หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ในตลาดการเงินโลกที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นหนึ่งในพลวัตสำคัญที่เทรดเดอร์และนักลงทุนต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างดัชนีนิเคอิ 225 ของญี่ปุ่นและคู่เงิน USD/JPY ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่มีเอกลักษณ์และซับซ้อน
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกสูง ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อผลประกอบการของบริษัทและความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ในช่วงต้นปี 2025 นี้ ตลาดการเงินญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งจากการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ที่กำลังเคลื่อนออกจากยุคดอกเบี้ยต่ำที่ดำเนินมานานหลายทศวรรษ ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
บทวิเคราะห์ฉบับนี้มุ่งนำเสนอภาพรวม ปัจจัยพื้นฐาน และเหตุการณ์สำคัญที่จะส่งผลต่อดัชนีนิเคอิและค่าเงิน USD/JPY ในช่วงเวลาที่เหลือของไตรมาสแรกปี 2025 เราจะพิจารณาทั้งปัจจัยภายในประเทศญี่ปุ่นและปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อทิศทางของทั้งสองตลาด พร้อมทั้งวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ทั้งสองและนำเสนอกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับสภาวะตลาดปัจจุบัน
การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีนิเคอิและคู่เงิน USD/JPY จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุโอกาสการเทรดที่มีศักยภาพ บริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับพลวัตตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บทวิเคราะห์นี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับทั้งเทรดเดอร์มือใหม่ที่ต้องการเข้าใจพื้นฐานของตลาดญี่ปุ่น และเทรดเดอร์มืออาชีพที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจเทรด
สถานะปัจจุบันของดัชนีนิเคอิ
ในช่วงต้นปี 2025 ดัชนีนิเคอิ 225 ได้แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่สำคัญท่ามกลางแรงกดดันจากหลายทิศทาง หลังจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปี 2024 ที่เพิ่มขึ้นถึง 19% ดัชนีนี้เริ่มต้นปี 2025 ด้วยการเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรและความกังวลเกี่ยวกับการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ)
ณ ปัจจุบัน ดัชนีนิเคอิเคลื่อนไหวอยู่ในระดับประมาณ 40,000 จุด เป็นระดับที่เคยทดสอบเป็นแนวต้านสำคัญก่อนจะปรับตัวลงเนื่องจากความกังวลด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้ อัตราส่วน P/E ของดัชนีอยู่ที่ประมาณ 20.7 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังต่อการเติบโตของกำไรบริษัทที่ยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทในดัชนีจะเติบโตประมาณ 8-9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
บริษัทส่งออกรายใหญ่ในดัชนี โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและยานยนต์ ยังคงแสดงผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยได้รับประโยชน์จากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าและการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BoJ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันที่สำคัญต่อทิศทางของดัชนีในระยะสั้น
พลวัตของค่าเงิน USD/JPY
คู่เงิน USD/JPY ได้แสดงความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญในช่วงต้นปี 2025 ด้วยการเคลื่อนไหวในช่วงกว้างระหว่าง 148 ถึง 158 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนความเคลื่อนไหวของคู่เงินนี้คือความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางญี่ปุ่นและธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve)
ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงสู่ระดับ 157.88 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ เนื่องจากช่องว่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ที่ยังคงกว้างถึงประมาณ 4.75% แม้ว่า BoJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.5% ในเดือนมกราคม แต่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับ 5.25-5.5% ยังคงดึงดูดเงินทุนจากญี่ปุ่น ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ค่าเงินเยนได้แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 149.95 เยนต่อดอลลาร์ หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่นที่สูงกว่าคาดและการคาดการณ์ว่า BoJ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนมีนาคม ความผันผวนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในตลาดเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของทั้งสองประเทศ
ปัจจัยขับเคลื่อนหลักและแนวโน้มระยะสั้น
ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนทั้งดัชนีนิเคอิและคู่เงิน USD/JPY ในขณะนี้ ประกอบด้วย:
