หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2025 คู่เงิน GBP/USD กำลังเผชิญกับแรงผลักดันจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในกรอบราคาที่ค่อนข้างชัดเจน โดยราคาอ้างอิงล่าสุดอยู่ที่ 1.2648 USD ต่อ 1 GBP ณ เวลาปิดตลาดวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2025
สถานการณ์ปัจจุบันของคู่เงิน GBP/USD
คู่เงิน GBP/USD ได้แสดงความแข็งแกร่งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสามารถยืนเหนือระดับ 1.2600 ได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความผันผวนจากการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของคู่เงินเริ่มพบแรงเสียดทานที่บริเวณ 1.2750 ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาและทางเทคนิค
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อคู่เงินในขณะนี้คือความแตกต่างของทิศทางนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) โดย Fed มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในระดับสูงไว้นานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เดิม ขณะที่ BoE ยังคงส่งสัญญาณความเป็นไปได้ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคม 2025
แนวโน้มระยะสั้นและระยะกลาง
แนวโน้มระยะสั้น (1-2 สัปดาห์): GBP/USD มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 1.2520-1.2750 โดยปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางคือข้อมูล Core PCE สหรัฐฯ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หากตัวเลขออกมาสูงกว่าคาดการณ์ที่ 2.8% อาจเพิ่มแรงกดดันให้คู่เงินปรับตัวลงทดสอบแนวรับที่ 1.2520 ในทางกลับกัน หากตัวเลขต่ำกว่าคาดการณ์ อาจเพิ่มโอกาสการทะลุแนวต้าน 1.2750
แนวโน้มระยะกลาง (1-2 เดือน): ในระยะกลาง แนวโน้มของคู่เงินยังคงขึ้นอยู่กับความชัดเจนของนโยบายการเงินของทั้งสองธนาคารกลาง โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการปรับตัวลงสู่ระดับ 1.2400-1.2450 หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแสดงความแข็งแกร่ง และ Fed ยังคงยืนยันจุดยืนในการชะลอการลดดอกเบี้ย ขณะที่ BoE อาจดำเนินการลดดอกเบี้ยไปก่อน
การวิเคราะห์ทางเทคนิคระยะกลางยังชี้ให้เห็นว่า GBP/USD กำลังเคลื่อนไหวในช่วงขาขึ้นที่ชะลอตัว โดยมีแนวโน้มที่จะสร้างรูปแบบ Lower High ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวล่าสุด
ความสัมพันธ์กับสกุลเงินหลักอื่นๆ
GBP/USD มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างสูงกับ EUR/USD ในช่วงที่ผ่านมา (ค่าสหสัมพันธ์ 0.85) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของทั้งสองคู่เงินได้รับอิทธิพลจากความแข็งแกร่งของ USD เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม GBP แสดงความแข็งแกร่งกว่า EUR เล็กน้อย เนื่องจากเศรษฐกิจอังกฤษมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีกว่า
ในขณะเดียวกัน GBP/USD มีความสัมพันธ์เชิงลบกับ USD/JPY (ค่าสหสัมพันธ์ -0.72) ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมาย เนื่องจาก USD/JPY มักเป็นตัวชี้วัดความต้องการถือครอง USD เมื่อเกิดความไม่แน่นอนในตลาด
ดัชนีความเชื่อมั่นและสภาพคล่องตลาด
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลกแสดงสัญญาณผสมผสาน โดยดัชนี Fear & Greed ของ CNN ทรุดสู่ระดับ “ความกลัวขั้นรุนแรง” เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ร่วงสู่ระดับ 98.3 ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 102.5 สถานการณ์นี้ส่งผลให้นักลงทุนหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
สภาพคล่องของคู่เงิน GBP/USD อยู่ในระดับปานกลางถึงสูง โดยมีปริมาณการซื้อขายรวมรายวันอยู่ที่ 102,157 สัญญา ความผันผวนเฉลี่ย 74 pips ใน 5 วันที่ผ่านมา สะท้อนภาวะตลาดที่มีความเคลื่อนไหวใกล้เคียงค่าเฉลี่ยปกติ และช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูงสุดยังคงเป็น 14.00-17.00 GMT ซึ่งเป็นช่วงทับซ้อนของตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก
โดยสรุป GBP/USD กำลังเผชิญกับแรงกดดันสองทางจากความแตกต่างของนโยบายการเงินและปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ โดยมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบที่กำหนดในระยะสั้น และอาจเห็นทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้นหลังการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2025 มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญหลายประการที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางและความผันผวนของคู่เงิน GBP/USD ซึ่งนักลงทุนควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นตัวกำหนดแนวโน้มในระยะสั้นและอาจส่งผลต่อทิศทางในระยะกลางด้วย
การประชุม FOMC วันที่ 26 กุมภาพันธ์และผลกระทบ
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2025 มีประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ คณะกรรมการยังคงเน้นย้ำกรอบนโยบาย “data-dependent” และยอมรับความคืบหน้าในการควบคุมเงินเฟ้อ แต่ยังแสดงความกังวลต่อความเสี่ยงจากนโยบายการคลังขยายตัว โดยเฉพาะร่างกฎหมายลดภาษีมูลค่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ที่อาจเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะกลาง
ผลกระทบต่อตลาดทันทีคือ:
ที่สำคัญที่สุดคือตลาดได้ปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนจาก 65% เหลือ 50% ซึ่งสะท้อนถึงความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้นของ Fed ในการดำเนินนโยบายการเงิน และแนวโน้มการคงดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม
ข้อมูล Core PCE สหรัฐฯ (28 กุมภาพันธ์)
ดัชนีรายจ่ายส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อหลักที่ Fed ให้ความสำคัญจะมีการประกาศในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ โดยตลาดคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 2.8% YoY ในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ Fed
ตัวเลขนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางของ GBP/USD เนื่องจาก:
GDP สหรัฐฯ รอบปรับปรุง (27 กุมภาพันธ์)
การประกาศ GDP ไตรมาส 4/2024 รอบปรับปรุงในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ คาดว่าจะยืนยันการขยายตัวที่ 2.3% อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดสำคัญที่ต้องจับตาคือ:
หากมีการปรับตัวเลข GDP สูงขึ้นเกิน 2.5% อาจส่งสัญญาณความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ สนับสนุนให้ USD กลับมาแข็งค่า และอาจส่งผลให้ GBP/USD ทดสอบแนวรับที่ 1.2520 ในทางกลับกัน หากมีการปรับลดตัวเลขต่ำกว่า 2.0% อาจส่งผลบวกต่อ GBP/USD
ข้อมูลตลาดแรงงานสหราชอาณาจักรล่าสุด
ข้อมูลอัตราว่างงานและการเติบโตของค่าจ้างสหราชอาณาจักรที่ประกาศในวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ มีความสำคัญต่อทิศทางนโยบายของ BoE โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:
ตัวเลขเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจของ BoE ในการลดดอกเบี้ยครั้งต่อไป หากค่าจ้างเติบโตเกิน 6% YoY จะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อและอาจทำให้ BoE ชะลอการลดดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อ GBP ในระยะสั้น
ดัชนี PMI ภาคบริการสหราชอาณาจักร
ข้อมูล PMI ภาคบริการที่ประกาศในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ อยู่ที่ 50.2 จุด บ่งชี้การขยายตัวเล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณดีสำหรับเศรษฐกิจอังกฤษ และให้แรงหนุน GBP เนื่องจากลดแรงกดดันต่อ BoE ในการเร่งลดดอกเบี้ย
การขยายตัวของภาคบริการซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจอังกฤษ (คิดเป็นกว่า 70% ของ GDP) ช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แม้จะเป็นการฟื้นตัวที่ช้าก็ตาม ซึ่งส่งผลให้ GBP/USD สามารถยืนเหนือระดับ 1.2600 ได้อย่างมั่นคง
ความเคลื่อนไหวทางนโยบายการค้า
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่เพิ่มขึ้นภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน การประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม 25% ในบางสาขา และการเพิ่มภาษีเหล็กและอลูมิเนียม 25% จากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งจะมีผลในเดือนมีนาคม 2025 ได้กระตุ้นให้ USD ได้รับความต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
นอกจากนี้ การเจรจา Brexit รอบใหม่ระหว่างสหราชอาณาจักรและ EU เกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้า โดยเฉพาะในประเด็นกฎว่าด้วยแหล่งที่มา (Rules of Origin) สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม กำลังสร้างความไม่แน่นอนให้กับ GBP และอาจเป็นปัจจัยกดดันในระยะกลาง
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของคู่เงิน GBP/USD จะให้ภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้างตลาดปัจจุบัน แนวโน้ม และจุดกลับตัวที่สำคัญ โดยการวิเคราะห์ในหลายกรอบเวลาจะช่วยให้เห็นภาพรวมที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตั้งแต่แนวโน้มหลักไปจนถึงจังหวะเข้าซื้อขายในระยะสั้น
การวิเคราะห์แนวโน้มหลายกรอบเวลา
กรอบเวลารายวัน (Daily): กราฟรายวันของ GBP/USD แสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้นระยะกลางที่กำลังชะลอตัวลง โดยราคาได้ฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ 1.2450 และปรับตัวขึ้นมาทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1.2750 อย่างไรก็ตาม โมเมนตัมของการปรับตัวขึ้นเริ่มอ่อนแรงลง โดยเห็นได้จากการเกิด Bearish Divergence บนดัชนี RSI ที่ไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ในขณะที่ราคายังคงปรับตัวสูงขึ้น
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันอยู่ที่ระดับ 1.2602 ทำหน้าที่เป็นแนวรับแข็งแกร่งในระยะสั้น ขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันอยู่ที่ระดับ 1.2520 ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญระยะกลาง การที่ราคายังคงอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยทั้งสองเส้นนี้แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ยังคงอยู่ แม้จะมีสัญญาณชะลอตัวก็ตาม
กรอบเวลา 4 ชั่วโมง (H4): กราฟ H4 แสดงให้เห็นการเกิดรูปแบบ Ascending Triangle ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีแนวต้านที่ชัดเจนที่ระดับ 1.2750 และแนวรับที่เป็นเส้นแนวโน้มขาขึ้น ราคาได้ทดสอบแนวต้านนี้สามครั้งโดยไม่สามารถทะลุผ่านได้สำเร็จ ซึ่งแสดงถึงแรงเสียดทานที่แข็งแกร่ง ดัชนี Stochastic แสดงสัญญาณขายมากเกินไป (Overbought) ในช่วงที่ราคาทดสอบแนวต้าน และเริ่มปรับตัวลงแสดงถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้น
MACD บนกรอบเวลา H4 กำลังลดระดับลงแต่ยังคงอยู่เหนือเส้นศูนย์ ซึ่งบ่งชี้ว่าโมเมนตัมขาขึ้นกำลังอ่อนแรงลงแต่ยังไม่ได้กลับทิศทางอย่างสมบูรณ์
กรอบเวลา 1 ชั่วโมง (H1): กราฟ H1 แสดงให้เห็นการปรับตัวลงหลังจากการประชุม FOMC วันที่ 26 กุมภาพันธ์ โดยราคาได้หลุดเส้นแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นและกำลังเคลื่อนไหวใกล้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 ชั่วโมงที่ระดับ 1.2635 ดัชนี RSI ปรับตัวลงจาก 70 มาอยู่ที่ 55 แสดงถึงการลดลงของแรงซื้อและการกลับเข้าสู่โซนปกติ
Bollinger Bands บนกรอบเวลา H1 กำลังบีบตัวแคบลงหลังจากการขยายตัวกว้างในช่วงการประชุม FOMC ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวในกรอบแคบในระยะสั้นก่อนที่จะมีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญต่อไป
ปแบบกราฟและจุดกลับตัวสำคัญ
การวิเคราะห์รูปแบบกราฟพบรูปแบบสำคัญหลายประการที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ:
การทดสอบ Fibonacci Retracement จากจุดต่ำสุดในเดือนตุลาคม 2024 ที่ระดับ 1.2040 ไปยังจุดสูงสุดในเดือนธันวาคม 2024 ที่ระดับ 1.2820 แสดงให้เห็นว่าระดับ 38.2% ตรงกับแนวรับที่ 1.2520 และระดับ 50% ตรงกับแนวต้านที่ 1.2730 ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวปัจจุบันของราคา
การวิเคราะห์ตัวชี้วัดทางเทคนิค
Moving Averages (MA): เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (1.2602) และ 200 วัน (1.2520) กำลังเคลื่อนที่ในลักษณะ Golden Cross ซึ่งเป็นสัญญาณขาขึ้นในระยะกลาง อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 วัน (1.2650) กำลังแบนราบลงซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของแนวโน้ม
Relative Strength Index (RSI): RSI 14 วันอยู่ที่ 60.07 ซึ่งแสดงถึงภาวะซื้อมากเกินไปเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงระดับวิกฤติที่ 70 นอกจากนี้ ยังเกิด Bearish Divergence บน RSI เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงการอ่อนแรงลงของโมเมนตัมขาขึ้น
Stochastic Oscillator: Stochastic %K (76.5) และ %D (70.2) แสดงสัญญาณใกล้เคียงกับภาวะซื้อมากเกินไป และเริ่มแสดงสัญญาณตัดกันขาลง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการกลับตัวในระยะสั้น
MACD: MACD (0.0025) ยังคงอยู่เหนือเส้นสัญญาณ (0.0021) แต่ Histogram กำลังหดตัวลง (0.0004) แสดงถึงการลดลงของโมเมนตัมขาขึ้น หากเกิดการตัดกันขาลงในช่วงที่ราคายังอยู่ใกล้แนวต้าน 1.2750 อาจเป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัวลง
ภาพรวมโครงสร้างตลาดทางเทคนิค
โดยสรุป การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่า GBP/USD กำลังอยู่ในช่วงสำคัญที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทิศทางในระยะสั้น โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้:
การระบุและวิเคราะห์ระดับแนวต้านสำคัญเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการวางแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่คู่เงิน GBP/USD กำลังเคลื่อนไหวในกรอบราคาที่ชัดเจน การเข้าใจความสำคัญและลักษณะของแต่ละระดับแนวต้านจะช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดจุดเข้า-ออกการเทรดและตั้งเป้าหมายกำไรได้อย่างเหมาะสม
แนวต้านระดับที่ 1: 1.2750-1.2770
ระดับแนวต้าน 1.2750-1.2770 ถือเป็นแนวต้านระยะสั้นที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ด้วยเหตุผลหลายประการ:
ความสำคัญของแนวต้านนี้ยังได้รับการยืนยันจากการเพิ่มขึ้นของ Short Positions ของนักเก็งกำไรรายใหญ่ตามรายงาน COT ล่าสุด แสดงให้เห็นถึงความคาดหวังที่จะเห็นการปรับตัวลงเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับนี้
แนวต้านระดับที่ 2: 1.2810-1.2820
หากราคาสามารถทะลุแนวต้านแรกได้ แนวต้านสำคัญถัดไปจะอยู่ที่ 1.2810-1.2820 ซึ่งมีความสำคัญด้วยเหตุผลต่อไปนี้:
การทะลุผ่านระดับนี้จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งสำหรับการปรับตัวขึ้นที่มีนัยสำคัญมากขึ้น และอาจนำไปสู่การทดสอบแนวต้านถัดไป
แนวต้านระดับที่ 3: 1.2865-1.2880
แนวต้านระดับที่สามที่ 1.2865-1.2880 เป็นเป้าหมายสำหรับสถานการณ์ที่ GBP/USD มีการปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ระดับนี้มีความสำคัญด้วยเหตุผลต่อไปนี้:
ความสำคัญของแต่ละระดับแนวต้าน
การเข้าใจความสำคัญของแต่ละระดับแนวต้านจะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
เงื่อนไขและสัญญาณการทะลุแนวต้าน
การทะลุแนวต้านที่แท้จริงควรมีลักษณะดังนี้:
สำหรับคู่เงิน GBP/USD ในช่วงนี้ นักลงทุนควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับระดับ 1.2750-1.2770 เนื่องจากเป็นแนวต้านระยะสั้นที่สำคัญที่สุด การเคลื่อนไหวรอบระดับนี้จะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางในระยะถัดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการประกาศข้อมูล Core PCE สหรัฐฯ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการทะลุแนวต้านหรือการปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
การวิเคราะห์ระดับแนวรับสำคัญสำหรับคู่เงิน GBP/USD มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการวางกลยุทธ์การซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนจากปัจจัยเศรษฐกิจสำคัญ การเข้าใจถึงระดับแนวรับแต่ละระดับจะช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุจุดเข้าซื้อที่เหมาะสมและจุดตั้ง Stop Loss ที่มีประสิทธิภาพ
แนวรับระดับที่ 1: 1.2617-1.2620
ระดับแนวรับ 1.2617-1.2620 เป็นแนวรับระยะสั้นที่มีความสำคัญด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:
ระดับแนวรับนี้มีความสำคัญในระยะสั้น เนื่องจากเป็นระดับแรกที่ราคาจะทดสอบหากมีการปรับตัวลงจากระดับปัจจุบัน การหลุดต่ำกว่าระดับนี้อาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1.2520-1.2540
แนวรับระดับที่ 2: 1.2520-1.2540
แนวรับระดับที่ 1.2520-1.2540 มีความสำคัญมากในระยะกลาง เนื่องจาก:
ระดับแนวรับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแนวโน้มในระยะกลาง หากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้แม้ในช่วงการปรับฐาน จะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับแนวโน้มขาขึ้นที่จะดำเนินต่อไป ในทางกลับกัน การหลุดต่ำกว่าระดับนี้อย่างมีนัยสำคัญจะเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มไปสู่ขาลงในระยะกลาง
แนวรับระดับที่ 3: 1.2420-1.2433
แนวรับระดับที่ 1.2420-1.2433 เป็นแนวรับสำคัญในระยะยาวที่จะมีความสำคัญหากราคาหลุดต่ำกว่าแนวรับระดับที่ 2:
ระดับนี้ถือเป็นแนวรับหลักสุดท้ายก่อนที่ราคาจะมีโอกาสปรับตัวลงอย่างรุนแรงไปทดสอบระดับต่ำกว่า 1.2300 ดังนั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนระยะยาว
ความสำคัญของแต่ละระดับแนวรับ
การเข้าใจความสำคัญของแต่ละระดับแนวรับช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนกลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
เงื่อนไขและสัญญาณการทะลุแนวรับ
การทะลุแนวรับที่แท้จริงควรมีลักษณะดังนี้:
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2025 นักลงทุนควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการทดสอบแนวรับที่ 1.2617-1.2620 เนื่องจากเป็นแนวรับแรกที่อาจถูกทดสอบหลังการประกาศข้อมูล Core PCE สหรัฐฯ หากข้อมูลออกมาสูงกว่าคาดการณ์ การยืนเหนือระดับนี้จะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้น ในขณะที่การหลุดต่ำกว่าระดับนี้อาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับที่ 1.2520-1.2540 ซึ่งเป็นระดับสำคัญที่จะกำหนดแนวโน้มในระยะกลางต่อไป
จจัยพื้นฐานมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางระยะกลางและระยะยาวของคู่เงิน GBP/USD โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดกำลังประเมินความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างสองประเทศ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างครอบคลุมจะช่วยให้เข้าใจแรงผลักดันหลักที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา
การวิเคราะห์ความแตกต่างนโยบายการเงินของ Fed และ BoE
ความแตกต่างในทิศทางนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อทิศทางของ GBP/USD ในขณะนี้:
นโยบายการเงินของ Fed:
นโยบายการเงินของ BoE:
ความแตกต่างของทั้งสองนโยบายส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Differential) ระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรหดตัวเหลือ 1.15% จาก 1.45% เมื่อต้นเดือน ซึ่งเป็นปัจจัยกดดัน GBP/USD ในระยะกลาง
สถานการณ์เงินเฟ้อและการเติบโตเศรษฐกิจเปรียบเทียบ
สถานการณ์เงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศแสดงความแตกต่างที่น่าสนใจ:
สหรัฐอเมริกา:
สหราชอาณาจักร:
ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งมากกว่า แต่ก็มีแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงกว่าด้วย ในขณะที่เศรษฐกิจอังกฤษกำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ แต่เงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง สถานการณ์นี้ส่งผลให้ Fed มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานกว่า BoE ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุน USD ในระยะกลาง
ผลกระทบจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ
นโยบายการค้าเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการที่ส่งผลต่อทิศทางของ GBP/USD:
นโยบายการค้าเหล่านี้สร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินโลก และส่งผลให้ USD ได้รับความต้องการในฐานะสกุลเงินปลอดภัย (Safe-haven Currency) ซึ่งเป็นปัจจัยกดดัน GBP/USD ในระยะสั้น
ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางการเมือง
ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ GBP/USD:
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลก และอาจเพิ่มความต้องการในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น USD ซึ่งอาจกดดัน GBP/USD ในระยะสั้นถึงระยะกลาง
สถานะ Positioning ของนักลงทุนจาก COT Report
รายงาน Commitment of Traders (COT) ล่าสุดเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานะของกลุ่มนักลงทุนหลักต่อคู่เงิน GBP/USD:
ข้อมูลจาก COT Report แสดงให้เห็นว่านักลงทุนรายใหญ่มีมุมมองที่ระมัดระวังต่อ GBP/USD ในช่วงนี้ โดยมีการเพิ่ม Short Positions อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การที่ Commercial Hedgers ยังคงมี Net Long Exposure เป็นบวกแสดงให้เห็นว่ายังมีความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของ GBP ในระยะกลาง
โดยสรุป ปัจจัยพื้นฐานในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2025 แสดงให้เห็นแรงกดดันทั้งสองทางต่อ GBP/USD โดยความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง Fed และ BoE เป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางในระยะกลาง ในขณะที่ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าเพิ่มความผันผวนในระยะสั้น นักลงทุนควรติดตามข้อมูล Core PCE สหรัฐฯ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของคู่เงินในช่วงถัดไป
การวิเคราะห์คู่เงิน GBP/USD ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2025 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของปัจจัยทั้งทางเทคนิคและพื้นฐานที่ส่งผลต่อทิศทางการเคลื่อนไหวในระยะสั้นและระยะกลาง บทสรุปนี้จะรวบรวมประเด็นสำคัญและนำเสนอกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับสัปดาห์ถัดไป
สรุปแนวโน้มและทิศทางคู่เงิน GBP/USD
ในภาพรวม GBP/USD กำลังเคลื่อนไหวในกรอบราคา 1.2520-1.2750 และอยู่ในช่วงสำคัญที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทิศทางในระยะสั้น ปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางในขณะนี้คือ:
แนวโน้มในระยะสั้น (1-2 สัปดาห์) ยังคงเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ โดยมีแนวโน้มที่จะทดสอบแนวรับระยะสั้นที่ 1.2620 ก่อน และหากมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมอาจทดสอบแนวรับหลักที่ 1.2520 ในระยะกลาง (1-2 เดือน) ยังคงมีความเสี่ยงที่จะเห็นการปรับตัวลงสู่ระดับ 1.2400-1.2450 หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแสดงความแข็งแกร่ง และ Fed ยังคงยืนยันจุดยืนในการชะลอการลดดอกเบี้ย
กลยุทธ์การเทรดที่แนะนำสำหรับสัปดาห์หน้า
สำหรับสัปดาห์หน้า เราแนะนำกลยุทธ์การเทรดดังนี้:
1. Range Trading Strategy: เนื่องจากคู่เงิน GBP/USD มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบที่ชัดเจน กลยุทธ์หลักที่แนะนำคือการเทรดตามกรอบราคา โดย:
2. Breakout Strategy (สำรอง): หากมีปัจจัยพื้นฐานเข้ามากระทบตลาดอย่างมีนัยสำคัญ อาจเกิดการทะลุกรอบราคาที่วางไว้ ในกรณีนี้:
3. News Trading Strategy: สำหรับการประกาศข้อมูล Core PCE สหรัฐฯ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ควรระมัดระวังการเข้าเทรดก่อนการประกาศ และเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น โดยสามารถใช้กลยุทธ์ดังนี้:
ดเข้าเทรดที่น่าสนใจและการจัดการความเสี่ยง
จุดเข้าเทรดที่น่าสนใจสำหรับสัปดาห์หน้าคือ:
จุดเข้าซื้อ (Long Entry):
จุดเข้าขาย (Short Entry):
การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนจากปัจจัยพื้นฐานสำคัญ เราแนะนำให้:
จจัยสำคัญที่ต้องติดตามในช่วงต่อไป
นักลงทุนควรติดตามปัจจัยสำคัญต่อไปนี้ในช่วงต่อไป:
1. ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ:
2. ถ้อยแถลงของผู้กำหนดนโยบาย:
3. ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์:
ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม
ในการซื้อขายคู่เงิน GBP/USD ในช่วงนี้ นักลงทุนควรคำนึงถึงข้อควรระวังต่อไปนี้:
โดยสรุป GBP/USD กำลังเคลื่อนไหวในช่วงสำคัญที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทิศทางในระยะสั้น นักลงทุนควรใช้กลยุทธ์ Range Trading เป็นหลักในสภาวะตลาดปัจจุบัน พร้อมเตรียมพร้อมสำหรับการทะลุกรอบราคาที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยพื้นฐานสำคัญ การบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและการเลือกจังหวะเข้าเทรดที่ดีจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการซื้อขายคู่เงินนี้