หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์วันที่ 2-6 มิถุนายน 2025 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของตลาดการเงินโลกในระยะกลาง เมื่อนักลงทุนและเทรดเดอร์ทั่วโลกเตรียมพร้อมรับมือกับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญและการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักๆ ที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของตลาด Forex สินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดหุ้นทั่วโลก
การรายงานข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐอเมริกา หรือ Non-farm Payroll ในวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจส่งสัญญาณการชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐ ด้วยการคาดการณ์ที่ว่าการจ้างงานใหม่จะลดลงจาก 177,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายนเป็น 130,000 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม ขณะที่อัตราการว่างงานคาดว่าจะคงที่ที่ระดับ 4.2% และอัตราการเติบโตของรายได้ต่อชั่วโมงอาจลดลงจาก 3.8% ปีต่อปีเป็น 3.7% การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมีผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ และอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางของดอลลาร์สหรัฐในระยะข้างหน้า
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยุโรปจะประกาศการตัดอัตราดอกเบี้ยอีก 25 จุดฐานในวันที่ 5 มิถุนายน ซึ่งจะเป็นการตัดดอกเบี้ยครั้งที่ 4 ติดต่อกันในปี 2025 โดยจะลดอัตราดอกเบี้ย deposit facility ลงเหลือ 2.00% การตัดสินใจนี้สะท้อนความกังวลต่อผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาที่อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป นอกจากนี้ ธนาคารกลางอินเดียยังคาดว่าจะตัดอัตรา repo rate อีก 50 จุดฐานเหลือ 5.75% ในวันเดียวกันกับการรายงาน NFP
สภาพแวดล้อมเศรษฐกิจมหภาคปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้นจากการดำเนินนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มุ่งเป้าไปที่สินค้าจากสหภาพยุโรปด้วยอัตรา 50% และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น สถานการณ์เหล่านี้ได้สร้างความท้าทายต่อการคาดการณ์ทิศทางของตลาดและเพิ่มความผันผวนในการซื้อขายสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะคู่สกุลเงิน EUR/USD ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.1356 และกำลังเผชิญกับแนวต้านสำคัญที่ 1.1400-1.1418
ตลาดการเงินโลกในขณะนี้แสดงสถานะของการ “หลบภัยแบบมีเงื่อนไข” โดยนักลงทุนหันไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำที่ปรับตัวขึ้น 2.8% มาอยู่ที่ระดับ 3,358 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ และเงินเยนญี่ปุ่นที่แข็งค่าขึ้นจนทำให้ USD/JPY ลดลงมาอยู่ที่ 143.94 ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ยังคงแสดงความแข็งแกร่งด้วยการขึ้น 6.2% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นการเติบโตสูงสุดในเดือนพฤษภาคมนับตั้งแต่ปี 1990 แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับจุดตัดสินใจสำคัญใกล้ระดับจิตวิทยา 6,000 จุด
บทวิเคราะห์นี้จะนำเสนอการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์ของ FXGT เข้าใจบริบทเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและสามารถวางแผนกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมในสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนสูง การวิเคราะห์จะครอบคลุมทั้งมุมมองระยะสั้นและระยะกลาง พร้อมทั้งเสนอแนวทางการจัดการความเสี่ยงที่สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดปัจจุบัน
เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ซึ่งมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการกำหนดทิศทางของตลาดการเงินระหว่างประเทศ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่เกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2025 แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินนโยบายการค้าเชิงป้องกันของสหรัฐอเมริกา การปรับตัวของนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก และการเปลี่ยนแปลงของพลวัตการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
นโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ได้กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจทั่วโลก การประกาศใช้ภาษีศุลกากรในอัตรา 50% สำหรับสินค้าจากสหภาพยุโรปและการขยายมาตรการกีดกันการค้าต่อจีนได้สร้างความไม่แน่นอนอย่างมากต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนคือการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตที่ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับลดแผนการจ้างงาน ซึ่งสอดคล้องกับรายงาน ADP Employment Change ที่ลดลงอย่างรุนแรงจาก 155,000 ตำแหน่งในเดือนมีนาคมเป็น 62,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายน
การตอบสนองของจีนต่อมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาได้ขยายตัวไปสู่การจำกัดการส่งออกแร่หายากและการเพิ่มภาษีสำหรับสินค้าเกษตรจากสหรัฐอเมริกา ความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการส่งออกที่มีการเชื่อมโยงกับตลาดสหรัฐอเมริกาและจีนโดยตรง ดัชนี Caixin China Services PMI ที่ปรับตัวขึ้นเป็น 51.1 ในเดือนพฤษภาคมจาก 50.7 ในเดือนเมษายนสะท้อนการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ แต่การลดลงของคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเป็นครั้งแรกในปี 2025 ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของมาตรการกีดกันการค้า
สถานการณ์ตลาดแรงงานสหรัฐอเมริกาแสดงสัญญาณการชะลอตัวที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ การที่อัตราการว่างงานคงที่ที่ระดับ 4.2% ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมและอยู่ในช่วงแคบระหว่าง 4.0-4.2% เป็นระยะเวลาหลายเดือนบ่งชี้ถึงสภาพตลาดแรงงานที่เริ่มคลายตัว ประกอบกับการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังที่แสดงให้เห็นภาพที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม โดยการจ้างงานในเดือนกุมภาพันธ์ได้รับการปรับลดจาก 117,000 เป็น 102,000 ตำแหน่ง และเดือนมีนาคมปรับลดจาก 228,000 เป็น 185,000 ตำแหน่ง
การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดสกุลเงินโลก ธนาคารกลางยุโรปได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากสงครามการค้าโลกและการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ การตัดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 4 ครั้งในปี 2025 สะท้อนความกังวลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ขณะที่ธนาคารกลางอินเดียเตรียมตัดอัตรา repo rate อีก 50 จุดฐานเพื่อกระตุ้นการเติบโตภายในประเทศท่ามกลางความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก
ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เริ่มสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลังและผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรต่อเงินเฟ้อ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.45% บ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของ term premium และความกังวลเกี่ยวกับภาวะ stagflation ที่อาจเกิดขึ้น การลดอันดับเครดิตของสหรัฐอเมริกาโดย Moody’s เมื่อเร็วๆ นี้ได้เสริมความกังวลเหล่านี้และส่งผลให้เกิดการไหลเข้าของเงินลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยทางเลือกอื่น
การเคลื่อนไหวของดัชนีดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง 9.27% จากต้นปีมาอยู่ที่ระดับ 99.27 สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของพลวัตทางการเงินระหว่างประเทศ ความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ของสกุลเงินหลักอื่นๆ โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่นและฟรังก์สวิสได้รับประโยชน์จากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ยูโรได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่าการตัดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปจะสิ้นสุดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2025
สถานการณ์ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางเงินเฟ้อโลก ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหลังการยืนยันของ OPEC+ ในการเพิ่มกำลังผลิตอย่างระมัดระวังและเหตุการณ์ไฟป่าในแคนาดาที่ส่งผลต่อกำลังผลิต สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อต้นทุนการผลิตในหลายภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้น 2.8% มาอยู่ที่ระดับ 3,358 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ บ่งชี้ถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และการเงิน
การเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 6 มิถุนายน 2025 จะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงทิศทางของนโยบายการเงินสหรัฐในระยะต่อไป การคาดการณ์ที่ว่าจำนวนการจ้างงานใหม่จะลดลงจาก 177,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายนเป็น 130,000 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคมสะท้อนการชะลอตัวที่มีนัยสำคัญของตลาดแรงงานสหรัฐ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในการพิจารณานโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ
ความสำคัญของข้อมูลการจ้างงานต่อการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐเกิดขึ้นจากภารกิจคู่ของสถาบันนี้ในการรักษาการจ้างงานให้สูงสุดและเสถียรภาพราคา การที่ตลาดแรงงานแสดงสัญญาณของการผ่อนคลายจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการประเมินความจำเป็นในการรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับที่เข้มงวด ปัจจุบันตลาดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐมีการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 50 จุดพื้นฐานภายในสิ้นปี ซึ่งลดลงจาก 75 จุดพื้นฐานที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนที่แล้ว
การวิเคราะห์เชิงลึกของข้อมูลการจ้างงานเมษายนแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการชะลอตัวที่ชัดเจนขึ้น การจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายนถือว่าต่ำกว่าการปรับปรุงย้อนหลังของเดือนมีนาคมที่ลดลงจาก 228,000 เป็น 185,000 ตำแหน่ง สิ่งที่น่าสนใจคือการที่อัตราการว่างงานคงที่ที่ระดับ 4.2% และได้อยู่ในช่วงแคบระหว่าง 4.0-4.2% ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ซึ่งบ่งชี้ถึงการสมดุลที่เปราะบางระหว่างอุปสงค์และอุปทานแรงงาน
อัตราการเติบโตของรายได้ต่อชั่วโมงที่อยู่ที่ระดับ 3.8% ปีต่อปีในเดือนเมษายนและคาดว่าจะลดลงเป็น 3.7% ในเดือนพฤษภาคมเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธนาคารกลางสหรัฐใช้ในการประเมินแรงกดดันเงินเฟ้อจากต้นทุนแรงงาน การลดลงของอัตราการเติบโตรายได้นี้อาจบ่งชี้ถึงการผ่อนคลายของแรงกดดันเงินเฟ้อจากภาคแรงงาน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐพิจารณาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
ผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มแสดงให้เห็นในข้อมูลตลาดแรงงาน การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตจากภาษีศุลกากรได้ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับลดแผนการจ้างงานเพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ หลักฐานที่ชัดเจนสามารถเห็นได้จากรายงาน ADP Employment Change ที่ลดลงอย่างรุนแรงจาก 155,000 ตำแหน่งในเดือนมีนาคมเป็น 62,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายน ซึ่งมักถือเป็นตัวบ่งชี้ล่วงหน้าของข้อมูลการจ้างงานอย่างเป็นทางการ
การปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังสำหรับเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมได้เผยให้เห็นภาพที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม การจ้างงานในเดือนกุมภาพันธ์ได้รับการปรับลดจาก 117,000 เป็น 102,000 ตำแหน่ง และเดือนมีนาคมปรับลดจาก 228,000 เป็น 185,000 ตำแหน่ง การปรับปรุงย้อนหลังรวมกันทำให้การจ้างงานในสองเดือนนี้ต่ำกว่าที่รายงานไว้เดิม 58,000 ตำแหน่ง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ในตลาดแรงงานซึ่งอาจไม่ได้รับการสังเกตในช่วงแรก
การคาดการณ์จากธนาคารการลงทุนชั้นนำมีความสอดคล้องกันเกี่ยวกับทิศทางของตลาดแรงงานสหรัฐ JPMorgan คาดการณ์ว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้น 125,000 ตำแหน่งโดยมี 115,000 ตำแหน่งมาจากภาคเอกชน ขณะที่อัตราการว่างงานจะคงที่ที่ 4.2% แต่มีความเสี่ยงที่อาจสูงขึ้นเป็น 4.3% สำหรับอัตราการเติบโตของรายได้ต่อชั่วโมง คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% รายเดือนหรือ 3.6% ปีต่อปี
Societe Generale มีมุมมองที่แตกต่างเล็กน้อยโดยคาดการณ์ว่าจะมีการเพิ่มตำแหน่งงาน 170,000 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม พร้อมกับอัตราการว่างงานที่คงที่ที่ 4.2% ธนาคารชี้ให้เห็นว่าการเติบโตของการจ้างงานได้ชะลอตัวลงจากระดับที่ไม่ยั่งยืนในปี 2022-2023 มาสู่อัตราที่มั่นคงและยั่งยืนในปี 2024 และต้นปี 2025 การเติบโตของการจ้างงานในภาคสาธารณสุขและความช่วยเหลือทางสังคมยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 70,000 ตำแหน่งต่อเดือน
หากข้อมูลการจ้างงานออกมาอ่อนแอตามที่คาดการณ์ จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐมีเหตุผลมากขึ้นในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางแรงต้านทางเศรษฐกิจโลกที่กว้างขึ้นจากสงครามการค้า ในทางตรงกันข้าม หากรายงานออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาด อาจเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐและอาจเลื่อนการลดอัตราดอกเบี้ยออกไป การที่ธนาคารกลางสหรัฐต้องการเริ่มการลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งจะต้องเห็นหลักฐานที่ชัดเจนมากขึ้นว่าตลาดแรงงานสหรัฐกำลังคลายตัวอย่างมีนัยสำคัญ
การตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรปในวันที่ 5 มิถุนายน 2025 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนการปรับตัวของสถาบันการเงินหลักเพื่อรับมือกับความท้าทายจากสงครามการค้าโลกและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น การตัดอัตราดอกเบี้ยอีก 25 จุดฐานซึ่งจะเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่สี่ติดต่อกันในปี 2025 โดยลดอัตราดอกเบี้ย deposit facility ลงเหลือ 2.00% แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของธนาคารกลางยุโรปในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
ความกังวลหลักที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจของธนาคารกลางยุโรปมาจากผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากร 50% ของสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเป้าไปที่สินค้าจากสหภาพยุโรป การดำเนินมาตรการเหล่านี้อาจส่งผลให้เศรษฐกิจยุโรปเผชิญกับแรงกดดันจากการลดลงของการส่งออกและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตสำหรับสินค้าที่ต้องใช้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากสหรัฐอเมริกา การวิเคราะห์เบื้องต้นของธนาคารกลางยุโรปชี้ให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวอาจลดการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปลงประมาณ 0.3-0.5% ในปี 2025 และอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายเงินเฟ้อระยะกลาง
รายงาน macroeconomic projections ใหม่ที่จะเปิดเผยพร้อมกับการประกาศนโยบายคาดว่าจะสะท้อนการปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้อเนื่องจากความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่เพิ่มขึ้น การประเมินล่าสุดของธนาคารกลางยุโรประบุว่าอัตราเงินเฟ้อของสหภาพยุโรปอาจลดลงต่ำกว่าเป้าหมาย 2% ในปี 2026 หากสงครามการค้าขยายตัวเพิ่มเติม ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 1.2-1.4% จากการคาดการณ์เดิมที่ 1.6% สำหรับปี 2025
การเน้นย้ำนโยบาย data-dependent ของธนาคารกลางยุโรปจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนสูง ประธาน Christine Lagarde คาดว่าจะใช้การแถลงข่าวหลังการประกาศนโยบายเพื่อสื่อสารกรอบการทำงานที่ยืดหยุ่นและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายตามพัฒนาการของสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ การสื่อสารนี้จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับเส้นทางนโยบายการเงินในอนาคต
ผลกระทบต่อคู่สกุลเงิน EUR/USD จากการตัดสินใจของธนาคารกลางยุโรปจะขึ้นอยู่กับการประเมินของตลาดเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างการสนับสนุนทางการเงินกับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก การที่คู่สกุลเงินนี้ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.1356 และกำลังเผชิญกับแนวต้านสำคัญที่ 1.1400-1.1418 แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของตลาดเกี่ยวกับทิศทางในระยะสั้น การทะลุแนวต้านดังกล่าวจะต้องอาศัยการสื่อสารที่ชัดเจนจากธนาคารกลางยุโรปเกี่ยวกับความมั่นใจในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแม้จะเผชิญกับความท้าทายจากภายนอก
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางอินเดียเตรียมประกาศการตัดอัตรา repo rate อีก 50 จุดฐานในวันที่ 6 มิถุนายน ลดลงเหลือ 5.75% หลังจากการตัดดอกเบี้ย 25 จุดฐานในเดือนเมษายน การตัดสินใจนี้สะท้อนความพยายามของธนาคารกลางอินเดียในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศท่ามกลางความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าโลกและผลกระทบต่อการส่งออกของอินเดีย
ปัจจัยที่สนับสนุนการตัดสินใจของธนาคารกลางอินเดียมาจากการที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในช่วงเป้าหมาย 2-3% และการประเมินที่ว่าเศรษฐกิจอินเดียต้องการการกระตุ้นเพิ่มเติมเพื่อรักษาอัตราการเติบโตในระดับที่ต้องการ รายงานของธนาคาร State Bank of India ระบุว่าการตัดดอกเบี้ยในครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมและสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงอ่อนแอจากความไม่แน่นอนในตลาดโลก
ความท้าทายเฉพาะของธนาคารกลางอินเดียมาจากการที่ประเทศต้องรับมือกับผลกระทบทางอ้อมจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา-จีน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนเส้นทางการค้าและความต้องการในตลาดโลก การคาดการณ์ว่ามรสุมในปีนี้จะมากกว่าปกติอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตภาคเกษตร แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก
การประชุมเสถียรภาพการเงินของธนาคารกลางยุโรปในวันที่ 11 มิถุนายนจะเน้นประเด็นการควบรวมสถาบันการเงินยุโรปและความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เปลี่ยนแปลง การประเมินเสถียรภาพระบบการเงินในบริบทของความไม่แน่นอนทางการค้าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดนโยบายการกำกับดูแลและการสนับสนุนสภาพคล่องในอนาคต
การวิเคราะห์โดยรวมของการตัดสินใจนโยบายการเงินจากทั้งสองธนาคารกลางชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมนโยบายการเงินโลกที่ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่จากการเมืองการค้าระหว่างประเทศ ความสำเร็จของนโยบายเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมภายนอกที่มีความไม่แน่นอนสูง
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดการเงินต่างๆ ในช่วงกลางปี 2025 เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพลวัตการลงทุนโลกที่สะท้อนความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เพิ่มขึ้น การไหลของเงินลงทุนระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ แสดงให้เห็นถึงการปรับโครงสร้างพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนสถาบันและรายย่อยที่มุ่งเน้นการป้องกันความเสี่ยงมากขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
การอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญของดัชนีดอลลาร์สหรัฐที่ลดลง 9.27% จากต้นปีมาอยู่ที่ระดับ 99.27 เป็นปรากฏการณ์ที่โดดเด่นและสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการเงินระหว่างประเทศ การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐนี้เกิดขึ้นแม้จะมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับที่สูงกว่าธนาคารกลางหลักอื่นๆ สิ่งนี้บ่งชี้ถึงการที่ปัจจัยอื่นนอกเหนือจากอัตราดอกเบี้ยได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการกำหนดค่าเงิน โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐอเมริกา
ความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ของสกุลเงินหลักอื่นๆ โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่นและฟรังก์สวิสได้รับประโยชน์จากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูง การที่คู่สกุลเงิน USD/JPY ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 143.94 สะท้อนการไหลเข้าของเงินลงทุนในเงินเยนญี่ปุ่นซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นสกุลเงินปลอดภัยในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับความแข็งแกร่งของฟรังก์สวิสที่ได้รับประโยชน์จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น
ตลาดทองคำแสดงให้เห็นถึงการเป็นที่หลบภัยที่สำคัญของนักลงทุนในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง การที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้น 2.8% ในช่วงปลายสัปดาห์มาอยู่ที่ระดับ 3,358 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ เกิดขึ้นจากการรวมกันของหลายปัจจัย ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยหลังการโจมตีทางอากาศของยูเครนในรัสเซีย ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา และความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากการลดอันดับเครดิตของสหรัฐอเมริกาโดย Moody’s
ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเริ่มสะท้อนความซับซ้อนของสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจปัจจุบัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.45% บ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของ term premium ที่สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลังและผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรต่อเงินเฟ้อ การเคลื่อนไหวนี้สร้างความท้าทายต่อตลาดหุ้นและสกุลเงินที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยระยะยาว
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นที่น่าประทับใจแม้จะเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้น 6.2% ในเดือนพฤษภาคมถือเป็นการเติบโตสูงสุดในเดือนพฤษภาคมนับตั้งแต่ปี 1990 การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากการรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และความหวังในการแก้ไขปัญหาการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีปัจจุบันกำลังเผชิญกับจุดตัดสินใจสำคัญใกล้ระดับจิตวิทยา 6,000 จุดสะท้อนความไม่แน่นอนของนักลงทุนเกี่ยวกับความสามารถในการรักษาโมเมนตัมการเติบโต
ความสัมพันธ์ผกผันระหว่างดอลลาร์สหรัฐและสินค้าโภคภัณฑ์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐได้สนับสนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายเป็นดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะทองคำและน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ การยืนยันของ OPEC+ ในการเพิ่มกำลังผลิตอย่างระมัดระวังเพียง 411,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนกรกฎาคม และเหตุการณ์ไฟป่าในแคนาดาที่ส่งผลต่อกำลังผลิต 350,000 บาร์เรลต่อวัน
ดัชนี VIX ที่อยู่ที่ระดับ 18.96 แม้จะลดลงจากระดับสูงแต่ยังคงอยู่ในเขตที่บ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนในตลาดที่สูงกว่าปกติ การวัดความกลัวในตลาดนี้สะท้อนสภาพจิตใจของนักลงทุนที่ยังคงระมัดระวังแม้จะมีการฟื้นตัวของตลาดหุ้น ความผันผวนที่คาดการณ์นี้เป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับการวางแผนกลยุทธ์การเทรดและการจัดการความเสี่ยง
การเคลื่อนไหวของ defensive sectors ในตลาดหุ้นได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากความต้องการหลบภัยเชิงป้องกันในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง กลุ่มสาธารณูปโภคและสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นแสดงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าตลาดโดยรวม ซึ่งสะท้อนการปรับเปลี่ยนของนักลงทุนไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและมีการจ่ายเงินปันผลที่มั่นคง
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นได้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นอย่างที่คาดการณ์ เนื่องจากนักลงทุนตีความว่าการเพิ่มขึ้นของ term premium มาจากความกังวลเกี่ยวกับการคลังมากกว่าความคาดหวังเกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง สิ่งนี้ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่ตลาดหุ้นและพันธบัตรสามารถเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันได้ในบางช่วงเวลา
การวิเคราะห์การไหลของเงินลงทุนระหว่างภูมิภาคแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของการกระจายการลงทุนโลก นักลงทุนเริ่มหันความสนใจไปสู่ตลาดเกิดใหม่ที่มีความเสี่ยงทางการค้าน้อยกว่า โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอเมริกาใต้ที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนเส้นทางการค้าและการลงทุน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงที่นักลงทุนใช้เพื่อลดการพึ่งพาตลาดที่อาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า
การวิเคราะห์ครอบคลุมของปัจจัยพื้นฐานและความสัมพันธ์ระหว่างตลาดการเงินในสัปดาห์วันที่ 2-6 มิถุนายน 2025 ชี้ให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของตลาดการเงินโลกในระยะกลาง สภาพแวดล้อมการเทรดปัจจุบันมีลักษณะของความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นจากการผสมผสานของปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค ความไม่แน่นอนทางการเมืองการค้า และการปรับตัวของนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก ซึ่งสร้างทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับเทรดเดอร์ในทุกระดับ
การเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานสหรัฐในวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน จะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดของสัปดาห์ โดยการคาดการณ์ว่าจำนวนการจ้างงานใหม่จะลดลงเหลือ 130,000 ตำแหน่งจาก 177,000 ตำแหน่งในเดือนที่ผ่านมา พร้อมกับอัตราการว่างงานที่คงที่ที่ 4.2% และการเติบโตของรายได้ที่อาจลดลงเป็น 3.7% ปีต่อปี จะส่งสัญญาณการชะลอตัวของตลาดแรงงานที่อาจผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐพิจารณาการผ่อนคลายนโยบายการเงินในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อดอลลาร์สหรัฐและคู่สกุลเงินหลักที่เกี่ยวข้อง
การตัดสินใจของธนาคารกลางยุโรปในการลดอัตราดอกเบี้ยอีก 25 จุดฐานในวันที่ 5 มิถุนายน ควบคู่กับการตัดดอกเบี้ยของธนาคารกลางอินเดีย 50 จุดฐานในวันเดียวกับการรายงาน NFP สะท้อนแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินในระดับโลกเพื่อรับมือกับความท้าทายจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการไหลของเงินลงทุนระหว่างประเทศและความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ของสกุลเงินต่างๆ
สำหรับคู่สกุลเงิน EUR/USD ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.1356 การทะลุแนวต้านสำคัญที่ 1.1400-1.1418 จะเป็นสัญญาณสำคัญที่อาจเปิดทางสู่การทดสอบระดับ 1.1454-1.1473 และอาจไปถึง 1.1500 ในระยะกลาง อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถทะลุแนวต้านดังกล่าวได้ อาจเกิดการปรับตัวลงทดสอบแนวรับที่ 1.1284 และ 1.1200-1.1218 ความสำเร็จของการเคลื่อนไหวนี้จะขึ้นอยู่กับการสื่อสารของธนาคารกลางยุโรปและผลของข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ
คู่สกุลเงิน USD/JPY ที่อยู่ที่ระดับ 143.94 แสดงแนวโน้มขาลงที่ชัดเจนและอาจมีการทดสอบแนวรับสำคัญที่ 141.75-141.55 หากข้อมูล NFP ออกมาอ่อนแอตามที่คาดการณ์ การทะลุลงไปต่ำกว่า 141.55 จะยืนยันแนวโน้มขาลงระยะกลางและอาจนำไปสู่การทดสอบระดับ 140.45-139.73 เทรดเดอร์ควรใส่ใจกับการเคลื่อนไหวของเงินเยนญี่ปุ่นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
ตลาดหุ้นสหรัฐที่แสดงโดยดัชนี S&P 500 กำลังเผชิญกับจุดตัดสินใจสำคัญใกล้ระดับจิตวิทยา 6,000 จุด การปิดเหนือระดับนี้อย่างมั่นคงจะส่งสัญญาณการฟื้นตัวของความเสี่ยงและอาจเปิดทางสู่การทดสอบระดับ 6,081-6,130 จุด ในทางตรงกันข้าม การล้มเหลวในการทะลุระดับดังกล่าวอาจนำไปสู่การปรับตัวลงทดสอบแนวรับที่ 5,954-5,944 จุดและ 5,876-5,827 จุด
ทองคำที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3,358 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ยังคงได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยและการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ การปิดเหนือ 3,377-3,392 ดอลลาร์จะยืนยันการกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นและอาจเปิดทางสู่เป้าหมายที่ 3,450 ดอลลาร์ในระยะกลาง เทรดเดอร์ควรติดตามความสัมพันธ์ผกผันระหว่างทองคำและดอลลาร์สหรัฐอย่างใกล้ชิด
การจัดการความเสี่ยงในสภาพแวดล้อมปัจจุบันต้องให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมสำหรับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ดัชนี VIX ที่อยู่ที่ระดับ 18.96 บ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนที่ยังคงสูงกว่าปกติ เทรดเดอร์ควรใช้ position sizing ที่เหมาะสมและการตั้ง stop loss ที่รัดกุมมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่อาจสร้างการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง
สถานการณ์ที่เทรดเดอร์ควรเตรียมพร้อมรับมือมีหลายแนวทาง หากข้อมูล NFP ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ อาจเกิดการขายดอลลาร์สหรัฐอย่างรุนแรงและการเพิ่มขึ้นของความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ในทางตรงกันข้าม หากข้อมูลออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาด อาจเกิดการปรับตัวขึ้นของดอลลาร์สหรัฐและการลดลงของราคาทองคำ การเตรียมแผนการเทรดสำหรับทั้งสองสถานการณ์จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของการติดตามข่าวสารและพัฒนาการทางการเมืองการค้าไม่สามารถมองข้ามได้ การขยายตัวของมาตรการภาษีศุลกากรหรือการบรรลุข้อตกลงทางการค้าอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของตลาด เทรดเดอร์ควรรักษาความยืดหยุ่นในกลยุทธ์และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตำแหน่งการลงทุนตามพัฒนาการของสถานการณ์
ในมุมมองระยะกลาง การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการเงินระหว่างประเทศที่เห็นได้จากการอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญของดัชนี DXY และการแข็งค่าของสกุลเงินหลักอื่นๆ อาจเป็นแนวโน้มที่ยั่งยืนหากปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุน เทรดเดอร์ควรพิจารณากลยุทธ์ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนี้ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ของสกุลเงินปลอดภัยและความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐในสถานการณ์ที่เหมาะสม
ความสำเร็จในการเทรดในสภาพแวดล้อมปัจจุบันจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วต่อข้อมูลใหม่และการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ การรักษาวินัยในการจัดการความเสี่ยงและการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมกับการทำความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานจะเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในตลาดที่มีความผันผวนสูงนี้ การวิเคราะห์ครั้งนี้ได้นำเสนอภาพรวมที่ครอบคลุมของสภาพแวดล้อมตลาดปัจจุบันและแนวทางการเทรดที่เหมาะสม เทรดเดอร์ของ FXGT ควรใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นพื้นฐานในการวางแผนกลยุทธ์การเทรดและการจัดการความเสี่ยงที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคล