การแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับกราฟ: ทำความเข้าใจพื้นฐาน
การเริ่มต้นในโลกของการเทรดอาจเป็นทั้งสิ่งที่น่าตื่นเต้นและน่ากังวล สิ่งแรกที่คุณจะพบคือ แนวคิดของกราฟ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของตลาดและการตัดสินใจในการเทรด แต่เนื่องจากกราฟและอินดิเคเตอร์มีอยู่มากมาย คุณจะเริ่มจากที่ไหน? บทความนี้จะให้คำแนะนำที่เข้าใจได้ง่ายเกี่ยวกับกราฟ เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจพื้นฐานได้โดยไม่ต้องวนอยู่กับศัพท์ทางเทคนิคที่ซับซ้อน
กราฟคืออะไร?
กราฟเป็นการแสดงภาพการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งได้มีการนำไปใช้ในตลาดการเงินต่าง ๆ เช่น หุ้น ฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ และสกุลเงินดิจิทัล กราฟจะแสดงราคาของสินทรัพย์ในแกนแนวตั้ง (y-axis) ส่วนแกนแนวนอน (x-axis) จะแสดงเวลา กราฟเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นรูปแบบ แนวโน้ม และโอกาสที่อาจเกิดขึ้นได้
ลองนึกถึงกราฟเหมือนเป็นการแสดงภาพของอารมณ์ตลาด ด้วยการดูกราฟคุณสามารถเห็นได้ว่าราคาของสินทรัพย์มีการเคลื่อนไหวอย่างไรในอดีต และคาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดต่อไปจากข้อมูลนี้ กราฟประเภทต่าง ๆ สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้มันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเทรดเดอร์ผู้จริงจังกับการเทรด
ส่วนประกอบหลักของกราฟ
ก่อนที่จะเจาะลึกไปยังกราฟประเภทต่าง ๆ เราจำเป็นต้องเข้าใจส่วนประกอบสำคัญที่พบได้ในกราฟทุกแบบ ซึ่งจะเป็นรากฐานของกราฟและเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการอ่านข้อมูลกราฟอย่างมีประสิทธิภาพ
1. แกนราคา (Y-Axis): เส้นแนวตั้งทางด้านขวาของกราฟแสดงราคาของสินทรัพย์ โดยอาจแสดงราคาปิด เปิด สูง ต่ำ หรือผสมกันได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของกราฟ
2. แกนเวลา (X-Axis): อยู่บนเส้นแนวนอนด้านล่าง แกนเวลาจะแสดงช่วงเวลาที่ทำการวิเคราะห์ ซึ่งอาจเป็นได้ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีไปจนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับความชอบของเทรดเดอร์ การเข้าใจแกนเวลาของกราฟมีความสำคัญ เนื่องจากคุณจะสามารถเห็นได้ว่าราคาเปลี่ยนแปลงอย่างไรในช่วงเวลาหนึ่ง
3. แท่งปริมาณ: มักถูกแสดงอยู่ที่ด้านล่างของกราฟ แท่งเหล่านี้แสดงจำนวนหุ้นหรือสัญญาที่ถูกซื้อขายในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ปริมาณการซื้อขายสูงสามารถบ่งบอกถึงความสนใจที่มากหรือการเคลื่อนไหวของราคาที่สำคัญ
4. เส้นแนวโน้ม: เส้นเหล่านี้ถูกวาดขึ้นเพื่อเชื่อมโยงจุดราคาบางส่วน เช่น ราคาสูงหรือต่ำ เพื่อช่วยในการหาทิศทางของตลาด เส้นแนวโน้มอาจเฉียงขึ้น ลง หรือเป็นแนวนอนได้ ซึ่งบ่งบอกว่าตลาดเป็นขาขึ้น ขาลง หรือไซด์เวย์
5. อินดิเคเตอร์: อินดิเคเตอร์ต่าง ๆ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือ Relative Strength Index (RSI) มักจะถูกวางซ้อนบนกราฟเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม เครื่องมือเหล่านี้ช่วยเทรดเดอร์ในการยืนยันแนวโน้มและหาจุดเข้าออกที่อาจเกิดขึ้น
6. แท่งเทียนหรือแท่ง: ภาพเหล่านี้แสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด นี่เป็นการแสดงภาพลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนที่สุดและอาจขึ้นอยู่กับประเภทของกราฟที่ใช้
ประเภทของกราฟ
กราฟมีหลายประเภท แต่ละประเภทให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมของตลาด เราลองมาสำรวจประเภทกราฟที่พบบ่อยที่สุด: กราฟเส้น กราฟแท่ง และกราฟแท่งเทียน
กราฟเส้น:
กราฟเส้นเป็นรูปแบบกราฟที่ง่ายที่สุด มันเชื่อมโยงราคาปิดของสินทรัพย์ในช่วงเวลาที่เลือกด้วยเส้นแบบต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ามันไม่ได้ให้รายละเอียดมากเหมือนกับกราฟประเภทอื่น ๆ แต่กราฟเส้นก็สามารถใช้ในการดูภาพรวมทิศทางทั่วไปของตลาดได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องการเน้นไปที่ราคาปิดเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นราคาที่เทรดเดอร์จำนวนมากถือว่าสำคัญที่สุดในแต่ละวัน
กราฟแท่ง:
กราฟแท่งให้ข้อมูลมากกว่ากราฟเส้น โดยมีการแสดงราคาปิด เปิด สูง และต่ำสำหรับแต่ละช่วงเวลา แท่งกราฟแต่ละแท่งแทนช่วงเวลาหนึ่ง (เช่น หนึ่งวัน) โดยมีเส้นแนวตั้งแสดงช่วงระหว่างราคาสูงและต่ำ เส้นแนวนอนยื่นออกมาจากเส้นแนวตั้งแสดงถึงราคาเปิด (ทางด้านซ้าย) และราคาปิด (ทางด้านขวา) กราฟแท่งจะให้มุมมองที่ละเอียดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจความผันผวนและโมเมนตัมของตลาดได้
กราฟแท่งเทียน:
กราฟแท่งเทียนเป็นหนึ่งในกราฟที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มันมีแหล่งกำเนิดมาจากญี่ปุ่นและมีการใช้มานานหลายศตวรรษในการวิเคราะห์ตลาดข้าว ในปัจจุบัน มันได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในทุกตลาดการเงิน แท่งเทียนแต่ละแท่งแสดงข้อมูลเหมือนกับกราฟแท่ง (ราคาเปิด ปิด สูง และต่ำ) แต่สามารถแสดงภาพให้เข้าใจได้ง่ายกว่า ส่วนตัวแท่งเทียนแสดงช่วงราคาระหว่างราคาเปิดและราคาปิด ส่วนไส้เทียน (หรือเงา) แสดงราคาสูงและต่ำ หากราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แท่งเทียนมักจะมีสีเขียวหรือขาว ซึ่งบ่งบอกถึงพฤติกรรมขาขึ้น หากราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด แท่งเทียนจะมีสีแดงหรือดำ ส่งสัญญาณ์ถึงมุมมองเชิงลบ
กราฟ Point and Figure:
กราฟ Point and figure เป็นกราฟที่พบได้น้อยกว่าแต่ให้มุมมองการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่เหมือนใคร มันจะโฟกัสที่การเปลี่ยนแปลงของราคาเพียงอย่างเดียวและไม่สนใจเวลา กราฟประเภทนี้มีประโยชน์ในการหาการเคลื่อนตัวของราคาที่สำคัญและกรองความผันผวนเล็กน้อยออก แทนที่จะพล็อตราคาต่อเวลา กราฟ point and figure ใช้คอลัมน์ของ X และ O เพื่อแสดงราคาขึ้นและลงตามลำดับ กราฟเหล่านี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการระบุแนวโน้มระยะยาว
กราฟ Renko:
กราฟ Renko เป็นระบบการกราฟที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยชาวญี่ปุ่น ออกแบบมาเพื่อกรองเอาราคาที่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยออกไป ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถโฟกัสไปที่แนวโน้มสำคัญ กราฟเหล่านี้ไม่สนใจเวลาและโฟกัสไปที่การเปลี่ยนแปลงของราคาโดยใช้ “ก้อนอิฐ” แสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคา เมื่อราคาขยับไปในทิศทางหนึ่งเป็นจำนวนที่กำหนด ก้อนอิฐใหม่จะถูกเพิ่มเข้ามา กราฟ Renko มีประสิทธิภาพสูงในการหาจุดกลับตัวของแนวโน้มและช่วยให้เทรดเดอร์โฟกัสไปที่ภาพใหญ่ ลดเสียงรบกวนจากความผันผวนของราคาที่มีขนาดเล็ก
กราฟ Heikin-Ashi:
กราฟ Heikin-Ashi เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของกราฟแท่งเทียนที่เป็นวัตกรรมจากญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อทำให้ข้อมูลราคามีความเรียบและแสดงภาพแนวโน้มของตลาดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น Heikin-Ashi แปลว่า “แท่งเฉลี่ย” ในภาษาญี่ปุ่น และกราฟเหล่านี้จะหาค่าเฉลี่ยของราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด ราคาเปิด และราคาปิด เพื่อสร้างภาพที่ละเอียดยิ่งขึ้น กราฟ Heikin-Ashi มีประโยชน์ในการหาแนวโน้มที่กำลังดำเนินอยู่ และมักถูกใช้โดยเทรดเดอร์ที่ต้องการติดตามแนวโน้มเป็นระยะเวลานาน
วิธีอ่านกราฟ
การอ่านกราฟเป็นทักษะสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน แม้ว่ากราฟและอินดิเคเตอร์หลายแบบอาจดูท้าทาย แต่การแบ่งกระบวนการออกเป็นขั้นตอนย่อย ๆ จะทำให้เราเข้าใจมันได้ง่ายยิ่งขึ้น
เริ่มต้นด้วยพื้นฐาน:
เริ่มต้นด้วยการกำหนดประเภทของกราฟที่คุณใช้ เช่น เส้น แท่ง หรือแท่งเทียน ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าส่วนประกอบในกราฟแต่ละอย่างหมายถึงอะไร ตัวอย่างเช่น บนกราฟแท่งเทียน โฟกัสไปที่สีและความยาวของแท่งเทียนเพื่อวัดอารมณ์ตลาด
พิจารณาไทม์เฟรม:
ไทม์เฟรมที่คุณเลือกใช้สำหรับกราฟจะส่งผลอย่างมากต่อการวิเคราะห์ของคุณ เทรดเดอร์ระยะสั้นอาจโฟกัสไปที่การเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น ในระดับนาที ส่วนนักลงทุนระยะยาวอาจดูกราฟรายวัน รายสัปดาห์ หรือแม้แต่รายเดือน จุดสำคัญคือการเลือกไทม์เฟรมของกราฟให้ตรงกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
มองหาแนวโน้ม:
การหาแนวโน้มเป็นเหตุผลหลักที่เทรดเดอร์ใช้กราฟ เส้นแนวโน้มสามารถช่วยให้คุณเห็นได้ว่าตลาดกำลังเคลื่อนตัวไปในทิศทางใด เป็นขาขึ้น ขาลง หรือเคลื่อนที่ออกด้านข้าง แนวโน้มขาขึ้นจะมีลักษณะของการทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนแนวโน้มขาลงจะมีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ การทราบถึงรูปแบบเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีความได้เปรียบอย่างมาก
ใช้อินดิเคเตอร์อย่างชาญฉลาด:
อินดิเคเตอร์เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่, RSI และ Bollinger Bands สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมของตลาดได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือคุณไม่ควรใส่อินดิเคเตอร์ไปบนกราฟมากเกินไป เพราะอาจทำให้สับสนได้ เริ่มต้นด้วยอินดิเคเตอร์หนึ่งหรือสองตัวที่สอดคล้องกับสไตล์การเทรดของคุณ และค่อย ๆ เพิ่มอินดิเคเตอร์เมื่อคุณรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น
วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย:
ปริมาณการซื้อขายเป็นอินดิเคเตอร์ที่แสดงถึงความแข็งแกร่งของตลาด ปริมาณการซื้อขายที่สูงในช่วงที่ราคาสูงขึ้นอาจบ่งบอกถึงความสนใจในการซื้อที่แข็งแกร่ง ส่วนปริมาณการซื้อขายที่ต่ำในขณะที่ราคาลดลงอาจบ่งบอกถึงแรงขายที่อ่อน การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายแบบกระทันหันอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวหรือจุดเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่
พิจารณาอารมณ์ของตลาด:
สุดท้าย จงอย่าลืมว่ากราฟสะท้อนถึงอารมณ์ของตลาด เทรดเดอร์รู้สึกอย่างไรต่อสินทรัพย์หนึ่ง ๆ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง รูปแบบกราฟเช่น head and shoulders, double tops, และ flags สามารถบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของตลาดและการเคลื่อนไหวของราคาที่อาจเกิดขึ้น การจดจำรูปแบบกราฟเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าตลาดอาจเคลื่อนตัวไปในทิศทางใดต่อไป
คำแนะนำในการใช้กราฟ
ใช้ความเรียบง่าย:
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อยในกลุ่มเทรดเดอร์มือใหม่คือ การทำกราฟให้ซับซ้อนด้วยการใส่อินดิเคเตอร์เป็นจำนวนที่มากเกินไป แม้ว่าเราอาจอยากใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่ แต่การทำเช่นนี้มักนำไปสู่ความสับสนและการวิเคราะห์ที่มากเกินไป แทนที่จะทำเช่นนั้น คุณควรโฟกัสไปที่อินดิเคเตอร์ตัวสำคัญไม่กี่ตัวที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ เมื่อคุณรู้สึกคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น คุณสามารถทดลองเพิ่มความซับซ้อนได้ แต่อย่าลืมว่าในบางครั้ง การที่มีน้อยก็คือการที่มีมาก
การทดสอบย้อนหลัง:
ก่อนที่จะนำกลยุทธ์การเทรดใหม่มาใช้ คุณควรทำการทดสอบย้อนหลังกับข้อมูลในอดีตก่อน หรือที่เรียกว่าการแบ็คเทส เมื่อนำกลยุทธ์ของคุณไปใช้กับการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต คุณจะสามารถเห็นว่ากลยุทธ์นี้ทำงานอย่างไรและสามารถทำการปรับเปลี่ยนที่จำเป็นได้ แพลตฟอร์มเทรดส่วนใหญ่มีเครื่องมือแบ็คเทสที่ให้คุณทดลองบนสถานการณ์ต่าง ๆ และปรับกลยุทธ์ของคุณก่อนที่จะนำเงินจริงมาใช้
รักษาวินัย:
การเทรดอาจขึ้นลงไปตามอารมณ์ ซึ่งคุณอาจหลงไปกับความตื่นเต้นของผลกำไรครั้งใหญ่หรือความสิ้นหวังของการขาดทุนหนัก อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จต่างทราบถึงความสำคัญของการมีวินัย ซึ่งหมายถึงการยึดมั่นปฏิบัติตามกลยุทธ์ของคุณ แม้ว่าตลาดจะดูเหมือนว่ากำลังเคลื่อนตัวสวนทางกับคุณ และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจด้วยความหุนหันจากความผันผวนระยะสั้น ความสม่ำเสมอและวินัยคือกุญแจไปสู่ความสำเร็จในการเทรดระยะยาว
เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง:
โลกของการเทรดเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา มีเครื่องมือ กลยุทธ์ และตลาดใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะก้าวนำหน้าอยู่เสมอ คุณจำเป็นต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจรวมถึงการสมัครเรียนคอร์สขั้นสูงเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรด การติดตามข่าวสารล่าสุดของตลาด หรือเพียงแค่ใช้เวลาทุกวันในการทบทวนการเทรดและวิเคราะห์กราฟของคุณ ยิ่งคุณเรียนรู้มากเท่าใด คุณจะยิ่งเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวผ่านความซับซ้อนของตลาดได้ดียิ่งขึ้น
บทสรุป
กราฟเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับผู้ที่อยู่ในตลาดการเงิน มันจะแสดงภาพการเคลื่อนไหวของราคา ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถหาแนวโน้ม รูปแบบกราฟ และโอกาสที่อาจเกิดขึ้นได้ การเข้าใจพื้นฐานของกราฟ รวมถึงองค์ประกอบที่สำคัญและกราฟประเภทต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจข้อมูลตลาด ด้วยการเรียนรู้วิธีการอ่านกราฟเหล่านี้ คุณจะสามารถทำความเข้าใจพฤติกรรมของตลาดและพัฒนากลยุทธ์การเทรดของคุณให้ดียิ่งขึ้นได้
ไม่ว่าคุณจะใช้กราฟเส้นแบบง่ายเพื่อดูภาพรวมคร่าว ๆ หรือเจาะลึกลงไปในอินดิเคเตอร์ของแท่งเทียนและเส้นแนวโน้ม การสร้างความเชี่ยวชาญในศิลปะของการอ่านกราฟจะช่วยให้คุณมีทักษะที่จำเป็นในการก้าวไปในตลาดด้วยความมั่นใจ เมื่อคุณฝึกฝนและเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ คุณจะพบว่ากราฟเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของชุดเครื่องมือในการเทรดของคุณ
หากคุณต้องการดูข้อมูลสรุปอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่สำคัญ โปรดไปที่คู่มือสำคัญสำหรับอินดิเคเตอร์
เริ่มเส้นทางการเทรดของคุณที่นี่