หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
วันที่ 2 เมษายน 2025 เป็นวันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าแบบ “Reciprocal Tariffs” ที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก โดยเขาได้เน้นย้ำว่านี่คือ “liberation day” และ “the big one” ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ
ตลอดช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์ได้ผลักดันแนวคิดว่าประเทศต่างๆ “เอาเปรียบ” สหรัฐอเมริกาผ่านข้อตกลงทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และสัญญาว่าจะปกป้องแรงงานและอุตสาหกรรมภายในประเทศ การประกาศใช้ภาษีนำเข้าแบบ “Reciprocal Tariffs” จึงเป็นการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาดังกล่าว โดยมีแนวคิดหลักคือการเรียกเก็บภาษีจากประเทศที่เก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ หรือมีมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบอื่น
ทันทีหลังการประกาศ ตลาดการเงินโลกตอบสนองด้วยความผันผวน ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 0.38% ขณะที่ Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.87% แสดงถึงความไม่แน่นอนและการคาดการณ์ผลกระทบที่หลากหลาย ด้านตลาดพันธบัตรมีการเคลื่อนไหวที่บ่งชี้ถึงความกังวลว่ามาตรการดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อและส่งผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ
นโยบายภาษีนำเข้าครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชุดมาตรการทางการค้าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ดำเนินการมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งรวมถึงการเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีน แคนาดา และเม็กซิโก รวมถึงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม และล่าสุดคือภาษีนำเข้ารถยนต์ มาตรการเหล่านี้สะท้อนถึงแนวทาง “America First” ที่มุ่งเน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและแก้ไขการขาดดุลการค้า
ประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกคือความไม่แน่นอนและขนาดของมาตรการ โดยรายงานล่าสุดระบุว่าทำเนียบขาวกำลังพิจารณาเก็บภาษีนำเข้าประมาณ 20% สำหรับสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ ซึ่งแม้จะต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ แต่ยังคงเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนโยบายการค้าที่อาจกระทบกับห่วงโซ่อุปทานโลก ราคาสินค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ปฏิกิริยาของประเทศคู่ค้าหลักโดยเฉพาะจีน สหภาพยุโรป แคนาดา และเม็กซิโก ยิ่งสร้างความซับซ้อนให้กับสถานการณ์ ด้วยการประกาศมาตรการตอบโต้ที่หลากหลาย ตั้งแต่การขึ้นภาษีตอบโต้ การควบคุมการส่งออกสินค้ายุทธศาสตร์ ไปจนถึงการเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรการค้าใหม่ สร้างความกังวลว่าโลกกำลังเข้าสู่สงครามการค้ารอบใหม่ที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงกว่าที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2018-2019
นโยบายภาษีนำเข้าแบบ “Reciprocal Tariffs” ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้ในวันที่ 2 เมษายน 2025 นับเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าครั้งสำคัญของสหรัฐฯ ที่มุ่งแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าและสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ ตามคำกล่าวของแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว มาตรการภาษีนี้จะมีผลบังคับใช้ทันทีหลังการประกาศ สะท้อนถึงความเร่งด่วนและความมุ่งมั่นของรัฐบาลทรัมป์ในการดำเนินนโยบายดังกล่าว
แนวคิดพื้นฐานของนโยบาย “Reciprocal Tariffs” คือการตอบโต้ประเทศที่กำหนดภาษีนำเข้าหรือมาตรการกีดกันทางการค้าต่อสินค้าสหรัฐฯ โดยใช้มาตรการที่คล้ายคลึงกัน ทรัมป์อธิบายว่านี่เป็นการสร้างความเท่าเทียมในกฎเกณฑ์การค้าและผลักดันให้คู่ค้าลดอุปสรรคทางการค้าของตนเอง อย่างไรก็ตาม มีความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการคำนวณอัตราภาษีสำหรับแต่ละประเทศและสินค้าแต่ละประเภท
จากข้อมูลล่าสุด ทำเนียบขาวกำลังพิจารณาเก็บภาษีนำเข้าประมาณ 20% สำหรับสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ แม้จะมีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าอัตราภาษีอาจสูงถึง 40-50% สำหรับบางประเทศหรือบางสินค้า อัตรา 20% นี้อาจถือว่าต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังคงมีนัยสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศและห่วงโซ่อุปทานโลก
ประเด็นสำคัญอีกประการของนโยบายภาษีนำเข้าชุดนี้คือการมุ่งเน้นไปที่กลุ่มประเทศที่เรียกว่า “Dirty 15” ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สก็อต เบสเซนท์ ได้กล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์กับ Fox Business เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2025 กลุ่มนี้หมายถึง 15% ของประเทศที่มีปริมาณการค้ากับสหรัฐฯ สูง แต่กลับเรียกเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ในอัตราสูงหรือมีมาตรการกีดกันทางการค้าอื่นๆ แม้ว่ารายชื่อประเทศเหล่านี้จะไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ในปี 2024 บ่งชี้ว่าประเทศที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าสินค้าสูงสุดได้แก่ จีน สหภาพยุโรป เม็กซิโก เวียดนาม ไอร์แลนด์ เยอรมนี ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา และอินเดีย
ความน่าสนใจอีกประการคือการที่ทรัมป์ปฏิเสธแนวคิดที่ว่านโยบายนี้จะจำกัดอยู่เพียง 10-15 ประเทศเท่านั้น โดยเขาระบุในการให้สัมภาษณ์บนเครื่องบินประจำตำแหน่ง Air Force One ว่า “จะเริ่มกับทุกประเทศ” และ “ไม่มีการตัดจำกัด” สะท้อนถึงขอบเขตที่กว้างขวางของนโยบายนี้ซึ่งอาจครอบคลุมคู่ค้าทั่วโลกของสหรัฐฯ
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ได้ออกประกาศขอความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับแนวปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยระบุ 21 ประเทศและเขตเศรษฐกิจที่มีความสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา จีน สหภาพยุโรป อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน ไทย ตุรกี สหราชอาณาจักร และเวียดนาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในกลุ่ม G20 และประเทศที่มีการขาดดุลการค้าสินค้ากับสหรัฐฯ สูง
นโยบายภาษีนำเข้าแบบ “Reciprocal Tariffs” นี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดมาตรการทางการค้าที่ทรัมป์ได้ประกาศไปแล้ว ซึ่งรวมถึงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ภาษีสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงการค้าไตรภาคี ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม และล่าสุดคือภาษีนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศและชิ้นส่วนสำคัญ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้กล่าวว่าจะมีการประกาศภาษีนำเข้าเพิ่มเติมสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น เภสัชภัณฑ์ ในอนาคตอันใกล้
ผลกระทบเบื้องต้นของนโยบายภาษีนำเข้านี้ได้สร้างความกังวลในวงกว้าง โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ จิม เครเมอร์ จาก CNBC กล่าวว่าภาษี 20% กับสินค้านำเข้าเกือบทั้งหมดจะเป็น “หายนะ” สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ทรัมป์ต้องการจะแก้ไขได้ เขาชี้ให้เห็นถึงปัญหาห้าประการของภาษีที่เสนอ ได้แก่ ความเป็นไปไม่ได้ที่การผลิตในสหรัฐฯ จะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ผลกระทบทางประวัติศาสตร์ของภาษีนำเข้าที่คล้ายคลึงกัน ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษี ความไม่เหมาะสมของการเรียกเก็บภาษีจากแคนาดา และความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับเงินเฟ้อมากกว่าภาษีนำเข้า
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยังคงยืนยันว่านโยบายนี้จะช่วยปกป้องแรงงานและอุตสาหกรรมสหรัฐฯ รวมถึงสร้างแรงกดดันให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดมากขึ้นสำหรับสินค้าและบริการของสหรัฐฯ การประกาศใช้นโยบายนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศและตลาดการเงินโลก ซึ่งผลกระทบที่แท้จริงจะเริ่มปรากฏชัดในช่วงเดือนและปีต่อจากนี้
การประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าแบบ “Reciprocal Tariffs” ของประธานาธิบดีทรัมป์ได้จุดประกายปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วและเข้มข้นจากประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ โดยแต่ละประเทศได้ดำเนินมาตรการตอบโต้ที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและอำนาจต่อรองทางการค้าที่แตกต่างกัน การวิเคราะห์ปฏิกิริยาเหล่านี้มีความสำคัญต่อการประเมินผลกระทบโดยรวมต่อระบบเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน
จีนได้ตอบโต้มาตรการของสหรัฐฯ ด้วยวิธีการที่ซับซ้อนและหลากหลาย เริ่มต้นด้วยการประกาศเก็บภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ในอัตรา 10% และน้ำมันดิบในอัตรา 15% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 แม้ว่าปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ จะคิดเป็นเพียง 1.7% ของการนำเข้ารวมของจีน แต่มาตรการนี้มีนัยสำคัญในเชิงสัญลักษณ์
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือการที่จีนใช้ยุทธศาสตร์ “การปิดกั้นเชิงยุทธศาสตร์” ด้วยการควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญ เช่น วัสดุที่เกี่ยวข้องกับทังสเตนและเทลลูเรียม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ของสหรัฐฯ มาตรการนี้สะท้อนให้เห็นถึงการใช้จุดแข็งของจีนในฐานะผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ของโลกเพื่อสร้างแรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ
ในเชิงการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์จีนได้ยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อทบทวนความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการภาษีสหรัฐฯ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า “การขึ้นภาษีไม่ช่วยแก้ปัญหาภายในสหรัฐฯ” นักวิเคราะห์มองว่าจีนพยายามรักษาช่องทางการเจรจาให้เปิดไว้ ในขณะที่เตรียมมาตรการตอบโต้เพิ่มเติมหากจำเป็น
สหภาพยุโรปมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วและเป็นเอกภาพต่อมาตรการของสหรัฐฯ โดยคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ได้ประกาศใช้ภาษีตอบโต้ 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลายตั้งแต่สินค้าเกษตร อุตสาหกรรม ไปจนถึงสินค้าฟุ่มเฟือย โฆษกของ EC ได้ให้ความเห็นว่า “การค้าเสรีต้องเป็นประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่เครื่องมือกดดันฝ่ายเดียว” สะท้อนจุดยืนของยุโรปที่สนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี
เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้วิพากษ์นโยบายของสหรัฐฯ อย่างตรงไปตรงมา โดยชี้ว่า “ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เป็นการเก็บภาษีจากผู้บริโภคตนเอง” และจะทำให้เกิดเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ข้อมูลจาก Eurostat ชี้ให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมยุโรปกว่า 40% ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากสหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่ามาตรการตอบโต้จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานยุโรปเองด้วย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์และอากาศยาน
แม้จะเตรียมมาตรการตอบโต้อย่างเต็มรูปแบบ สหภาพยุโรปยังคงเปิดช่องทางการเจรจา โดยเสนอให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อทบทวนกฎระเบียบการค้า อย่างไรก็ตาม มีสมาชิกสภายุโรปบางส่วนที่เรียกร้องให้เพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าเชิงรุกมากขึ้น เพื่อสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลทรัมป์ สะท้อนถึงความขัดแย้งภายในเกี่ยวกับแนวทางที่เหมาะสม
แคนาดา พันธมิตรใกล้ชิดและประเทศเพื่อนบ้านของสหรัฐฯ ได้แสดงปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วด้วยการประกาศมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่ารวม 3.6 พันล้านดอลลาร์ ครอบคลุมสินค้าหลากหลายรายการ ทั้งเบียร์ ไวน์ เสื้อผ้า และอุปกรณ์กีฬา นายกรัฐมนตรีทรูโดได้เน้นย้ำว่า “มาตรการนี้ตอบสนองแบบสมน้ำหน้า” และรัฐบาลแคนาดาได้เตรียมแผนสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศแบบเร่งด่วน
นอกจากการตอบโต้ทางภาษีแล้ว แคนาดายังได้ริเริ่มยุทธศาสตร์กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยผู้นำแคนาดาเรียกร้องให้ประชาชน “เลือกซื้อสินค้าแคนาดา” พร้อมเพิ่มเงินอุดหนุนภาคการผลิตท้องถิ่น 20% แคมเปญ “Buy Canadian” นี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดการพึ่งพาสินค้าสหรัฐฯ ในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเบา
สิ่งที่น่ากังวลสำหรับสหรัฐฯ คือการที่แคนาดาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดไปยังสหรัฐฯ และการขึ้นภาษีน้ำมันดิบและไม้แปรรูปจากแคนาดาอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคพลังงานสหรัฐฯ นักวิเคราะห์ได้เตือนว่าหากแคนาดาตอบโต้ด้วยการจำกัดการส่งออกพลังงาน อาจเกิดวิกฤตพลังงานในรัฐทางเหนือของสหรัฐฯ ซึ่งพึ่งพาแหล่งพลังงานจากแคนาดาเป็นอย่างมาก
ประธานาธิบดี Claudia Sheinbaum ของเม็กซิโกได้ใช้แนวทางการทูตเป็นขั้นตอนแรก โดยส่งจดหมายทางการถึงประธานาธิบดีทรัมป์ เตือนว่าภาษีนำเข้าจะ “ทำลายห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ที่เชื่อมโยงกัน” ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตเม็กซิโกชี้ให้เห็นว่า 68% ของชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งระหว่างอุตสาหกรรมยานยนต์ของทั้งสองประเทศ
พร้อมกันนั้น เม็กซิโกได้เตรียมมาตรการตอบโต้ที่มีเป้าหมายชัดเจน โดยวางแผนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในอัตรา 25% โดยเฉพาะข้าวโพดและถั่วเหลือง ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมปศุสัตว์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาจำกัดการส่งออกแร่หายากที่ใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเป็นการใช้จุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเป็นเครื่องมือต่อรอง
นอกเหนือจากการตอบโต้โดยตรงแล้ว เม็กซิโกยังได้ผลักดันการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศในละตินอเมริกา โดยเฉพาะการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับบราซิลและอาร์เจนตินา เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ แนวทางนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “การค้าเชิงกลยุทธ์แบบหลายขั้ว” ที่เม็กซิโกประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2024 ซึ่งมุ่งกระจายความเสี่ยงทางการค้าและลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป
ปฏิกิริยาจากประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มสำคัญสามประการ: ประการแรก ทุกประเทศกำลังเร่งปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ประการที่สอง มีการลงทุนในเทคโนโลยีทดแทนการนำเข้าและการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศมากขึ้น และประการที่สาม ประเทศเหล่านี้กำลังแสวงหาพันธมิตรการค้าใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่าภาคการผลิตรถยนต์อาจเผชิญการเพิ่มต้นทุนสูงถึง 30% จากมาตรการตอบโต้เหล่านี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ ในตลาดโลก ในขณะที่นักวิเคราะห์จาก CNBC เตือนว่าภาษีนำเข้าอาจทำให้ดัชนีผู้บริโภคสหรัฐฯ (CPI) เพิ่มขึ้น 1.5% ภายในปี 2025 ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
การตอบโต้ของประเทศคู่ค้าหลักสะท้อนถึงความท้าทายของนโยบายการค้าแบบเผชิญหน้าที่มุ่งแก้ไขปัญหาดุลการค้าผ่านมาตรการเอกเทศ ข้อมูลจาก IMF ชี้ว่าเศรษฐกิจโลกอาจหดตัว 0.8% ในปี 2025 จากสงครามการค้ารอบใหม่นี้ ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว กลไกพหุภาคีเช่น WTO ยังคงเป็นความหวังสำคัญในการประสานความขัดแย้ง แม้จะถูกท้าทายจากแนวทางชาตินิยมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
มาตรการภาษีนำเข้าแบบ “Reciprocal Tariffs” ของประธานาธิบดีทรัมป์สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลก การวิเคราะห์ผลกระทบในส่วนนี้จะครอบคลุมทั้งตลาดพลังงาน โลหะมีค่า และการเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลัก เพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบเชิงลึกและความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ
การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าสร้างความผันผวนอย่างทันทีในตลาดน้ำมัน โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์และ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 0.3-0.4% หลังการประกาศ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าภาษี 25% ต่อประเทศที่นำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลาจะทำให้เส้นทางการค้าพลังงานดั้งเดิมหยุดชะงัก โดยเฉพาะการนำเข้าของจีนซึ่งรับน้ำมัน 48% จากเวเนซุเอลา
ที่น่าสนใจคือการที่ทรัมป์ได้ประกาศเก็บภาษีทุติยภูมิ (Secondary Tariffs) กับประเทศผู้นำเข้าน้ำมันเวเนซุเอลา ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ “ไม่มี precedents และถูกตั้งคำถามทางกฎหมาย” ตามรายงานของ Rapidan Energy ส่งผลให้ผู้นำเข้าหลักอย่างจีนและอินเดียต้องแสวงหาแหล่งพลังงานทางเลือก เช่น เพิ่มการนำเข้าจากรัสเซียและตะวันออกกลาง ซึ่งอาจทำให้ตลาดน้ำมันโลกเปลี่ยนสมดุลอำนาจทางการค้า
การขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ยังส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมบริการสนามน้ำมัน (Oilfield Services) ของสหรัฐฯ ที่ต้องพึ่งพิงท่อ OCTG ซึ่งนำเข้า 40% จากต่างประเทศ ข้อมูลจาก Reuters ระบุว่าต้นทุนการขุดเจาะจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2.1% ซึ่งอาจส่งผลให้บริษัทขนาดเล็กต้องชะลอโครงการ ในขณะที่ผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Exxon Mobil และ ConocoPhillips อาจรับมือได้ดีกว่าเนื่องจากมีห่วงโซ่อุปทานที่หลากหลาย
แนวโน้มราคาน้ำมันในระยะกลางยังถูกกดดันโดยความพยายามเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงกำลังผลิตน้ำมันของรัสเซียที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบด้านราคาจากมาตรการภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนในการค้าระหว่างประเทศยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ราคาน้ำมันผันผวนสูงในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2025
แม้ BCA Research จะระบุว่าความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีโลหะมีค่าอยู่ในระดับต่ำ แต่ความไม่แน่นอนทางการค้าได้กระตุ้นให้นักลงทุนเคลื่อนย้ายทองคำทางกายภาพกว่า 400 ตันจากยุโรปไปยังคลังสินค้า COMEX ในนิวยอร์ก สถานการณ์นี้สร้างแรงกดดันต่อพรีเมียมทองในตลาดยุโรป ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะขาดแคลนชั่วคราว
ภาษี 25% ต่อการนำเข้าแร่ดอเร (Doré) จากแคนาดาและเม็กซิโกจะเพิ่มต้นทุนการกลั่นโลหะมีค่าในสหรัฐฯ ตามข้อมูลของ Julius Baer ส่งผลให้ผู้ผลิตอาจเปลี่ยนเส้นทางส่งแร่ไปยังยุโรปแทน ซึ่งมีศักยภาพการกลั่นสูงแต่ขาดแคลนวัตถุดิบ การเปลี่ยนแปลงนี้จะนำไปสู่การแข่งขันด้านวัตถุดิบระหว่างเครือข่ายกลั่นโลหะมีค่าทั่วโลก
สำหรับโลหะอุตสาหกรรมอย่างเหล็กและอะลูมิเนียม สหรัฐฯ นำเข้าเหล็ก 23% จากแคนาดา และ 12% จากเม็กซิโก ตามรายงานของ ING Think ทำให้การขึ้นภาษี 25% เพิ่มต้นทุนวัตถุดิบในอุตสาหกรรมยานยนต์และพลังงาน 15-20% โดยเฉพาะท่อ OCTG ที่ใช้ในการขุดเจาะน้ำมันซึ่งนำเข้า 50% จากต่างประเทศ
ในกรณีของอะลูมิเนียม สหรัฐฯ พึ่งพาการนำเข้าจากแคนาดาถึง 58% แม้ภาษี 25% จะเพิ่มต้นทุนในระยะสั้น แต่โครงสร้างต้นทุนการผลิตที่ต่ำจากพลังงานน้ำของแคนาดายังทำให้ผู้ผลิตแคนาดาได้เปรียบเชิงแข่งขัน ในทางกลับกัน ผู้ผลิตสหรัฐฯ ต้องเผชิญต้นทุนไฟฟ้าสูงซึ่งจำกัดความสามารถในการขยายการผลิต
ทันทีหลังประกาศมาตรการภาษี ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ปรับตัวสูงขึ้น 0.11% แตะระดับ 109.65 สะท้อนการไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven) เนื่องจากนักลงทุนกังวลถึงผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ ค่าเงินสกุลหลักที่อ่อนค่าทันทีประกอบด้วยดอลลาร์แคนาดา (CAD) ที่ร่วง 0.7% และเปโซเม็กซิโก (MXN) ที่อ่อนค่าสูงสุดในรอบหลายปี ส่วนเงินหยวนนอกประเทศ (CNY) ร่วงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.3765 หยวนต่อดอลลาร์
ในกรณีของยูโร (EUR) สหภาพยุโรปตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 2.6 หมื่นล้านยูโร ส่งผลให้เงินยูโรอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.0775 ดอลลาร์ ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 แม้ข้อมูลเงินเฟ้อยูโรโซนเดือนมีนาคมจะต่ำกว่าคาดที่ 2.2% แต่ความเสี่ยงจากสงครามการค้าทำให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ในสกุลยูโร ข้อมูลจาก Wise ระบุว่าในวันที่ 2 เมษายน 2025 อัตราแลกเปลี่ยน USD/EUR อยู่ที่ 0.9263 ซึ่งลดลง 2.86% ใน 30 วันที่ผ่านมา
ค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แข็งค่าขึ้นชั่วคราวถึง 150.17 เยนต่อดอลลาร์ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 หลังประกาศภาษีรถยนต์ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะกลางยังคงถูกจำกัดโดยนโยบายการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) นักวิเคราะห์จาก Saxo ชี้ว่าหากสงครามการค้าลุกลาม เงินเยนอาจแข็งค่าต่อเนื่องจากกระแส Safe-Haven แต่จะถูกต้านทานโดยการแทรกแซงของทางการญี่ปุ่น
ค่าเงินเปโซเม็กซิโก (MXN) อ่อนค่าสู่ระดับ 20.0783 เปโซต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายปี เนื่องจากเม็กซิโกเป็นผู้ส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนหลักไปสหรัฐฯ ในขณะที่ดอลลาร์แคนาดา (CAD) อ่อนค่าลงสู่ 1.4309 ดอลลาร์แคนาดาต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากการขึ้นภาษีน้ำมันดิบและไม้แปรรูป แม้แคนาดาจะเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ที่สุดไปสหรัฐฯ แต่มาตรการตอบโต้ของทรัมป์สร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน
เงินหยวนจีน (CNY) อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยหยวนนอกประเทศอ่อนค่าสู่ระดับ 7.3765 หยวนต่อดอลลาร์ สะท้อนถึงนโยบายกึ่งควบคุมของธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่ปล่อยให้ค่าเงินปรับตัวลดลงเพื่อชดเชยผลกระทบจากภาษี กลยุทธ์นี้คล้ายคลึงกับช่วงสงครามการค้า 2018-2019 ที่หยวนอ่อนค่าถึง 10% อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่ามากเกินไปอาจนำไปสู่การถูกตราหน้าเป็น “ประเทศบิดเบือนค่าเงิน” จากสหรัฐฯ
ในช่วงสงครามการค้า 2018-2019 ดัชนี DXY แข็งค่าสูงสุด 10% ซึ่งคล้ายคลึงกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ DXY ปรับตัวขึ้นในทันทีหลังการประกาศมาตรการ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างหลักอยู่ที่บริบทเศรษฐกิจโลกปี 2025 ที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงและความตึงเครียดด้านห่วงโซ่อุปทานจากวิกฤตการณ์ก่อนหน้านี้
ปัจจัยใหม่ที่ต้องจับตาคือการใช้มาตรการตอบโต้แบบหลายชั้นของประเทศคู่ค้า เช่น จีนที่ควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญ และสหภาพยุโรปที่ขึ้นภาษีตอบโต้ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อดอลลาร์มากกว่าช่วง 2018-2019
ในระยะกลาง ดอลลาร์เผชิญกับทางเลือกสองแพร่ง: กรณีที่สงครามการค้ารุนแรงขึ้น ดอลลาร์อาจแข็งค่าต่อเนื่องจากสถานะ Safe-Haven และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่หากมาตรการตอบโต้สร้างความเสียหายต่อการส่งออกสหรัฐฯ และเศรษฐกิจชะลอตัว แนวโน้มดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงได้ ดังเห็นได้จากอัตราแลกเปลี่ยน USD/EUR ที่ลดลง 4.90% ใน 90 วันที่ผ่านมา
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญในระยะถัดไปคือการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางจีนในการจัดการค่าเงินหยวน และความสามารถของสหภาพยุโรปในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจท่ามกลางมาตรการตอบโต้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหากดอลลาร์แข็งค่าเกิน 110 จุดในดัชนี DXY อาจกระตุ้นการแทรกแซงจากธนาคารกลางต่างๆ เพื่อป้องกันความได้เปรียบทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม
การประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าแบบ “Reciprocal Tariffs” ของประธานาธิบดีทรัมป์เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังแสดงสัญญาณความเปราะบางในหลายด้าน การวิเคราะห์ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดและแนวโน้มหลังการประกาศมาตรการภาษีจะช่วยให้เข้าใจถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในตลาดต่างๆ
ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 สหรัฐฯ สร้างงานนอกภาคเกษตรเพียง 151,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 160,000 ตำแหน่ง และลดลงจากตัวเลขที่ปรับปรุงใหม่ในเดือนมกราคมที่ 125,000 ตำแหน่ง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% จาก 4.0% ในเดือนก่อนหน้า โดยจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 203,000 คน เป็น 7.05 ล้านคน
สาขาที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นได้แก่ ระบบสุขภาพ (52,000 ตำแหน่ง) กิจกรรมทางการเงิน (21,000 ตำแหน่ง) และการขนส่ง (18,000 ตำแหน่ง) ในขณะที่ภาครัฐกลางลดการจ้างงานลง 10,000 ตำแหน่ง สะท้อนถึงนโยบายลดขนาดภาครัฐของทรัมป์
ตัวชี้วัดโครงสร้างตลาดแรงงานอย่างอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน (Labor Force Participation Rate) ลดลงเหลือ 62.4% และอัตราส่วนการจ้างงานต่อประชากร (Employment-Population Ratio) อยู่ที่ 59.9% ซึ่งบ่งชี้ถึงความท้าทายด้านประชากรศาสตร์ที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ S&P Global คาดการณ์ว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 4.6% ในกลางปี 2026 ซึ่งแม้จะไม่ถึงระดับวิกฤต แต่ก็สะท้อนถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
มาตรการภาษีนำเข้าอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในสองทิศทาง: ด้านหนึ่ง อุตสาหกรรมที่ได้รับการปกป้องเช่น เหล็กและอะลูมิเนียมอาจเพิ่มการจ้างงาน แต่อีกด้านหนึ่ง อุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบเหล่านี้เช่น ยานยนต์และการก่อสร้างอาจลดการจ้างงานเนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น การศึกษาโดย Chatham House ระบุว่าภาคการผลิตที่ใช้เหล็กอาจสูญเสียงานถึง 75,000 ตำแหน่ง แม้ภาคผลิตเหล็กจะได้งานเพิ่มเพียง 1,000 ตำแหน่ง แสดงให้เห็นถึงผลกระทบสุทธิที่เป็นลบต่อการจ้างงานโดยรวม
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 2.8% ในปีสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2025 จาก 3.0% ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการชะลอตัวของเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ที่ไม่รวมอาหารและพลังงานยังอยู่ที่ 3.3% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) สะท้อนถึงแรงกดดันด้านราคาที่ยังคงมีอยู่ในระบบเศรษฐกิจ
มาตรการภาษีนำเข้าคาดว่าจะเพิ่มแรงกดดันด้านราคาในห่วงโซ่อุปทานและต่อผู้บริโภค S&P Global คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อประจำปี 2025 จะอยู่ใกล้ระดับ 3.0% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ การศึกษาโดย Chatham House ยังระบุว่าภาษีนำเข้าของทรัมป์ทำให้ความคาดหวังเงินเฟ้อระยะยาวพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญต่อนโยบายการเงินของ Fed
แบบจำลองจาก Tax Foundation ชี้ว่าภาษี 20% ต่อสินค้าจากจีนและ 25% ต่อเม็กซิโกจะทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ (CPI) เพิ่มขึ้น 1.5% ภายในปี 2025 สถานการณ์นี้สร้างภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้ Fed ระหว่างการรักษาดอกเบี้ยสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ กับความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
นักยุทธศาสตร์จาก J.P. Morgan วิเคราะห์จากบทเรียนสงครามการค้า 2018-2019 ว่า Fed อาจจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มหากเงินเฟ้อเกินเป้า แต่หากเศรษฐกิจชะลอตัวจากการค้า การลดดอกเบี้ยจะเป็นทางเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความไม่แน่นอนนี้สร้างความท้าทายในการคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินและส่งผลต่อการลงทุนในตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัว 2.4% ในไตรมาส 4 ปี 2024 (คิดเป็นอัตรารายปี) ชะลอตัวจาก 3.1% ในไตรมาส 3 การบริโภคภาคครัวเรือนยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักด้วยการเติบโต 4.2% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนลดลง 0.6% สะท้อนถึงความระมัดระวังของภาคธุรกิจในการขยายการลงทุน
S&P Global ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโต GDP ปี 2025 เหลือ 1.9% จากเดิมที่คาดไว้ 2.0% โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเพียง 1.55% ในปี 2025 เมื่อวัดจากไตรมาส 4 เทียบกับปีก่อนหน้า ปัจจัยเสี่ยงหลักรวมถึงการสะสมผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าและความไม่แน่นอนที่สร้างโดยนโยบายภาษีนำเข้า
แบบจำลองของ Tax Foundation ชี้ว่าภาษี 20% ต่อจีนและ 25% ต่อเม็กซิโกจะลด GDP สหรัฐฯ ลง 0.7% ภายใน 5 ปี ซึ่งแม้จะไม่ถึงขั้นวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ก็เป็นการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในภาวะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวอยู่แล้ว
การวิเคราะห์ของ RBC ระบุว่าภาษีนำเข้าขนาด 20-25% ต่อสินค้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน อาจเพิ่มรายได้รัฐบาล 3 แสนล้านดอลลาร์ แต่จะกระทบภาคการผลิตที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักร ซึ่งมีห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับประเทศเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
แคนาดาและเม็กซิโกซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 40% ของการค้าสหรัฐฯ เป็นแหล่งนำเข้าสินค้าจำเป็นเช่น พลังงาน ยานยนต์ และสินค้าเกษตร การลดลงของการนำเข้าอาจก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนชั่วคราวและแรงกดดันราคาในสินค้าเหล่านี้ โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทต่างๆ พยายามปรับห่วงโซ่อุปทานเพื่อรับมือกับนโยบายใหม่
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าการขาดดุลการค้าสินค้าของสหรัฐฯ ในปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมีการขาดดุลสูงสุดกับจีน สหภาพยุโรป และเม็กซิโก แม้ว่าภาษีนำเข้าอาจช่วยลดการขาดดุลในระยะสั้น แต่ในระยะยาว การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานและการย้ายฐานการผลิตอาจสร้างความไม่แน่นอนและต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับธุรกิจสหรัฐฯ
ความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวน โดย S&P 500 ปรับตัวขึ้น 0.38% และ Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.87% ในวันที่ 1 เมษายน 2025 แต่ดัชนี Dow Jones ลดลงเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงการตอบสนองที่แตกต่างกันในแต่ละภาคส่วนของตลาด
นักวิเคราะห์จาก J.P. Morgan เตือนว่าความเสี่ยงของภาวะ stagflation (เศรษฐกิจหยุดนิ่งควบคู่กับเงินเฟ้อสูง) เพิ่มขึ้นถึง 25% เนื่องจากมาตรการภาษีมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดทั้งแรงกดดันด้านราคาและการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในสภาวะเช่นนี้ สินทรัพย์ที่มักให้ผลตอบแทนดีได้แก่ สินค้าโภคภัณฑ์ และหุ้นในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค
ในขณะเดียวกัน บริษัทที่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบหรือมีห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศที่ซับซ้อนอาจเผชิญความท้าทายในการรักษาอัตรากำไร ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค Michigan Index ลดลง 6.4 จุดในเดือนมีนาคม 2025 สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายใหม่ต่อค่าครองชีพและการจ้างงาน
แม้ว่าข้อมูลปัจจุบันยังไม่แสดงสัญญาณของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ (recession) อย่างชัดเจน แต่แบบจำลองของ S&P Global ชี้ให้เห็นความเสี่ยงที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจต่ำกว่า 1% ในบางไตรมาสของปี 2025 โดยเฉพาะหากสงครามการค้าลุกลามและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
การประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าแบบ “Reciprocal Tariffs” ของประธานาธิบดีทรัมป์ในวันที่ 2 เมษายน 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบกว้างขวางต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก จากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด เราสามารถสรุปผลกระทบสำคัญและให้ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุนได้ดังนี้
มาตรการภาษีนำเข้าแบบ “Reciprocal Tariffs” ที่อัตรา 20% สำหรับสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ได้สร้างผลกระทบที่มีนัยสำคัญในหลายมิติ ทั้งต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ค่าเงิน และเศรษฐกิจมหภาค โดยเราเห็นการตอบโต้อย่างรวดเร็วและเข้มข้นจากประเทศคู่ค้าหลักอย่างจีน สหภาพยุโรป แคนาดา และเม็กซิโก
ในตลาดพลังงานและโลหะ ภาษีนำเข้าได้สร้างความผันผวนและการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน โดยราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นชั่วคราว ขณะที่ตลาดโลหะมีค่าเผชิญกับการเคลื่อนย้ายทองคำทางกายภาพจากยุโรปไปยังสหรัฐฯ อุตสาหกรรมที่พึ่งพาเหล็กและอะลูมิเนียมต้องเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น 15-20% ซึ่งกระทบความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตสหรัฐฯ ในตลาดโลก
ด้านค่าเงิน ดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นทันทีหลังการประกาศมาตรการ จากสถานะ Safe-Haven และกลไกที่ทำให้สินค้านำเข้าแพงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการถือครองดอลลาร์เพิ่มขึ้น ในขณะที่สกุลเงินของประเทศคู่ค้าอย่างเปโซเม็กซิโก ดอลลาร์แคนาดา และหยวนจีนอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มปรากฏผ่านความกังวลในภาคการผลิตและการลงทุน แม้ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง แต่การจ้างงานในกุมภาพันธ์ 2025 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และมีการเตือนว่ามาตรการภาษีนำเข้าจะเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อ โดยอาจทำให้ CPI เพิ่มขึ้น 1.5% ภายในปี 2025 ซึ่งเป็นความท้าทายต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ
การวิเคราะห์เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างนโยบายการค้า อัตราเงินเฟ้อ นโยบายการเงิน และตลาดสินทรัพย์ต่างๆ โดยมาตรการภาษีนำเข้าส่งผลให้ต้นทุนสินค้านำเข้าสูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อภาคการผลิตและผลักดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจต้องรักษาดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลาง
ในขณะเดียวกัน การตอบโต้ของประเทศคู่ค้าสร้างความเสี่ยงต่อการส่งออกของสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นทางธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศอย่างยานยนต์และเทคโนโลยี ภาวะนี้อาจนำไปสู่ความเสี่ยงของ stagflation (เศรษฐกิจหยุดนิ่งควบคู่กับเงินเฟ้อสูง) ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ท้าทายสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์
ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการค้าและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มีความซับซ้อนเพิ่มเติมจากการที่ประเทศคู่ค้าอย่างจีนและเม็กซิโกใช้การควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญเป็นเครื่องมือตอบโต้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาดของสหรัฐฯ และส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในวงกว้าง
ในระยะสั้น ตลาดการเงินจะยังคงผันผวนจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับขอบเขตและการบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้า รวมถึงรูปแบบและความรุนแรงของการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ในช่วงนี้ สินทรัพย์ปลอดภัยเช่น ทองคำ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และดอลลาร์สหรัฐฯ อาจได้รับความนิยมจากนักลงทุนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
ในระยะกลางถึงระยะยาว การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกจะสร้างทั้งความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ บริษัทที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจะได้เปรียบในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป อุตสาหกรรมที่ได้รับการปกป้องอาจเติบโตในประเทศ แต่อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกในระยะยาวหากขาดแรงกดดันให้ปรับปรุงประสิทธิภาพ
ความเสี่ยงของภาวะ stagflation เป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หากเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายของ Fed ขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัว นักลงทุนอาจพิจารณาสินทรัพย์ที่มีประวัติผลการดำเนินงานที่ดีในสภาพแวดล้อมดังกล่าว เช่น หุ้นในกลุ่มพลังงาน สาธารณูปโภค และสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น
สงครามการค้าครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในระเบียบเศรษฐกิจโลก นำไปสู่การกระจายตัวของอำนาจทางเศรษฐกิจและการเกิดขั้วอำนาจใหม่ในระบบการค้าโลก เทรดเดอร์และนักลงทุนที่เข้าใจพลวัตเหล่านี้และสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสมจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีแม้ในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้
การติดตามพัฒนาการของนโยบายการค้า การเจรจาระหว่างประเทศ และข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการนำทางผ่านความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายภาษีนำเข้าแบบ “Reciprocal Tariffs” และผลกระทบที่ตามมาต่อตลาดการเงินโลก