฐานของรูปแบบ Descending Triangle ในกรอบเวลา H1 และยังเป็นระดับที่มีการทำ Double Bottom ในกรอบเวลา M30 นอกจากนี้ ระดับนี้ยังสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันซึ่งเป็นแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญในแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง ในช่วงที่ผ่านมาราคาได้ทดสอบแนวรับนี้หลายครั้งและยังสามารถรักษาระดับไว้ได้ การหลุดแนวรับนี้อาจนำไปสู่การปรับตัวลงไปที่แนวรับถัดไป
แนวรับที่ 2: 22,200 จุด
ระดับ 22,200 จุดมีความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นระดับ Fibonacci Retracement 38.2% ของการปรับตัวขึ้นจากเดือนตุลาคม 2567 ถึงกุมภาพันธ์ 2568 และยังเป็นจุดที่มีการทดสอบเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ซึ่งราคาได้ฟอร์มแท่งเทียน Hammer แสดงถึงการกลับตัวระยะสั้น นอกจากนี้ ระดับนี้ยังสอดคล้องกับระดับ Support จากรูปแบบ Price Channel ที่มีแนวต้านบนอยู่ที่ 23,500 จุด นักวิเคราะห์จากหลายสถาบันรวมถึง Saxo Bank และ ZFX ได้ระบุระดับนี้เป็นแนวรับสำคัญที่ควรติดตาม
แนวรับที่ 3: 21,800 จุด
ระดับ 21,800 จุดเป็นแนวรับสำคัญในระยะกลางซึ่งสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วันและ Fibonacci Retracement 50% ของการปรับตัวขึ้นรอบล่าสุด ในกรอบเวลารายวัน ระดับนี้ยังตรงกับแนวล่างของ Ichimoku Cloud ซึ่งมักทำหน้าที่เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งในแนวโน้มขาขึ้น หากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ แนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางจะยังคงอยู่ แต่หากหลุดระดับนี้ อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลงในระยะกลาง
แนวรับที่ 4: 21,500 จุด
ระดับ 21,500 จุดเป็นแนวรับระยะกลางถึงระยะยาวที่สำคัญ เนื่องจากเป็นระดับที่มีการสะสมของปริมาณการซื้อขายสูงในช่วงเดือนมกราคม 2568 และยังเป็นระดับ Fibonacci Retracement 61.8% ซึ่งมักเป็นระดับสุดท้ายในการปรับฐานที่สมบูรณ์ในแนวโน้มขาขึ้น นอกจากนี้ ระดับนี้ยังสอดคล้องกับแนวรับของ Pitchfork ในกรอบเวลารายวัน ทำให้เป็นระดับสำคัญที่หากหลุดลงไป อาจนำไปสู่การปรับตัวลงที่รุนแรงยิ่งขึ้น
แนวรับที่ 5: 20,500 จุด
ระดับ 20,500 จุดเป็นแนวรับระยะยาวที่สำคัญ ซึ่งเป็นระดับ Swing Low ที่สำคัญในเดือนธันวาคม 2567 และยังสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ระดับนี้จะเป็นเป้าหมายของการปรับฐานที่รุนแรงหากเกิดการเปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การยกระดับความตึงเครียดทางการค้าหรือการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป
ปัจจัยที่จะส่งผลต่อแนวรับ
ความแข็งแกร่งของแนวรับเหล่านี้จะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
กลยุทธ์การใช้แนวรับในการเทรด
นักเทรดสามารถนำข้อมูลแนวรับสำคัญไปประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การเทรดดังนี้:
ในการวิเคราะห์ทิศทางของดัชนี GER40 อย่างครบถ้วน การพิจารณาปัจจัยพื้นฐานมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้เป็นแรงขับเคลื่อนระยะยาวที่ส่งผลต่อทิศทางตลาด ต่อไปนี้คือปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่กำลังส่งผลต่อดัชนี GER40 ในปัจจุบัน
ภาวะเศรษฐกิจเยอรมนีและยุโรป
เศรษฐกิจเยอรมนียังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากสถาบันเศรษฐกิจเยอรมัน (IW) ชี้ว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยเฉพาะในสาขายานยนต์และวิศวกรรมเครื่องกลซึ่งมีสัดส่วนสำคัญถึง 18% ในดัชนี GER40 การสำรวจธุรกิจ 49 แห่งพบว่า 86% ให้คะแนนสถานการณ์ปัจจุบันแย่กว่าปี 2567 สอดคล้องกับยอดขายภาคอุตสาหกรรมที่หดตัว 4.2% ในไตรมาสแรกของปี
ด้านตลาดแรงงาน อัตราการว่างงานเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 6.2% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยธุรกิจ 25 จาก 49 แห่งได้ประกาศแผนลดพนักงานในปี 2568 สาขาที่ได้รับผลกระทบรุนแรงได้แก่การก่อสร้างและโลหะการ ซึ่งมีบริษัทในดัชนีอย่าง HeidelbergCement AG และ Thyssenkrupp AG
อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณบวกจากดัชนี ZEW Economic Sentiment ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ -12.5 จาก -15.6 ในเดือนก่อน แสดงถึงความเชื่อมั่นที่เริ่มฟื้นตัวแม้จะยังคงอยู่ในแดนลบ
นโยบายการเงินและแนวโน้มเงินเฟ้อ
ตลาดยังคงคาดการณ์ว่า ECB จะลดอัตราดอกเบี้ย 50 จุดพื้นฐานภายในไตรมาสที่ 2/2568 หลังจากอัตราเงินเฟ้อเยอรมนีเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 2.8% และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง แม้ว่า Joachim Nagel ประธาน Bundesbank จะยังคงยืนยันจุดยืนที่ไม่เร่งรีบในการลดดอกเบี้ย
การประกาศมาตรการชดเชยดอกเบี้ยจำนอง 50% ให้ครัวเรือนช่วงปี 2564-2566 โดย ECB สร้างแรงกดดันต่อเสถียรภาพทางการเงินของสถาบันการเงิน ซึ่งส่งผลให้หุ้นธนาคารในดัชนีอย่าง Deutsche Bank AG และ Commerzbank AG มีความผันผวน
ความแตกต่างระหว่างนโยบายการเงินของ ECB และ Fed ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยเพียง 25 จุดพื้นฐานในปีนี้ ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.0720 ซึ่งกดดันผลกำไรของบริษัทที่มีต้นทุนนำเข้าสูงแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นผลดีต่อบริษัทส่งออกในดัชนี
ความตึงเครียดทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์
การประกาศขึ้นภาษีสินค้ายานยนต์นำเข้าจาก EU เป็น 25% โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทในกลุ่มยานยนต์ โดยหุ้น Continental AG และ Volkswagen AG ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่มีการประกาศมาตรการดังกล่าว
ความไม่แน่นอนทางการเมืองในเยอรมนีเป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยการลาออกของรัฐมนตรีเศรษฐกิจ Robert Habeck จากพรรค Greens หลังความขัดแย้งนโยบายพลังงานกับพรรค FDP สร้างความกดดันต่อเสถียรภาพรัฐบาลผสม นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ชี้ว่าความแตกแยกทางการเมืองอาจชะลอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณ 45,000 ล้านยูโร
การปรับตัวของบริษัทในดัชนี
บริษัทในดัชนี GER40 กำลังมีการปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ โดย BASF เตรียมแยกธุรกิจเคมีเกษตรผ่านการจดทะเบียน IPO ในสหรัฐฯ หรือเยอรมนีภายในปี 2569 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ปรับโครงสร้างภายใต้ CEO Markus Kamieth เพื่อรับมือกับต้นทุนพลังงานสูงและความต้องการจากจีนที่ลดลง
Siemens ได้ขายหุ้น Siemens Healthineers 2% ผ่าน accelerated bookbuilding ส่งผลให้หุ้น Siemens Healthineers ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่า Siemens จะยืนยันว่าใช้เงินเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไปของบริษัท แต่ตลาดมีความกังวลต่อการลดสัดส่วนการถือครองในธุรกิจสุขภาพที่มีอัตราการเติบโตสูง
BMW สามารถรักษาความแข็งแกร่งด้านกำไรได้ดี โดยประกาศอัตรากำไร EBIT กลุ่มยานยนต์อยู่ที่ 8.5% ในไตรมาส 4/2567 แม้เผชิญความท้าทายจากกฎระเบียบ EU ด้านสิ่งแวดล้อม ยอดขาย EV ของบริษัทเติบโต 34% ในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อมาตรการตอบโต้ภาษีจากจีนยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาด
ดัชนี GER40 แสดงความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับดัชนี Euro Stoxx 50 (ค่าสหสัมพันธ์ 0.85) และ S&P 500 (ค่าสหสัมพันธ์ 0.75) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา การปรับตัวลงของ Nasdaq 2.78% จากผลประกอบการของ Nvidia ส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีใน GER40 อย่าง SAP SE และ Infineon Technologies AG ปรับตัวลงตาม
ในด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาน้ำมัน Brent ที่ปรับตัวขึ้น 2.1% สู่ 74.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ได้สนับสนุนหุ้นพลังงานในดัชนีอย่าง RWE AG และ E.ON SE ที่ปรับตัวขึ้น 1.8% และ 1.2% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ราคาก๊าซธรรมชาติยุโรปที่ลดลง 4.7% สร้างแรงกดดันต่อรายได้บริษัทในกลุ่ม Utilities
กระแสเงินทุนและพฤติกรรมนักลงทุน
ข้อมูลจาก Deutsche Börse ชี้ว่าเงินทุนต่างชาติไหลออกสุทธิ 1,200 ล้านยูโรจากตลาดหุ้นเยอรมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา สวนทางกับการไหลเข้า 850 ล้านยูโรสู่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลเยอรมัน สะท้อนพฤติกรรมลดความเสี่ยงของนักลงทุนสถาบัน
การวิเคราะห์ Order Flow พบว่านักลงทุนสถาบันลดการเปิดสถานะ long ใน GER40 ลง 12% จากระดับสูงสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยเพิ่มสัดส่วนการซื้อผ่าน CFD ขึ้น 7% ความแตกต่างนี้อาจสะท้อนถึงการประเมินความเสี่ยงที่แตกต่างกันระหว่างนักลงทุนสองกลุ่ม
แนวโน้มปัจจัยพื้นฐานระยะสั้นถึงระยะกลาง
ในระยะสั้น ปัจจัยพื้นฐานยังคงมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะในประเด็นความตึงเครียดทางการค้าและทิศทางนโยบายการเงิน แต่ในระยะกลางถึงระยะยาว การคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB และการปรับตัวของบริษัทในดัชนีเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับตัวขึ้นของดัชนี GER40
นักลงทุนควรติดตามการประกาศนโยบายของ ECB การเจรจาการค้าระหว่าง EU-สหรัฐฯ และข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของปัจจัยพื้นฐานในระยะสั้น และส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี GER40 ในช่วงถัดไป
การวิเคราะห์ดัชนี GER40 ในช่วงนี้แสดงให้เห็นภาพตลาดที่อยู่ในช่วงพักฐานระยะสั้นหลังจากทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 23,475.88 จุด แต่ยังคงรักษาแนวโน้มขาขึ้นระยะกลางไว้ได้ ภาพรวมทางเทคนิคชี้ให้เห็นว่าดัชนีกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากการพักฐานในระยะสั้น โดยมีการทะลุแนวต้าน Bollinger Band บนในกรอบรายวันและเกิดสัญญาณโอเวอร์บอท์จากตัวชี้วัดต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การปรับฐานที่จำเป็นสำหรับการฟื้นตัวที่ยั่งยืนต่อไป
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน ดัชนี GER40 ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-สหภาพยุโรป ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มส่งออกในดัชนี อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ว่า ECB จะลดอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 2/2568 เป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่อาจช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของดัชนีในระยะถัดไป
ระดับแนวรับสำคัญที่ควรติดตามคือ 22,500, 22,200 และ 21,800 จุด โดยเฉพาะระดับ 22,200 จุดซึ่งเป็นระดับ Fibonacci Retracement 38.2% และเป็นจุดที่ราคาเคยทดสอบและเกิดการกลับตัวมาแล้ว หากราคายังสามารถยืนเหนือระดับ 21,800 จุดได้ แนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางจะยังคงอยู่
สำหรับแนวต้าน ระดับสำคัญที่ต้องจับตาคือ 22,750, 23,000 และ 23,475.88 จุด โดยเฉพาะระดับ 23,475.88 จุดซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิม การทะลุระดับนี้ขึ้นไปและปิดเหนือระดับนี้ได้จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเริ่มต้นขาขึ้นรอบใหม่
เหตุการณ์สำคัญที่ควรติดตามในสัปดาห์นี้ได้แก่ การแถลงนโยบาย ECB ในวันที่ 14 มีนาคม การเจรจาการค้า EU-สหรัฐฯ ในวันที่ 15 มีนาคม และข้อมูลเงินเฟ้อเยอรมันในวันที่ 13 มีนาคม รวมถึงดัชนี ZEW Economic Sentiment ในวันที่ 12 มีนาคม ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของดัชนี GER40 ในระยะสั้น
กลยุทธ์แนะนำสำหรับเทรดเดอร์:
นักลงทุนระยะกลาง (Swing Trading):
นักลงทุนระยะสั้น (Day Trading):
การจัดการความเสี่ยง:
โดยสรุป ดัชนี GER40 กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่มีความท้าทายจากทั้งปัจจัยเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน แต่ยังคงมีโอกาสในการเทรดทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขายขึ้นอยู่กับกรอบเวลาและกลยุทธ์การเทรด นักลงทุนควรติดตามเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง การจัดการความเสี่ยงและวินัยในการเทรดจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนเช่นนี้