ในระยะสั้น นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนีนิเคอิจะยังคงเผชิญกับความผันผวน แต่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 45,400 จุดภายในสิ้นปี 2525 จากการซื้อหุ้นคืนของบริษัท (Share Buybacks) มูลค่ารวมประมาณ 17 ล้านล้านเยน และการปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการที่ช่วยเพิ่มอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ส่วนคู่เงิน USD/JPY คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 145 ถึง 155 เยนต่อดอลลาร์ โดยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของทั้ง BoJ และ Fed ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
นโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) และสหรัฐฯ (Fed)
นโยบายการเงินของธนาคารกลางทั้งสองประเทศกำลังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดสำหรับทั้งดัชนีนิเคอิและค่าเงิน USD/JPY ในช่วงต้นปี 2025
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ได้ดำเนินการปรับนโยบายการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.5% ในการประชุมวันที่ 24 มกราคม 2025 ซึ่งนับเป็นการปรับขึ้นครั้งที่สามนับตั้งแต่ยกเลิกนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในปี 2024 การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของ BoJ ในแนวโน้มเงินเฟ้อและการเติบโตของค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่ข้อมูลเงินเดือนเฉลี่ยเดือนพฤศจิกายน 2024 ขยายตัว 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2014
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงที่ 5.25-5.5% แม้ว่าจะมีการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 แต่ Fed ได้แสดงจุดยืนที่ระมัดระวังและขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจ ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศที่ยังคงกว้างถึงประมาณ 4.75% เป็นแรงกดดันสำคัญต่อค่าเงินเยน และส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทที่มีธุรกิจระหว่างประเทศในดัชนีนิเคอิ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า BoJ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเป็น 0.75% ในการประชุมเดือนมีนาคม 2025 หากข้อมูลเศรษฐกิจยังคงสนับสนุน โดยเฉพาะหากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานโตเกียว (Tokyo Core CPI) ยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2% และผลการเจรจาค่าจ้างประจำปี (Shunto) แสดงการปรับขึ้นค่าจ้างที่ชัดเจน
ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคของญี่ปุ่น
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงต้นปี 2025 แสดงสัญญาณการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าศักยภาพ โดย BoJ ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ GDP สำหรับปีงบประมาณ 2025 เป็น +1.2% จากเดิม +0.8% ในไตรมาสก่อนหน้า ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวหลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะด้าน AI จากบริษัทขนาดใหญ่
ในด้านเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI ไม่รวมอาหารและพลังงาน) ยังคงอยู่ที่ประมาณ 2.1% ในเดือนธันวาคม 2024 และมีแนวโน้มทรงตัวในระดับใกล้เคียงกันในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ BoJ ต่อเนื่อง แรงกดดันเงินเฟ้อหลักมาจากราคาข้าวที่สูงขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน และต้นทุนนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า
ตลาดแรงงานญี่ปุ่นยังคงอยู่ในสภาวะตึงตัว โดยอัตราการว่างงานคงที่ที่ระดับ 2.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ สะท้อนถึงภาวะขาดแคลนแรงงานในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในภาคบริการและอุตสาหกรรมการผลิต การเจรจาค่าจ้างประจำปี (Shunto) ที่จะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2025 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางนโยบายการเงิน โดย BoJ เน้นย้ำถึง “วงจรที่ดี” ระหว่างค่าจ้างและราคาสินค้า นักวิเคราะห์คาดว่าการขึ้นค่าจ้างเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3-3.5% ในปี 2025 ซึ่งจะสนับสนุนการบริโภคภาคครัวเรือนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ผลประกอบการของบริษัทสำคัญในดัชนีนิเคอิ
ผลประกอบการของบริษัทชั้นนำในดัชนีนิเคอิแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งแม้จะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทส่งออกที่ได้รับประโยชน์จากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า
ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ได้รายงานผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2025 ด้วยรายได้รวม 34.02 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 1.65 ล้านล้านเยนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่าปริมาณการขายในสหรัฐฯ จะลดลง 1.3% แต่บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรได้ผ่านการเพิ่มมูลค่าสินค้าและการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในเทคโนโลยีแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ทำให้กำไรจากการดำเนินงานลดลง 560.7 พันล้านเยนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ในกลุ่มเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ โซนี่ประสบความสำเร็จอย่างมากจากยอดขาย PlayStation 5 ที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 9.5 ล้านเครื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 พร้อมกับรายได้จากบริการออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น 20% ส่วนแอดวานเทสต์ ผู้ผลิตอุปกรณ์ทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ รายงานกำไรเพิ่มขึ้น 3.6% จากความต้องการชิป AI ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน ซอฟท์แบงก์ กรุ๊ป กลับประสบภาวะขาดทุนถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์ใน Vision Fund เนื่องจากมูลค่าการลงทุนในสตาร์ทอัพเทคโนโลยีปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักด้านโทรคมนาคมยังคงเติบโตด้วยรายได้เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากจำนวนผู้ใช้บริการมือถือที่เพิ่มขึ้นและการขยายตัวของบริการชำระเงินดิจิทัล PayPay
ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าระหว่างประเทศ
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าระหว่างประเทศกำลังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นและตลาดการเงิน
นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งส่งผลให้ดัชนีนิเคอิร่วงลงถึง 1,118 จุด (-2.83%) ในวันเดียว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่พึ่งพาการส่งออกไปอเมริกาเหนือ การขู่ว่าจะขึ้นภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนถึง 25% สร้างความกังวลอย่างมากต่อบริษัทญี่ปุ่นที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของญี่ปุ่น
ในด้านความตึงเครียดในภูมิภาค ญี่ปุ่นได้เพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศเป็น 2% ของ GDP ในปี 2025 เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากจีนและเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้ลงนามความร่วมมือด้านอาวุธกับสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค
ในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นกำลังเจรจาข้อตกลงทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (CEPA) กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2025 ความพยายามในการกระจายความเสี่ยงทางการค้านี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาวของญี่ปุ่นในการลดการพึ่งพาตลาดหลักเพียงไม่กี่แห่ง
ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าเหล่านี้จะยังคงส่งผลกระทบต่อดัชนีนิเคอิและค่าเงิน USD/JPY ในช่วงที่เหลือของไตรมาสแรกปี 2025 โดยเฉพาะหากมีการประกาศมาตรการทางการค้าเพิ่มเติมหรือความตึงเครียดในภูมิภาคมีความรุนแรงมากขึ้น
การประชุมนโยบายการเงินของ BoJ และ Fed
การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั้งสองประเทศในเดือนมีนาคม 2025 จะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดที่เทรดเดอร์ควรติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางของทั้งดัชนีนิเคอิและคู่เงิน USD/JPY
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) กำหนดจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 18-19 มีนาคม 2025 โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สูงถึง 75% ที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 25 จุดฐาน จาก 0.5% เป็น 0.75% ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นติดต่อกันเป็นครั้งที่สองในปีนี้ การตัดสินใจของ BoJ จะพิจารณาจากปัจจัยหลักสามประการ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานโตเกียวเดือนกุมภาพันธ์ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ผลการเจรจาค่าจ้างประจำปี (Shunto) ที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นค่าจ้างเฉลี่ย 3-3.5% และสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นหลังการประกาศนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) จะจัดการประชุมในช่วงเวลาเดียวกัน คือวันที่ 18-19 มีนาคม 2025 โดยคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.5% ต่อไป การประชุมนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากจะเป็นการส่งสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อช่องว่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ และกระทบโดยตรงต่อคู่เงิน USD/JPY
นอกจากนี้ ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025 จะมีการเผยแพร่รายงานการประชุมนโยบายการเงินของ BoJ เดือนมกราคม ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการประเมินสภาพคล่องในตลาดพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGBs) และแนวทางการปรับนโยบายการเงินในอนาคต เทรดเดอร์ควรให้ความสนใจกับรายละเอียดเกี่ยวกับความคิดเห็นของคณะกรรมการต่อภาวะเงินเฟ้อและการเติบโตของค่าจ้าง ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญต่อการตัดสินใจในการประชุมเดือนมีนาคม
การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น
ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม 2025 จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่จะส่งผลต่อทิศทางของดัชนีนิเคอิและคู่เงิน USD/JPY
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2525 เป็นวันที่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานโตเกียว (Tokyo Core CPI) เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดล่วงหน้าของแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วประเทศ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ BoJ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม หากตัวเลขออกมาสูงกว่าคาดการณ์ จะเพิ่มความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BoJ ในเดือนมีนาคม
นอกจากนี้ ในวันเดียวกันจะมีการประกาศข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2525 ซึ่งคาดว่าจะหดตัว 0.9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เนื่องจากความต้องการเครื่องจักรจากจีนที่ลดลง อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าคาดว่าจะยังคงขยายตัว 7% จากความต้องการแบตเตอรี่ลิเธียมที่เพิ่มขึ้น ข้อมูลนี้จะสะท้อนถึงความยืดหยุ่นของภาคการผลิตญี่ปุ่นท่ามกลางความท้าทายจากภายนอก
ยอดขายปลีกเดือนมกราคม 2525 ที่จะประกาศในวันเดียวกัน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศหลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
วันที่ 4 มีนาคม 2525 จะมีการประกาศดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 35.2 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2019 หากตัวเลขออกมาสูงกว่าคาดการณ์ จะเป็นสัญญาณบวกต่อการบริโภคภาคครัวเรือน และอาจส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและบริการในดัชนีนิเคอิ
ผลการเจรจาค่าจ้างประจำปี (Shunto) และผลกระทบต่อนโยบายการเงิน
การเจรจาค่าจ้างประจำปี หรือที่เรียกว่า “Shunto” ซึ่งจะเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2525 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางนโยบายการเงินของ BoJ และจะส่งผลกระทบต่อทั้งดัชนีนิเคอิและคู่เงิน USD/JPY
BoJ ได้เน้นย้ำอย่างต่อเนื่องถึงความสำคัญของการสร้าง “วงจรที่ดี” ระหว่างค่าจ้างและราคาสินค้า โดยมองว่าการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างอย่างยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับเป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการเจรจาค่าจ้างในปีนี้จะนำไปสู่การปรับขึ้นค่าจ้างเฉลี่ย 3-3.5% ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ
บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งในดัชนีนิเคอิ เช่น โตโยต้า มิตซูบิชิ และฮิตาชิ ได้แสดงความพร้อมในการปรับขึ้นค่าจ้างอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ แต่ยังจะส่งสัญญาณถึงความมั่นใจในแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
ผลการเจรจา Shunto จะมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของ BoJ ในการประชุมวันที่ 18-19 มีนาคม หากการปรับขึ้นค่าจ้างเป็นไปตามหรือสูงกว่าคาดการณ์ จะเพิ่มโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นและอาจสร้างแรงกดดันระยะสั้นต่อบริษัทส่งออกในดัชนีนิเคอิ
เหตุการณ์อื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อตลาดในไตรมาสแรกของปี 2025
นอกเหนือจากเหตุการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่เทรดเดอร์ควรติดตามเนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อดัชนีนิเคอิและคู่เงิน USD/JPY
รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศแผนการเปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2525 มูลค่ารวมประมาณ 23 ล้านล้านเยน โดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดและระบบดิจิทัล รวมถึงการเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศเป็น 2% ของ GDP เป็นครั้งแรก มาตรการนี้คาดว่าจะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลาง แต่อาจเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้สาธารณะที่สูงถึง 260% ของ GDP
ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การประชุมสุดยอดระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะจัดขึ้นในเดือนเมษายน 2525 อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหากมีการหารือเกี่ยวกับประเด็นการค้าและความร่วมมือด้านความมั่นคง โดยเฉพาะหากมีการเจรจาเพื่อลดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ
นอกจากนี้ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์สำคัญของบริษัทในดัชนีนิเคอิ เช่น รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของโตโยต้าที่คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนมีนาคม และเทคโนโลยี AI ล่าสุดของซอฟท์แบงก์ อาจสร้างแรงกระตุ้นเฉพาะกลุ่มในดัชนีนิเคอิ
ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีนิเคอิและคู่เงิน USD/JPY มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตามบริบททางเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน โดยทั่วไปแล้ว ดัชนีนิเคอิและคู่เงิน USD/JPY มักแสดงความสัมพันธ์เชิงบวก (Positive correlation) อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปี 2025 ความสัมพันธ์นี้ได้แสดงลักษณะที่เป็นความสัมพันธ์เชิงลบแบบมีเงื่อนไข (Conditional negative correlation) ในบางช่วงเวลา
การศึกษาข้อมูลในช่วงเดือนมกราคม 2025 พบว่าเมื่อค่าเงินเยนอ่อนค่า 1% (USD/JPY เพิ่มขึ้น) ดัชนีนิเคอิมักจะปรับตัวขึ้นประมาณ 0.8% สะท้อนถึงผลบวกที่บริษัทส่งออกได้รับจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นเมื่อแปลงกลับเป็นเงินเยน อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อมีการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BoJ และค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดัชนีนิเคอิกลับปรับตัวลดลง สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อกำไรของบริษัทส่งออก
นอกจากนี้ ยังพบว่าความสัมพันธ์ระหว่าง USD/JPY และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB Yields) มีค่าสหสัมพันธ์สูงถึง +0.83 ในช่วงต้นปี 2025 ซึ่งสูงกว่าความสัมพันธ์กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นั่นหมายความว่า นโยบายการเงินของ BoJ และคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นกำลังมีอิทธิพลต่อค่าเงินเยนมากขึ้น
ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อผลประกอบการบริษัทในดัชนีนิเคอิ
อัตราแลกเปลี่ยนมีผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของบริษัทในดัชนีนิเคอิ โดยเฉพาะบริษัทที่มีรายได้หลักจากการส่งออกหรือมีธุรกิจในต่างประเทศเป็นสัดส่วนสูง
สำหรับบริษัทส่งออกรายใหญ่ เช่น โตโยต้า โซนี่ และแคนนอน การอ่อนค่าของเงินเยน (USD/JPY สูงขึ้น) จะส่งผลดีต่อรายได้และกำไรเมื่อแปลงกลับเป็นเงินเยน การศึกษาพบว่าการอ่อนค่าของเงินเยน 1% จะส่งผลให้กำไรของบริษัทส่งออกเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 0.9% ซึ่งสะท้อนให้เห็นในผลประกอบการของโตโยต้าที่รายงานรายได้รวม 34.02 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ปริมาณการขายจะลดลงเล็กน้อย
ในทางตรงกันข้าม บริษัทที่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบหรือมีหนี้สินในสกุลเงินต่างประเทศ เช่น บริษัทพลังงานและสาธารณูปโภค จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการอ่อนค่าของเงินเยน เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น ข้อมูลจากไตรมาสล่าสุดแสดงให้เห็นว่าต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทในกลุ่มนี้ลดลง
นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินเยนอย่างรวดเร็ว (USD/JPY ลดลง) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อค่าเงิน USD/JPY ลดลงสู่ระดับ 149.95 เยนต่อดอลลาร์ ได้สร้างความกังวลต่อนักลงทุนและส่งผลให้ดัชนีนิเคอิปรับตัวลดลง 1.24% ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มส่งออกที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นและผลกระทบต่อทั้งสองตลาด
ตลาดการเงินญี่ปุ่นในช่วงที่เหลือของไตรมาสแรกปี 2025 อาจเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งดัชนีนิเคอิและคู่เงิน USD/JPY
สถานการณ์ที่ 1: BoJ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 0.75% ในเดือนมีนาคม ขณะที่ Fed คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.5%
ในสถานการณ์นี้ คาดว่าค่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 145-148 เยนต่อดอลลาร์ จากการลดลงของช่องว่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศ ส่งผลให้หุ้นบริษัทส่งออกในดัชนีนิเคอิปรับตัวลดลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินเยนจะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อนำเข้า ซึ่งเป็นผลดีต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว ทำให้ดัชนีนิเคอิมีโอกาสฟื้นตัวหลังจากปรับตัวลดลงในช่วงแรก
สถานการณ์ที่ 2: BoJ คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ในเดือนมีนาคม และส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
หากเกิดสถานการณ์นี้ คาดว่าค่าเงินเยนจะกลับมาอ่อนค่าอีกครั้งสู่ระดับ 155-160 เยนต่อดอลลาร์ ส่งผลดีต่อบริษัทส่งออกและหนุนให้ดัชนีนิเคอิปรับตัวขึ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินเยนอ่อนค่าเกิน 160 เยนต่อดอลลาร์ อาจมีการแทรกแซงตลาดโดย BoJ เพื่อพยุงค่าเงิน ซึ่งจะสร้างความผันผวนให้กับตลาด
สถานการณ์ที่ 3: สหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าเพิ่มเติมที่ส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของญี่ปุ่น
ในกรณีนี้ คาดว่าดัชนีนิเคอิจะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เช่น ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในขณะที่คู่เงิน USD/JPY อาจเคลื่อนไหวผันผวนตามข่าวและการเก็งกำไรของนักลงทุน โดยอาจมีแรงซื้อเงินเยนในฐานะสกุลเงินปลอดภัย (Safe-haven currency) ทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นแม้จะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
กลยุทธ์การเทรดที่อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตลาด
การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีนิเคอิและคู่เงิน USD/JPY สามารถนำไปสู่กลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพสำหรับเทรดเดอร์ของ FXGT
กลยุทธ์ที่ 1: การเทรดตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน
เทรดเดอร์สามารถใช้การประกาศนโยบายการเงินของ BoJ เป็นจุดเข้าหรือออกจากตลาด โดยในช่วงก่อนการประชุม BoJ ในวันที่ 18-19 มีนาคม หากมีข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เช่น อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานโตเกียวสูงกว่าคาดการณ์ หรือผลการเจรจา Shunto ที่นำไปสู่การปรับขึ้นค่าจ้างมากกว่า 3.5% เทรดเดอร์อาจพิจารณาเปิดสถานะขายคู่เงิน USD/JPY ล่วงหน้า เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่ BoJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น
ในขณะเดียวกัน เทรดเดอร์อาจพิจารณาเปิดสถานะขายในดัชนีนิเคอิล่วงหน้า และซื้อกลับหลังจากการปรับตัวลดลงในช่วงแรกหลังประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว ดัชนีนิเคอิมักจะฟื้นตัวหลังจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อตลาดปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยใหม่
กลยุทธ์ที่ 2: การเทรดตามกลุ่มอุตสาหกรรม
เทรดเดอร์สามารถเลือกเทรด CFD บนหุ้นเฉพาะกลุ่มในดัชนีนิเคอิที่มีความสัมพันธ์ชัดเจนกับการเคลื่อนไหวของคู่เงิน USD/JPY:
กลยุทธ์ที่ 3: การเทรดแบบ Pair Trading
เทรดเดอร์สามารถใช้กลยุทธ์ Pair Trading โดยเปิดสถานะซื้อในสินทรัพย์หนึ่งและขายในอีกสินทรัพย์หนึ่งในเวลาเดียวกัน เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดโดยรวม ตัวอย่างเช่น:
สรุปมุมมองและแนวโน้มของดัชนีนิเคอิและ USD/JPY
ในช่วงต้นปี 2025 ตลาดการเงินญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ที่กำลังออกจากยุคดอกเบี้ยต่ำที่ดำเนินมานานหลายทศวรรษ ประกอบกับความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก
ดัชนีนิเคอิเคลื่อนไหวอยู่ในระดับประมาณ 40,000 จุด ซึ่งเป็นระดับที่สะท้อนถึงความคาดหวังต่อการเติบโตของกำไรบริษัทที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและยานยนต์ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BoJ และนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันสำคัญ
คู่เงิน USD/JPY แสดงความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเคลื่อนไหวในช่วงกว้างระหว่าง 148 ถึง 158 เยนต่อดอลลาร์ ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนได้แก่ ช่องว่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ที่ยังคงกว้างถึงประมาณ 4.75% แม้ว่า BoJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.5% แล้วก็ตาม
ในระยะสั้นถึงกลาง คาดว่าดัชนีนิเคอิจะยังคงมีความผันผวน แต่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 45,400 จุดภายในสิ้นปี 2525 จากแรงสนับสนุนของการซื้อหุ้นคืนของบริษัทมูลค่ารวมประมาณ 17 ล้านล้านเยนและการปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการ ส่วนคู่เงิน USD/JPY คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 145 ถึง 155 เยนต่อดอลลาร์ โดยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของทั้ง BoJ และ Fed โดยเฉพาะในการประชุมเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
โอกาสและความเสี่ยงสำหรับเทรดเดอร์
การเทรดในตลาดญี่ปุ่นในช่วงนี้มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่เทรดเดอร์ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
โอกาสสำหรับเทรดเดอร์:
ความเสี่ยงสำหรับเทรดเดอร์:
คำแนะนำสำหรับการติดตามและปรับกลยุทธ์การเทรด
การติดตามปัจจัยสำคัญอย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเทรดที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้:
ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการตัดสินใจลงทุน
ในการตัดสินใจลงทุนในตลาดญี่ปุ่นในช่วงนี้ เทรดเดอร์ควรพิจารณาประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:
โดยสรุป ตลาดการเงินญี่ปุ่นในช่วงต้นปี 2025 นำเสนอทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับเทรดเดอร์ การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีนิเคอิและคู่เงิน USD/JPY อย่างลึกซึ้ง ติดตามปัจจัยสำคัญอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรด การตระหนักถึงความเสี่ยงและการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจะช่วยปกป้องเงินทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว