หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์ที่ 2-7 มิถุนายน 2025 เป็นช่วงเวลาที่ตลาดการเงินโลกเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสินทรัพย์ประเภทต่างๆ การประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับการเพิ่มภาษีจีนจาก 10 เปอร์เซ็นต์เป็น 20 เปอร์เซ็นต์ ได้สร้างความผันผวนที่เห็นได้ชัดในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดทุนทั่วโลก
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดแสดงให้เห็นถึงผลกระทบเชิงลบของนโยบายการค้าดังกล่าว โดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาหดตัว 0.3 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรกของปี 2025 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.4 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมีนาคม แต่อัตราการว่างงานกลับเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในตลาดแรงงาน
การประชุมของธนาคารกลางสำคัญในสัปดาห์นี้ได้เพิ่มมิติใหม่ให้กับการเคลื่อนไหวของตลาด ธนาคารกลางแคนาดาตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.75 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยอีก 25 จุดฐานสู่ระดับ 2.00 เปอร์เซ็นต์ เป็นครั้งที่แปดติดต่อกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาแสดงความยืดหยุ่นในการปรับตัว โดยดัชนี Dow Jones ปิดที่ 42,762.87 จุด เพิ่มขึ้น 1.05 เปอร์เซ็นต์ ดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้น 0.99 เปอร์เซ็นต์ และ S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.03 เปอร์เซ็นต์ แม้จะยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดประจำปีประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ ในทางตรงกันข้าม ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 0.37 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้า
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ประสบกับความผันผวนสูง โดยราคาทองคำร่วงลงอย่างรุนแรง 400 บาทในวันที่ 7 มิถุนายน หลังจากการปรับตัวลงต่อเนื่องจากแรงกดดันของดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ จากข้อมูลการสนทนาระหว่างผู้นำจีนและสหรัฐอเมริกา
ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเผชิญกับแรงขายที่รุนแรง โดย Bitcoin ปรับตัวลง 2.93 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 101,900 เหรียญสหรัฐ Ethereum ร่วงลง 6.93 เปอร์เซ็นต์ และ Solana ปรับลง 5.41 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนถึงการไหลออกของเงินทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดในช่วงนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของพลวัตตลาด โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างทองคำและดอลลาร์สหรัฐที่เปลี่ยนจากค่าสหสัมพันธ์เชิงลบที่ -0.85 ในปี 2020 เป็นเชิงบวกที่ +0.32 ในปี 2025 สะท้อนถึงบทบาทใหม่ของทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
บทวิเคราะห์ฉบับนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกของการเคลื่อนไหวในแต่ละตลาด โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างตลาดและปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลกระทบ เพื่อให้นักลงทุนและเทรดเดอร์มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการวางกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์ถัดไป รวมถึงการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น อาทิ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในวันที่ 18 มิถุนายน และการประชุมสุดยอด G7 ระหว่างวันที่ 15-17 มิถุนายน
การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของตลาดในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
การเปิดตลาดในสัปดาห์นี้เริ่มต้นด้วยความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นจาก 25 เปอร์เซ็นต์เป็น 50 เปอร์เซ็นต์ การเคลื่อนไหวของคู่เงิน USD/CAD แสดงการตอบสนองที่รุนแรงต่อข่าวดังกล่าว โดยดอลลาร์แคนาดาอ่อนค่าลงทันทีเมื่อตลาดเปิด ส่งผลให้ USD/CAD ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.3690 ในช่วงเช้า อย่างไรก็ตาม การปรับตัวนี้ได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยทางเทคนิคที่แสดงให้เห็นถึงการทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1.3720 ซึ่งสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) เริ่มสัปดาห์ด้วยความแข็งแกร่ง โดยปรับตัวขึ้น 0.4 เปอร์เซ็นต์สู่ระดับ 104.25 จากการคาดการณ์ที่ว่านโยบายการค้าใหม่จะส่งผลบวกต่อการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ความแข็งแกร่งของ DXY ส่งผลกระทบเชิงลบต่อ EUR/USD ที่ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 1.1420 และ GBP/USD ที่อ่อนตัวสู่ระดับ 1.3580 ตามค่าสหสัมพันธ์เชิงลบที่ -0.92 และ -0.89 ตามลำดับ
การประกาศข้อมูล Purchasing Managers’ Index ในวันอังคารได้เพิ่มมิติใหม่ให้กับการวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ดัชนี Manufacturing PMI ของสหรัฐอเมริกาที่ระดับ 48.5 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ 50 เป็นเดือนที่ 35 ติดต่อกัน สะท้อนถึงการหดตัวของภาคการผลิตที่ยืดเยื้อ ข้อมูลนี้ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเล็กน้อยในช่วงบ่าย โดย DXY ลดลงมาอยู่ที่ 103.95
ในทางตรงกันข้าม Eurozone Manufacturing PMI ที่ปรับตัวขึ้นสู่ 49.4 จาก 49.0 ในเดือนก่อนหน้า แม้จะยังคงอยู่ในเกณฑ์การหดตัว แต่การปรับตัวดีขึ้นช่วยสนับสนุนให้ EUR/USD ฟื้นตัวกลับสู่ระดับ 1.1445 การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นถึงการก่อตัวของรูปแบบ Bullish Hammer บนกราฟ 4 ชั่วโมงซึ่งบ่งชี้ถึงความพยายามของฝั่งซื้อในการกลับตัว
ข้อมูล Caixin Manufacturing PMI ของจีนที่ร่วงสู่ 48.3 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ 50 เป็นครั้งแรกตั้งแต่กันยายน 2022 ส่งผลกระทบต่อสกุลเงินคอมมอดิตี้ โดยเฉพาะดอลลาร์ออสเตรเลียที่อ่อนค่าลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์จากจีน AUD/USD ปรับตัวลงสู่ระดับ 0.6640 ซึ่งใกล้เคียงกับแนวรับสำคัญที่ 0.6625
การประกาศผลการประชุมของธนาคารกลางแคนาดาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสัปดาห์ การตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.75 เปอร์เซ็นต์ แม้จะสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด แต่แถลงการณ์ที่ออกมาแสดงให้เห็นถึงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ผู้ว่าการ Tiff Macklem เน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และอาจพิจารณาการปรับลดดอกเบี้ยในอนาคตหากเศรษฐกิจอ่อนตัวต่อเนื่อง
การตอบสนองของตลาดต่อการประกาศนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงความคาดหวังของนักลงทุน USD/CAD ปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว 0.6 เปอร์เซ็นต์สู่ระดับ 1.3675 ภายในชั่วโมงแรกหลังการประกาศ การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของโอกาสในการลดดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคมจาก 28 เปอร์เซ็นต์เป็น 46 เปอร์เซ็นต์ตามการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ย
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นถึงการทะลุของแนวรับระยะสั้นที่ 1.3685 พร้อมกับการก่อตัวของรูปแบบ Bearish Engulfing บนกราฟรายวัน ปัจจัยดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการอ่อนค่าต่อเนื่องของดอลลาร์แคนาดาในระยะสั้น โดยแนวรับถัดไปอยู่ที่ระดับ 1.3625 ซึ่งสอดคล้องกับระดับ Fibonacci Retracement 38.2 เปอร์เซ็นต์
การประกาศการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปเป็นครั้งที่แปดติดต่อกันสร้างความซับซ้อนให้กับการวิเคราะห์ทิศทางของเงินยูโร การลดดอกเบี้ยฝากทรัพย์สิน 25 จุดฐานสู่ระดับ 2.00 เปอร์เซ็นต์ แม้จะสอดคล้องกับการคาดการณ์ แต่การแถลงข่าวของประธาน Christine Lagarde แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกภายในคณะกรรมการเกี่ยวกับทิศทางนโยบายในอนาคต
การตอบสนองเบื้องต้นของ EUR/USD แสดงการอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.1425 แต่การฟื้นตัวที่รวดเร็วกลับสู่ระดับ 1.1453 ชี้ให้เห็นถึงการรับรู้ของตลาดที่ว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้อาจเป็นการปรับลดครั้งสุดท้ายในรอบปัจจุบัน การคาดการณ์เงินเฟ้อใหม่ที่ลดลงเหลือ 2.0 เปอร์เซ็นต์ในปี 2025 และ 1.6 เปอร์เซ็นต์ในปี 2026 สนับสนุนมุมมองที่ว่าธนาคารกลางยุโรปกำลังเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของรอบการลดดอกเบี้ย
ดัชนี DXY ปรับตัวลง 0.8 เปอร์เซ็นต์ในวันนี้ ส่งผลให้คู่เงินหลักที่มีค่าสหสัมพันธ์เชิงลบกับดัชนีได้รับการสนับสนุน USD/JPY ร่วงลงสู่ระดับ 144.10 ใกล้เคียงกับแนวรับสำคัญที่ 142.10 การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับรูปแบบ Bearish Engulfing ที่เกิดขึ้นบนกราฟรายวันเมื่อวันที่ 5-6 มิถุนายน
การประกาศข้อมูลการจ้างงานสหรัฐอเมริกาในวันศุกร์เป็นจุดสำคัญสุดท้ายของสัปดาห์ การเพิ่มขึ้นของการจ้างงานนอกภาคเกษตร 139,000 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 12 เดือนที่ 149,000 ตำแหน่ง สะท้อนถึงการชะลอตัวของตลาดแรงงานที่เริ่มส่งผลจากมาตรการภาษีนำเข้า อัตราการว่างงานที่คงที่ที่ 4.2 เปอร์เซ็นต์ แต่ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยที่ลดลงสู่ 34.3 ชั่วโมงบ่งชี้ถึงการปรับลดกำลังการผลิตในหลายภาคอุตสาหกรรม
การตอบสนองของตลาดต่อข้อมูลการจ้างงานแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 2 ปีลดลง 3 จุดฐานสู่ 4.22 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผลตอบแทน 10 ปีลดลง 2 จุดฐานสู่ 4.08 เปอร์เซ็นต์ การปรับตัวของ yield curve ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงในช่วงบ่าย โดย DXY ปิดสัปดาห์ที่ระดับ 103.75
การปิดตลาดในวันศุกร์แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของสกุลเงินหลักจากแรงกดดันในช่วงต้นสัปดาห์ EUR/USD ปิดที่ 1.1453 เพิ่มขึ้น 0.3 เปอร์เซ็นต์สำหรับทั้งสัปดาห์ GBP/USD ปิดที่ 1.3615 เพิ่มขึ้น 0.2 เปอร์เซ็นต์ และ USD/JPY ปิดที่ 144.85 ลดลง 0.1 เปอร์เซ็นต์จากสัปดาห์ก่อนหน้า การเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนถึงการปรับสมดุลของตลาดภายใต้สภาวะความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกและการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ
ตลาดทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมาประสบกับความผันผวนที่รุนแรงและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพลวัตการซื้อขาย ราคาทองคำโลกปิดที่ระดับ 3,313.00 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หลังจากการปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากจุดสูงสุดที่ 3,397.50 เหรียญสหรัฐเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ในตลาดประเทศไทย ราคาทองคำแสดงความผันผวนที่สูงกว่าปกติ โดยเฉพาะในวันที่ 7 มิถุนายนที่ราคาร่วงลงอย่างรุนแรง 400 บาท ส่งผลให้ทองคำแท่งมีราคารับซื้อที่ 51,350 บาทต่อบาทหนัก และขายออกที่ 51,450 บาทต่อบาทหนัก
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเผยให้เห็นถึงสัญญาณการอ่อนแอในระยะสั้นของตลาดทองคำ รูปแบบ Bearish Dark Cloud Cover ที่ปรากฏบนกราฟรายสัปดาห์สะท้อนถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะหลังจากที่ราคาไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญที่ระดับ 3,397.50 เหรียญสหรัฐได้ อย่างไรก็ตาม การก่อตัวของรูปแบบ Bullish Hammer บนกราฟ 4 ชั่วโมงเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนบ่งชี้ถึงการสนับสนุนราคาชั่วคราวและความพยายามของฝั่งซื้อในการป้องกันการร่วงลงต่อเนื่อง
ตัวชี้วัดทางเทคนิคสำคัญแสดงให้เห็นถึงสภาวะที่ขัดแย้งกัน ดัชนี RSI ที่ระดับ 50.63 บ่งชี้ถึงสภาวะเป็นกลาง แต่การที่เส้นสัญญาณ MACD ตัดลงใต้เส้นศูนย์สะท้อนถึงโมเมนตัมขาลงที่เริ่มก่อตัว การที่ราคายังคงอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันที่ระดับ 2,950.00 เหรียญสหรัฐยังคงรักษาแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวไว้ได้ แต่ระดับแนวรับที่ 3,171.60 เหรียญสหรัฐและระดับจิตวิทยาสำคัญที่ 3,000.00 เหรียญสหรัฐจะเป็นจุดสำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในการวิเคราะห์ตลาดทองคำคือการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์กับดอลลาร์สหรัฐที่ผิดแผกจากรูปแบบดั้งเดิม ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา ทองคำและดอลลาร์สหรัฐสามารถแข็งค่าไปพร้อมกันได้ โดยค่าสหสัมพันธ์เปลี่ยนจากเชิงลบที่ระดับ -0.85 ในปี 2020 เป็นเชิงบวกที่ระดับ +0.32 ในปี 2025 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่ การซื้อทองคำของธนาคารกลางจีนและรัสเซียกว่า 800 ตันในปี 2024 เพื่อลดการพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐในทุนสำรองระหว่างประเทศ ความต้องการทองคำเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จากความตึงเครียดในยูเครนและตะวันออกกลาง และความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่แม้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง
ตลาดน้ำมันดิบแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งในวันที่ 6 มิถุนายน โดยราคาน้ำมัน Brent ปรับตัวขึ้น 1.11 เปอร์เซ็นต์สู่ระดับ 65.57 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมัน WTI เพิ่มขึ้น 1.13 เปอร์เซ็นต์สู่ระดับ 63.58 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล การปรับตัวขึ้นนี้ได้รับการสนับสนุนหลักจากข้อมูลการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนและประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างความหวังในการลดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ
ปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ครอบคลุมทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน การคาดการณ์ว่าการลดความตึงเครียดทางการค้าอาจส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลก ช่วยสนับสนุนความคาดหวังเกี่ยวกับความต้องการพลังงานในอนาคต นอกจากนี้ การคงอัตราการผลิตของ OPEC Plus และความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนด้านอุปทาน
การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกพลังงาน โดยเฉพาะดอลลาร์แคนาดาที่แสดงความสัมพันธ์เชิงลบที่แข็งแกร่งกับราคาน้ำมันดิบ WTI ในระดับ -0.93 เมื่อราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวขึ้น 1.13 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ USD/CAD ร่วงลง 0.6 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ระดับ 1.28 ดอลลาร์แคนาดาต่อดอลลาร์สหรัฐ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข็งค่าของดอลลาร์แคนาดาจากการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าส่งออกหลักของประเทศ
สกุลเงินอื่นๆ ของประเทศผู้ส่งออกพลังงานแสดงการตอบสนองที่คล้ายคลึงกัน โครนนอร์เวย์แข็งค่าขึ้น 0.4 เปอร์เซ็นต์ตามรูปแบบประวัติศาสตร์ที่ว่าสกุลเงินนี้จะแข็งค่าขึ้นทุกครั้งที่ราคาน้ำมัน Brent ปรับตัวสูงขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ รูเบิลรัสเซียซึ่งมีค่าสหสัมพันธ์เชิงบวกที่ +0.85 กับราคาน้ำมัน Brent ก็แสดงการแข็งค่าที่สอดคล้องกัน แม้จะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายในตลาดน้ำมันแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความสนใจจากนักลงทุน โดยปริมาณการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สน้ำมัน WTI เพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ Open Interest ซึ่งสะท้อนถึงตำแหน่งการลงทุนที่ยังคงเปิดอยู่เพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์ การเพิ่มขึ้นนี้บ่งชี้ถึงความมั่นใจของนักลงทุนในแนวโน้มราคาขาขึ้นของน้ำมันดิบในระยะกลาง
การวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงและโอกาสในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เผยให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สำหรับตลาดทองคำ ความเสี่ยงหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาและความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการถือครองทองคำสำหรับนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม โอกาสยังคงมาจากความต้องการด้านภูมิรัฐศาสตร์และการลดการพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐของประเทศสำคัญ
ในตลาดน้ำมันดิบ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญรวมถึงความไม่แน่นอนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและผลกระทบระยะยาวจากนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา การเพิ่มขึ้นของการผลิตน้ำมันหินดินดานในสหรัฐอเมริกาและความก้าวหน้าในเทคโนโลยีพลังงานทดแทนอาจสร้างแรงกดดันต่อราคาในระยะยาว ขณะเดียวกัน โอกาสมาจากการคงนโยบายการผลิตของ OPEC Plus และความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและแอฟริกาที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นที่น่าประทับใจท่ามกลางความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปิดการซื้อขายที่ระดับ 42,762.87 จุด เพิ่มขึ้น 443.13 จุดหรือ 1.05 เปอร์เซ็นต์ โดยได้รับการสนับสนุนหลักจากหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่มีการปรับตัวดีขึ้นจากความกังวลเรื่องสงครามการค้า การเคลื่อนไหวในทิศทางบวกนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่าบริษัทขนาดใหญ่สามารถปรับตัวรับมือกับสภาพแวดล้อมทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงได้
ดัชนี NASDAQ Composite ปิดที่ระดับ 21,761.79 จุด เพิ่มขึ้น 214.36 จุดหรือ 0.99 เปอร์เซ็นต์ การปรับตัวขึ้นของดัชนีที่มีน้ำหนักหนักในหุ้นเทคโนโลยีนี้ได้รับการสนับสนุนจากการไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุนภาคเทคโนโลยีเป็นจำนวน 909 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพการเติบโตระยะยาวของภาคเทคโนโลยี แม้จะเผชิญกับความท้าทายระยะสั้นจากนโยบายการค้า ปริมาณการซื้อขายของ NASDAQ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 1,214.36 ล้านหุ้นในวันที่ 6 มิถุนายน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยประจำวันอย่างมีนัยสำคัญ
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ระดับ 6,000.36 จุด เพิ่มขึ้น 61.06 จุดหรือ 1.03 เปอร์เซ็นต์ แม้จะยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดประจำปีที่ตั้งไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของดัชนีนี้อยู่ที่ระดับ 801.68 ล้านหุ้นในวันที่ 6 มิถุนายน เพิ่มขึ้น 20.5 เปอร์เซ็นต์จากสัปดาห์ก่อนหน้า การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายบ่งชี้ถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากนักลงทุนสถาบันที่ปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
การวิเคราะห์ตัวชี้วัดความผันผวนแสดงให้เห็นถึงการลดลงของความกังวลในตลาด ดัชนี VIX ซึ่งเป็นตัววัดความกลัวของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 19.45 ลดลง 8 เปอร์เซ็นต์จากสัปดาห์ก่อนหน้า การลดลงของ VIX สอดคล้องกับการไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุน S&P 500 ETF เป็นจำนวน 2.72 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่อแนวโน้มตลาดหุ้นในระยะกลาง
ตลาดหุ้นไทยแสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่แตกต่างจากตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,136.43 จุด ลดลง 4.20 จุดหรือ 0.37 เปอร์เซ็นต์ พร้อมด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 30,853.02 ล้านบาท การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบทางอ้อมจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจไทย
ความกังวลหลักของตลาดหุ้นไทยมาจากการคาดการณ์ของ กสิกรไทยที่ปรับลด GDP ไทยปี 2025 เหลือ 1.4 เปอร์เซ็นต์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีโต้ตอบที่ 36 เปอร์เซ็นต์ซึ่งอาจกลับมาใช้อีกครั้งหลังวันที่ 8 กรกฎาคม การแข็งค่าของเงินบาทที่อยู่ที่ระดับ 32.7266 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่สร้างความกดดันต่อหุ้นในกลุ่มส่งออก เนื่องจากอาจส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก
การวิเคราะห์การไหลของเงินทุนแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของความสนใจของนักลงทุนต่างชาติ แม้จะมีการไหลออกสุทธิจากตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น แต่การไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุนพันธบัตรรัฐบาลไทยยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกที่นักลงทุนปรับเปลี่ยนไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเผยให้เห็นถึงพลวัตที่ซับซ้อนของสภาวะ Risk-on Risk-off ในสัปดาห์นี้ ค่าสหสัมพันธ์เชิงลบระหว่างดัชนี VIX และ USD/JPY ที่ระดับ -0.76 แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเงินเยนญี่ปุ่นในฐานะสกุลเงินทุนสำหรับการทำ Carry Trade เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาแสดงความแข็งแกร่งและ VIX ลดลง นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะกู้เงินเยนมาลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ส่งผลให้ USD/JPY ปรับตัวขึ้น
การเคลื่อนไหวในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสัมพันธ์ดังกล่าว ในวันที่ 4 มิถุนายน เมื่อดัชนี S&P 500 ร่วงลง 1.2 เปอร์เซ็นต์จากความกังวลเรื่องนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา พร้อมกับ USD/JPY ลดลง 0.9 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน การคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ NASDAQ พุ่งขึ้น 1.5 เปอร์เซ็นต์ และ USD/JPY ปรับตัวขึ้น 0.7 เปอร์เซ็นต์
ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin และ NASDAQ 100 ยังคงรักษาค่าสหสัมพันธ์สูงที่ +0.89 ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทใหม่ของสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เมื่อตลาดหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น นักลงทุนมักจะเพิ่มการลงทุนใน Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน การปรับตัวลงของ Bitcoin ที่ 2.93 เปอร์เซ็นต์ในวันที่ 6 มิถุนายนสอดคล้องกับการปรับตัวลงของหุ้นเทคโนโลยีในช่วงเวลาเดียวกัน
การวิเคราะห์การไหลของเงินทุนระหว่างตลาดต่างๆ เผยให้เห็นถึงการปรับกลยุทธ์ที่สำคัญของนักลงทุนสถาบัน ข้อมูลจาก LSEG Lipper แสดงให้เห็นถึงการไหลออกของเงินทุนจากกองทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สามเป็นจำนวน 7.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เงินทุนไหลเข้าสู่กองทุนหุ้นยุโรปและเอเชียเป็นประวัติการณ์ที่ 2.72 พันล้านเหรียญสหรัฐและ 1.84 พันล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และการแสวงหาโอกาสในตลาดที่มีการประเมินค่าต่ำกว่า
การไหลเข้าของเงินทุนสู่สินทรัพย์ปลอดภัยแสดงให้เห็นถึงการปรับสมดุลความเสี่ยงของนักลงทุน กองทุนเงินตลาดดูดซับเงินไหลเข้า 108.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นได้รับเงินไหลเข้า 4.66 พันล้านเหรียญสหรัฐ การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนเงินสดในพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนสถาบันเป็น 5.2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสสี่ของปี 2024
ดัชนี CNN Fear and Greed ที่ระดับ 58 ซึ่งอยู่ในโซน Greed เพิ่มขึ้น 13 จุดจากสัปดาห์ก่อนหน้า สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ค่อยๆ กลับคืนสู่ตลาด โดยเฉพาะจากการไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุนภาคเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่ได้รับ 909 ล้านเหรียญสหรัฐและ 878 ล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ การไหลเข้าของเงินทุนในภาคเฉพาะนี้บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพการฟื้นตัวของภาคการผลิตและนวัตกรรมเทคโนโลยี แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการวางกลยุทธ์การลงทุนและการบริหารความเสี่ยง การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและคู่เงินหลักแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งและสอดคล้องกับทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์การเงินระหว่างประเทศ ดัชนีดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและคู่เงิน USD/JPY มีค่าสหสัมพันธ์เชิงบวกที่ระดับ 0.86 บนกราฟรายวัน ซึ่งสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันเมื่อปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและคู่เงิน EUR/USD แสดงให้เห็นถึงลักษณะผกผันที่ชัดเจนด้วยค่าสหสัมพันธ์เชิงลบที่ระดับ -0.92 การที่สกุลเงินยูโรมีน้ำหนักถึง 57.6 เปอร์เซ็นต์ในการคำนวณดัชนีดอลลาร์สหรัฐอเมริกาทำให้ความสัมพันธ์นี้มีความแข็งแกร่งและมีนัยสำคัญทางสถิติ การเคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐอเมริกาปรับตัวลง 0.8 เปอร์เซ็นต์ส่งผลให้ EUR/USD พุ่งขึ้นสู่ระดับ 1.1453 และ USD/JPY ร่วงลงสู่แนวรับ 142.10 ภายในวันเดียวกัน ปรากฏการณ์นี้สามารถอธิบายได้ผ่านสูตรคำนวณดัชนีดอลลาร์สหรัฐอเมริกาที่แสดงให้เห็นถึงน้ำหนักของสกุลเงินแต่ละตัวและผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อดัชนี
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างทองคำและดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในช่วงสัปดาห์นี้เผยให้เห็นถึงการพัฒนาที่สำคัญของพลวัตตลาด ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ดั้งเดิมระหว่างทองคำและดอลลาร์สหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จากค่าสหสัมพันธ์เชิงลบที่ระดับ -0.85 ในปี 2020 เป็นค่าสหสัมพันธ์เชิงบวกที่ระดับ 0.32 ในปี 2025 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากปัจจัยหลายประการที่มีความซับซ้อน รวมถึงการซื้อทองคำของธนาคารกลางจีนและรัสเซียเป็นจำนวนกว่า 800 ตันในปี 2024 เพื่อลดการพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในทุนสำรองระหว่างประเทศ ความต้องการทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จากความตึงเครียดในยูเครนและตะวันออกกลาง และความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่แม้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะดำเนินนโยบายการขึ้นดอกเบี้ย
ตลาดน้ำมันดิบและสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกพลังงานในสัปดาห์นี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและสอดคล้องกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์พลังงาน คู่เงิน USD/CAD มีค่าสหสัมพันธ์เชิงลบที่ระดับ -0.93 กับราคาน้ำมันดิบ WTI ระหว่างปี 2000-2016 และยังคงรักษาความสัมพันธ์นี้ในปัจจุบัน เนื่องจากประเทศแคนาดาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดไปยังสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน การที่ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวขึ้น 1.13 เปอร์เซ็นต์ส่งผลให้ USD/CAD ร่วงลง 0.6 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ระดับ 1.28 ดอลลาร์แคนาดาต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกา การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข็งค่าของดอลลาร์แคนาดาจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินค้าส่งออกหลักของประเทศ
สกุลเงินอื่นๆ ของประเทศผู้ส่งออกพลังงานแสดงการตอบสนองที่สอดคล้องกับรูปแบบประวัติศาสตร์ รูเบิลรัสเซียมีค่าสหสัมพันธ์เชิงบวกที่ระดับ 0.85 กับราคาน้ำมัน Brent และแสดงการแข็งค่าที่สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน แม้จะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ โครนนอร์เวย์แข็งค่าขึ้น 0.4 เปอร์เซ็นต์ตามรูปแบบที่ว่าสกุลเงินนี้จะแข็งค่าขึ้นทุกครั้งที่ราคาน้ำมัน Brent ปรับตัวสูงขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ เปโซเม็กซิกันแสดงความอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันสหรัฐอเมริกา โดยข้อมูลการซื้อขายล่วงหน้าแสดงให้เห็นว่าสัญญา FX Forward ในสกุลเงินเม็กซิกันมีปริมาณเพิ่มขึ้น 45 เปอร์เซ็นต์เมื่อราคาน้ำมันเกินระดับ 65 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อบาร์เรล
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นโลกและความเสี่ยงในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานของกลไก Risk-on Risk-off ที่มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลัก ดัชนี VIX และคู่เงิน USD/JPY มีค่าสหสัมพันธ์เชิงลบที่ระดับ -0.76 เนื่องจากเงินเยนญี่ปุ่นถูกใช้เป็นสกุลเงินทุนสำหรับการทำ Carry Trade เมื่อนักลงทุนมีความเสี่ยงสูงในสภาวะ Risk-on พวกเขาจะกู้เงินเยนซึ่งมีดอกเบี้ยต่ำมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงกว่า ส่งผลให้ USD/JPY ปรับตัวขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อตลาดเข้าสู่ภาวะ Risk-off จะเกิดการขายสินทรัพย์เสี่ยงและซื้อคืนเงินเยนเพื่อปิดตำแหน่ง ทำให้ USD/JPY ปรับตัวลง
เหตุการณ์ล่าสุดในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานของกลไกนี้อย่างชัดเจน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 1.2 เปอร์เซ็นต์จากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา พร้อมกับ USD/JPY ที่ลดลง 0.9 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาเดียวกัน ในทางตรงข้าม เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน การคาดการณ์เกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ NASDAQ พุ่งขึ้น 1.5 เปอร์เซ็นต์ และ USD/JPY ปรับตัวขึ้น 0.7 เปอร์เซ็นต์ การเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนถึงการไหลของเงินทุนระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงและสินทรัพย์ปลอดภัยตามวัฏจักรของความเชื่อมั่นในตลาด
การวิเคราะห์ Cross-Asset Correlation ในปัจจุบันเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโครงสร้างตลาด ความสัมพันธ์ระหว่างทองคำและดอลลาร์สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็นค่าสหสัมพันธ์เชิงบวกที่ 0.32 ในปี 2025 จากระดับ -0.85 ในปี 2020 ขณะที่ Bitcoin และ NASDAQ 100 ยังคงรักษาค่าสหสัมพันธ์สูงที่ 0.89 ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทใหม่ของสินทรัพย์ดิจิทัลในพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีผลกระทบสำคัญต่อการออกแบบกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงและการกระจายการลงทุน
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการตอบสนองของตลาดต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน การศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ J.P. Morgan ชี้ให้เห็นว่าค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง EUR/USD และอัตราดอกเบี้ยจริงของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ระดับ 0.91 ในไตรมาสที่สองของปี 2025 ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทใหม่ของเงินยูโรในฐานะตัวแทนความเชื่อมั่นต่อนโยบายของธนาคารกลางยุโรปที่เริ่มมีท่าทีที่แข็งกร้าวมากขึ้น การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปเป็นครั้งที่แปดติดต่อกันในวันที่ 5 มิถุนายนไม่ได้ส่งผลให้เงินยูโรอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่านี่อาจเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในรอบปัจจุบัน
การประกาศของธนาคารกลางแคนาดาที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.75 เปอร์เซ็นต์แต่แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ตลาดเปลี่ยนความคาดหวังเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โอกาสในการลดดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นจาก 28 เปอร์เซ็นต์เป็น 46 เปอร์เซ็นต์ตามการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังนี้ส่งผลให้ USD/CAD ปรับตัวลง 0.6 เปอร์เซ็นต์ทันทีหลังการประกาศ
ความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและดัชนีดอลลาร์สหรัฐอเมริกายังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดอัตราแลกเปลี่ยน การประกาศข้อมูลการจ้างงานสหรัฐอเมริกาที่อ่อนแอกว่าคาดการณ์ในวันที่ 6 มิถุนายนส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 2 ปีลดลง 3 จุดฐานและ 10 ปีลดลง 2 จุดฐาน การปรับตัวของเส้นอัตราผลตอบแทนนี้ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอ่อนค่าลงในช่วงบ่าย โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐอเมริกาปิดสัปดาห์ที่ระดับ 103.75 การเชื่อมโยงระหว่างตลาดพันธบัตรและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการติดตามความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินในการวิเคราะห์ทิศทางสกุลเงิน
การทำความเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างตลาดต่างๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพยากรณ์ทิศทางราคาและการบริหารความเสี่ยงในสภาวะปัจจุบันที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบผ่านหลายช่องทางทั้งอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างทองคำและดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในระยะสั้น และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณบวกต่อสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ ปัจจัยเหล่านี้รวมกันสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ต้องการการวิเคราะห์แบบองค์รวมและการเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างตลาดเพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงการกระจายตัวของผลตอบแทนที่สะท้อนถึงการปรับตัวของตลาดภายใต้สภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง สินทรัพย์ที่แสดงผลการดำเนินงานโดดเด่นในทางบวกส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากการปรับตัวของนโยบายการเงินและการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์นักลงทุน
ดัชนีหุ้นสหรัฐอเมริกาโดดเด่นในฐานะสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงสุดในสัปดาห์นี้ โดยดัชนี Dow Jones Industrial Average นำหน้าด้วยผลตอบแทน 1.05 เปอร์เซ็นต์ ตามด้วยดัชนี S&P 500 ที่ 1.03 เปอร์เซ็นต์ และ NASDAQ Composite ที่ 0.99 เปอร์เซ็นต์ ความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเกิดจากการไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุนภาคเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป็นจำนวน 909 ล้านเหรียญสหรัฐและ 878 ล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ การที่ตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้ท่ามกลางความกังวลเรื่องสงครามการค้าสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในความสามารถของบริษัทขนาดใหญ่ในการปรับตัวรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
หุ้นในกลุ่มพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์แสดงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมัน Brent เพิ่มขึ้น 1.11 เปอร์เซ็นต์และน้ำมัน WTI ปรับตัวขึ้น 1.13 เปอร์เซ็นต์ ความแข็งแกร่งของราคาน้ำมันได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลการสนทนาระหว่างผู้นำจีนและสหรัฐอเมริกาที่สร้างความหวังในการลดความตึงเครียดทางการค้า การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลดีต่อบริษัทในกลุ่มพลังงานและประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน โดยเฉพาะแคนาดาและนอร์เวย์ที่เงินสกุลท้องถิ่นแข็งค่าขึ้นตามการปรับตัวของราคาน้ำมัน
สกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์แสดงการปรับตัวขึ้นที่สำคัญจากการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และความคาดหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ดอลลาร์แคนาดาแข็งค่าขึ้นจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันและการคงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางแคนาดา โครนนอร์เวย์ปรับตัวขึ้น 0.4 เปอร์เซ็นต์ตามรูปแบบประวัติศาสตร์ที่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน Brent ดอลลาร์ออสเตรเลียแสดงการฟื้นตัวเล็กน้อยหลังจากการปรับตัวลงในช่วงต้นสัปดาห์จากความกังวลเกี่ยวกับข้อมูล PMI ของจีน
กองทุนและตราสารทางการเงินที่เน้นความปลอดภัยแสดงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากการไหลเข้าของเงินทุนในสภาวะความไม่แน่นอน กองทุนเงินตลาดดูดซับเงินไหลเข้า 108.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นได้รับเงินไหลเข้า 4.66 พันล้านเหรียญสหรัฐ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงกลยุทธ์ของนักลงทุนในการรักษาสภาพคล่องและลดความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลประสบกับการปรับตัวลงอย่างรุนแรงและเป็นกลุ่มสินทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานอ่อนแอที่สุดในสัปดาห์นี้ ตัวนำในการปรับตัวลงคือ Dogecoin ที่ร่วงลง 9.10 เปอร์เซ็นต์ ตามด้วย Ethereum ที่ปรับลง 6.93 เปอร์เซ็นต์ และ Solana ที่ลดลง 5.41 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่ Bitcoin ซึ่งมักถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเสถียรมากที่สุดก็ปรับตัวลง 2.93 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ระดับ 101,900 เหรียญสหรัฐ การปรับตัวลงของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเกิดจากการไหลออกของเงินทุนสุทธิ 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐตามข้อมูลของ CoinShares ซึ่งสอดคล้องกับความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่าง Bitcoin และ NASDAQ 100 ที่ระดับ 0.89 ในช่วงที่ตลาดเข้าสู่ภาวะ risk-off
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของ Bitcoin แสดงให้เห็นถึงสัญญาณการอ่อนแอในระยะสั้น รูปแบบ Bearish Harami ที่ปรากฏบนกราฟรายวันเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนสะท้อนถึงความอ่อนแอของฝั่งซื้อและแรงกดดันจากการขาย ตัวชี้วัด MACD อยู่ที่ระดับ 796.74 ซึ่งแสดงสัญญาณขาย ขณะที่ราคาอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันที่ระดับ 105,615.04 เหรียญสหรัฐ ส่งสัญญาณแนวโน้มขาลงในระยะสั้น แนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 95,605 เหรียญสหรัฐซึ่งสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน
ตลาดทองคำเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่แสดงผลการดำเนินงานที่อ่อนแออย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดประเทศไทยที่ราคาร่วงลงอย่างรุนแรง 400 บาทในวันที่ 7 มิถุนายน ราคาทองคำโลกปรับตัวลงจากจุดสูงสุดที่ 3,397.50 เหรียญสหรัฐเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนมาปิดที่ระดับ 3,313.00 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ การปรับตัวลงของทองคำเกิดจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในช่วงต้นสัปดาห์และการลดสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนสถาบันลง 1.2 เปอร์เซ็นต์ รูปแบบ Bearish Dark Cloud Cover ที่ปรากฏบนกราฟรายสัปดาห์บ่งชี้ถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนขนาดใหญ่
ตลาดหุ้นไทยแสดงผลการดำเนินงานที่อ่อนแอเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดโลก โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวลง 0.37 เปอร์เซ็นต์มาปิดที่ระดับ 1,136.43 จุด การปรับตัวลงนี้สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกาต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว การที่ กสิกรไทยปรับลดการคาดการณ์ GDP ไทยปี 2025 เหลือ 1.4 เปอร์เซ็นต์ และคำเตือนจาก กกร.เกี่ยวกับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคในครึ่งหลังของปี 2025 ส่งผลให้นักลงทุนมีความระมัดระวังมากขึ้น
สกุลเงินในตลาดเกิดใหม่บางตัวแสดงความอ่อนแอจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา แม้จะมีการไหลเข้าของเงินทุนสุทธิในกองทุนพันธบัตรตลาดเกิดใหม่ 1.99 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่กองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ได้รับเงินไหลเข้าเพียง 191 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญ สภาวะนี้สะท้อนถึงการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของนักลงทุนต่อสินทรัพย์ที่อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างประเทศ
การวิเคราะห์ผลการดำเนินงานตามกลุ่มภาคอุตสาหกรรมเผยให้เห็นถึงการแยกตัวที่ชัดเจนระหว่างภาคที่ได้รับประโยชน์และภาคที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า ภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือเคเบิลและโทรคมนาคม สาธารณสุข และสาธารณูปโภคและพลังงาน เนื่องจากเป็นภาคบริการที่มีห่วงโซ่อุปทานเน้นในประเทศและได้รับผลกระทบน้อยจากมาตรการภาษีนำเข้า การไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุนในภาคเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์
ภาคเทคโนโลยีแสดงความยืดหยุ่นที่น่าประทับใจแม้จะเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายการค้า การไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุนเทคโนโลยีเป็นจำนวน 909 ล้านเหรียญสหรัฐสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพการเติบโตระยะยาวของภาคนี้ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีรายได้หลักจากตลาดในประเทศและมีความสามารถในการปรับห่วงโซ่อุปทานแสดงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าบริษัทที่พึ่งพาการส่งออกหรือการนำเข้าส่วนประกอบจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี
ภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือยานยนต์ การค้าปลีกและสินค้าผู้บริโภค และภาคพลังงานในบางส่วน ภาคยานยนต์โดยเฉพาะได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25 เปอร์เซ็นต์เป็น 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตรถยนต์ ภาคการค้าปลีกและสินค้าผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนสินค้านำเข้าที่อาจส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค การไหลออกของเงินทุนจากกองทุนในภาคเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์
การกระจายตัวของผลตอบแทนในสัปดาห์นี้ส่งผลกระทบสำคัญต่อกลยุทธ์การจัดสรรพอร์ตการลงทุน นักลงทุนสถาบันปรับเพิ่มสัดส่วนเงินสดเป็น 5.2 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสสี่ของปี 2024 และลดสัดส่วนการถือครองหุ้นสหรัฐอเมริกาลง 0.8 เปอร์เซ็นต์ การปรับเปลี่ยนนี้สะท้อนถึงการใช้กลยุทธ์ Barbell Strategy ที่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลางควบคู่กับการรักษาสภาพคล่องเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง
การเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงระหว่างทองคำและดอลลาร์สหรัฐอเมริกาจากเชิงลบเป็นเชิงบวกทำให้ทองคำไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากดอลลาร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนในอดีต นักลงทุนจึงต้องปรับกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงโดยหันไปใช้สกุลเงินอื่นหรือตราสารอนุพันธ์ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่
การแสดงผลการดำเนินงานที่แตกต่างกันระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลและตลาดหุ้นแบบดั้งเดิมในสัปดาห์นี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจพลวัตตลาดและปัจจัยขับเคลื่อนที่แตกต่างกันของสินทรัพย์แต่ละประเภท ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่าง Bitcoin และ NASDAQ 100 แสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงสูงมากกว่าที่จะเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงตามที่เคยเป็นในอดีต การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญต่อการออกแบบกลยุทธ์การลงทุนและการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมตลาดปัจจุบัน
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายในสัปดาห์ที่ผ่านมาเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของพฤติกรรมนักลงทุนและความเชื่อมั่นในตลาดต่างๆ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ปรับตัวขึ้นแม้จะมีจำนวนวันซื้อขายที่ลดลง ข้อมูลจาก Cboe FX ระบุว่าปริมาณซื้อขายรวมอยู่ที่ระดับ 960.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลง 7.6 เปอร์เซ็นต์จากสัปดาห์ก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม เมื่อปรับตามจำนวนวันซื้อขายที่ลดลงจาก 22 วันเป็น 20 วัน พบว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 48 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2024
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดัชนี S&P 500 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ระดับ 801.68 ล้านหุ้นในวันที่ 6 มิถุนายน ซึ่งเพิ่มขึ้น 20.5 เปอร์เซ็นต์จากสัปดาห์ก่อนหน้า การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายนี้สะท้อนถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากการประกาศนโยบายภาษีนำเข้าและการปรับตัวของนักลงทุนต่อข้อมูลใหม่ ดัชนี NASDAQ แสดงความโดดเด่นยิ่งกว่าด้วยปริมาณการซื้อขายที่พุ่งขึ้นสู่ระดับ 1,214.36 ล้านหุ้นในวันเดียวกัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยรายวันอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขึ้นนี้บ่งชี้ถึงการปรับพอร์ตที่ครอบคลุมของนักลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีภายใต้ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้า
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของความสนใจที่แตกต่างกันระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตลาดทองคำประสบกับการลดลงของปริมาณการซื้อขายฟิวเจอร์สลงมาอยู่ที่ระดับ 183.49 พันสัญญาในวันที่ 6 มิถุนายน ซึ่งลดลง 12.3 เปอร์เซ็นต์จากสัปดาห์ก่อนหน้า การลดลงนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการปรับตัวลงของราคาอย่างรุนแรง สะท้อนถึงการที่นักลงทุนปรับลดการมีส่วนร่วมในตลาดทองคำหลังจากการไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญได้ ในทางตรงกันข้าม ตลาดน้ำมันดิบแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สน้ำมัน WTI เพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า
การวิเคราะห์ Open Interest ซึ่งสะท้อนถึงตำแหน่งการลงทุนที่ยังคงเปิดอยู่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนในทิศทางตลาด ตลาดน้ำมันดิบมี Open Interest เพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งบ่งชี้ถึงความมั่นใจของนักลงทุนในแนวโน้มราคาขาขึ้นของน้ำมันดิบในระยะกลาง การเพิ่มขึ้นของทั้งปริมาณการซื้อขายและ Open Interest ในตลาดน้ำมันสร้างสัญญาณที่แข็งแกร่งเกี่ยวกับทิศทางราคาและความเชื่อมั่นของตลาด ขณะที่ตลาดทองคำแสดงสัญญาณที่ตรงกันข้าม โดยนักลงทุนสถาบันลดสัดส่วนการถือครองลง 1.2 เปอร์เซ็นต์
ตัวชี้วัดอารมณ์ตลาดในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงการแยกตัวที่ชัดเจนระหว่างตลาดหุ้นแบบดั้งเดิมและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ดัชนี CNN Fear and Greed อยู่ที่ระดับ 58 ซึ่งจัดอยู่ในโซน Greed และเพิ่มขึ้น 13 จุดจากสัปดาห์ก่อนหน้า การปรับตัวขึ้นนี้ได้รับการสนับสนุนหลักจากการไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุนเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพการฟื้นตัวของภาคการผลิตและนวัตกรรม การเพิ่มขึ้นของดัชนีนี้สอดคล้องกับการลดลงของดัชนี VIX มาอยู่ที่ระดับ 19.45 ซึ่งลดลง 8 เปอร์เซ็นต์จากสัปดาห์ก่อนหน้า การลดลงของ VIX บ่งชี้ถึงการลดลงของความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพตลาดในระยะสั้น
ในทางตรงกันข้าม ดัชนี Crypto Fear and Greed อยู่ที่ระดับ 45 ซึ่งจัดอยู่ในโซน Fear ในวันที่ 6 มิถุนายน การแยกตัวนี้สะท้อนถึงความแตกต่างของปัจจัยขับเคลื่อนระหว่างตลาดหุ้นแบบดั้งเดิมและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล แม้จะมีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่าง Bitcoin และ NASDAQ 100 ที่ระดับ 0.89 แต่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยเฉพาะตลาดมากกว่า การที่ Bitcoin ร่วงลง 2.93 เปอร์เซ็นต์ในขณะที่ NASDAQ ปรับตัวขึ้น 0.99 เปอร์เซ็นต์แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างตลาดในระยะสั้น
การวิเคราะห์ความกลัวและความโลภในระดับสินทรัพย์เฉพาะเผยให้เห็นถึงการกระจายความเสี่ยงที่ไม่สม่ำเสมอ ดัชนีความโลภในทองคำลดลงเหลือ 35 จากระดับ 45 เมื่อสัปดาห์ก่อน สอดคล้องกับการลดสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนสถาบัน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการประเมินใหม่ของบทบาททองคำในพอร์ตการลงทุนภายใต้สภาวะที่ความสัมพันธ์กับดอลลาร์สหรัฐอเมริกาเปลี่ยนแปลง นักลงทุนกำลังปรับกลยุทธ์การใช้ทองคำจากเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากดอลลาร์เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และเงินเฟ้อมากขึ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันแสดงให้เห็นถึงการใช้กลยุทธ์ที่รอบคอบมากขึ้น นักลงทุนสถาบันเพิ่มสัดส่วนเงินสดเป็น 5.2 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสสี่ของปี 2024 การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนเงินสดนี้ไม่ได้เกิดจากความกลัวแต่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสการลงทุนใหม่ที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาด การลดสัดส่วนการถือครองหุ้นสหรัฐอเมริกาลง 0.8 เปอร์เซ็นต์พร้อมกับการเพิ่มการลงทุนในตลาดยุโรปและเอเซียแสดงให้เห็นถึงการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และการแสวงหาโอกาสในตลาดที่มีการประเมินค่าต่ำกว่า
การไหลของเงินทุนในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่สำคัญของนักลงทุนภายใต้สภาวะความไม่แน่นอน ข้อมูลจาก LSEG Lipper เผยให้เห็นถึงการไหลออกของเงินทุนจากกองทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สามเป็นจำนวน 7.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ แม้ตลาดหุ้นจะแสดงผลการดำเนินงานในเชิงบวก การไหลออกนี้สะท้อนถึงการที่นักลงทุนใช้ความแข็งแกร่งของตลาดเป็นโอกาสในการลดความเสี่ยงและรับผลกำไรจากการลงทุนที่ได้สะสมมาในช่วงก่อนหน้า ขณะเดียวกัน เงินทุนไหลเข้าสู่กองทุนหุ้นยุโรปและเอเซียเป็นประวัติการณ์ที่ 2.72 พันล้านเหรียญสหรัฐและ 1.84 พันล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ
การเปลี่ยนแปลงในการจัดสรรการลงทุนระหว่างภูมิภาคนี้สะท้อนถึงการประเมินใหม่ของโอกาสและความเสี่ยงสัมพัทธ์ นักลงทุนมองว่าตลาดยุโรปและเอเซียมีการประเมินค่าที่น่าสนใจมากกว่าและอาจได้รับประโยชน์จากการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกที่เกิดจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา การไหลเข้าของเงินทุนสู่ตลาดเกิดใหม่ในกองทุนพันธบัตรเป็นจำนวน 1.99 พันล้านเหรียญสหรัฐแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเงินของประเทศเหล่านี้ แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมการค้าโลก
การไหลเข้าของเงินทุนสู่สินทรัพย์ปลอดภัยแสดงให้เห็นถึงการใช้กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงที่ซับซ้อนมากขึ้น กองทุนเงินตลาดดูดซับเงินไหลเข้า 108.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นได้รับเงินไหลเข้า 4.66 พันล้านเหรียญสหรัฐ การเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้เกิดจากความกลัวแต่เป็นการรักษาสภาพคล่องเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสการลงทุนใหม่ที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาด ทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงได้รับเงินไหลเข้า 1.69 พันล้านเหรียญสหรัฐ แม้จะเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น สะท้อนถึงความเชื่อมั่นระยะยาวในบทบาทของสินทรัพย์เหล่านี้ในการป้องกันเงินเฟ้อและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
การไหลออกของเงินทุนจากตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นจำนวน 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐตามข้อมูลของ CoinShares สะท้อนถึงการปรับตัวของนักลงทุนต่อการเปลี่ยนแปลงบทบาทของสินทรัพย์ดิจิทัลในพอร์ตการลงทุน การที่ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ แสดงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับตลาดหุ้นเทคโนโลยีทำให้นักลงทุนประเมินใหม่เกี่ยวกับประโยชน์ในการกระจายความเสี่ยงของสินทรัพย์ประเภทนี้ การไหลออกนี้ไม่ได้เกิดจากการสูญเสียความเชื่อมั่นในระยะยาวแต่เป็นการปรับสมดุลพอร์ตเพื่อลดความเข้มข้นของความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง
การศึกษาตำแหน่งการลงทุนของนักลงทุนสถาบันเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ที่มีผลกระทบต่อทิศทางตลาดในระยะกลาง การไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุนภาคเฉพาะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เลือกสรรอย่างระมัดระวัง ภาคเทคโนโลยีได้รับเงินไหลเข้า 909 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมได้รับ 878 ล้านเหรียญสหรัฐ การเลือกลงทุนในภาคเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความสามารถของบริษัทขนาดใหญ่ในการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางการค้าและการใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้น
การปรับเปลี่ยนตำแหน่งในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนแสดงให้เห็นถึงการประเมินใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงินหลัก นักลงทุนสถาบันเพิ่มตำแหน่งขายดอลลาร์สหรัฐอเมริกาเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโรและเยนญี่ปุ่น การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการคาดการณ์ว่าการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปกำลังเข้าใกล้จุดสิ้นสุดและแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจเริ่มลดดอกเบี้ยในปลายปี การปรับตัวของ yield differentials ระหว่างประเทศสร้างโอกาสการลงทุนใหม่ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่นักลงทุนสถาบันกำลังใช้ประโยชน์
การเพิ่มขึ้นของตำแหน่งใน carry trade แสดงให้เห็นถึงการกลับมาของความเชื่อมั่นในกลยุทธ์การลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย การที่ USD/JPY แสดงการฟื้นตัวในช่วงท้ายสัปดาห์พร้อมกับการลดลงของ VIX สนับสนุนการขยายตำแหน่งใน carry trade ที่ใช้เงินเยนเป็นสกุลเงินทุน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการบริหารขนาดตำแหน่งและการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเนื่องจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยทางการเมืองและการค้า
การวิเคราะห์การไหลของเงินทุนและตำแหน่งการลงทุนในสัปดาห์นี้ชี้ให้เห็นว่าตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงของการปรับสมดุลที่ซับซ้อน นักลงทุนไม่ได้หลีกเลี่ยงความเสี่ยงอย่างสิ้นเชิงแต่กำลังปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง การใช้กลยุทธ์ Barbell ที่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลางควบคู่กับการรักษาสภาพคล่องสูงกลายเป็นแนวทางหลักของนักลงทุนสถาบัน กลยุทธ์นี้ช่วยให้พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นจากความผันผวนในขณะเดียวกันก็รักษาความยืดหยุ่นในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดได้
สัปดาห์ที่ 2-7 มิถุนายน 2025 เป็นช่วงเวลาที่ตลาดการเงินโลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของตลาดคือนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบกว้างขวางต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ การประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับการเพิ่มภาษีจีนและภาษีเหล็กอะลูมิเนียมได้สร้างความผันผวนที่ส่งผลต่อทุกตลาดทรัพย์สิน การที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาหดตัว 0.3 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่เป็นรูปธรรมของนโยบายดังกล่าว
การประชุมของธนาคารกลางสำคัญในสัปดาห์นี้ได้เพิ่มมิติใหม่ให้กับพลวัตตลาด การที่ธนาคารกลางแคนาดาคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.75 เปอร์เซ็นต์แต่แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา และการที่ธนาคารกลางยุโรปดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่แปดติดต่อกันสู่ระดับ 2.00 เปอร์เซ็นต์ ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินโลก การที่ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปอาจเข้าใกล้จุดสิ้นสุดส่งผลให้เงินยูโรแสดงความแข็งแกร่งที่ไม่คาดคิด
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้คือการปรับตัวของความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างทองคำและดอลลาร์สหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนจากเชิงลบที่ระดับ -0.85 ในปี 2020 เป็นเชิงบวกที่ระดับ 0.32 ในปี 2025 การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบสำคัญต่อกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงและการจัดสรรพอร์ตการลงทุน นักลงทุนต้องปรับความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของทองคำจากเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากดอลลาร์เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และเงินเฟ้อ ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin และ NASDAQ 100 ที่ยังคงอยู่ที่ระดับสูง 0.89 ยืนยันบทบาทใหม่ของสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
การวิเคราะห์เชิงเทคนิคและพื้นฐานรวมกันชี้ให้เห็นถึงโอกาสการเทรดที่หลากหลายในสัปดาห์ข้างหน้า สำหรับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน คู่เงิน EUR/USD แสดงศักยภาพในการทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1.1572 หากสามารถรักษาตัวเหนือแนวรับที่ 1.1356 ได้ การที่ธนาคารกลางยุโรปอาจเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของการลดดอกเบี้ยขณะที่ตลาดเริ่มคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในปลายปีสร้างโอกาสสำหรับการแข็งค่าของเงินยูโรในระยะกลาง เทรดเดอร์ควรจับตาการทะลุของระดับ 1.1453 อย่างมั่นคงเป็นสัญญาณการยืนยันแนวโน้มขาขึ้น
คู่เงิน USD/JPY อยู่ในจุดสำคัญที่ระดับ 144.85 โดยการร่วงลงต่ำกว่าแนวรับที่ 142.10 อาจเปิดทางสู่การทดสอบระดับ 139.87 การปรับตัวลนของคู่เงินนี้สอดคล้องกับรูปแบบ Bearish Engulfing และการอ่อนตัวของโมเมนตัมขาขึ้น อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ต้องระมัดระวังการแทรกแซงจากธนาคารกลางญี่ปุ่นหากเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับ USD/CAD ความอ่อนแอที่เกิดจากการประชุมธนาคารกลางแคนาดาและการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันสร้างโอกาสสำหรับการเทรดขาลงไปยังระดับ 1.3625 หากสามารถทะลุแนวรับที่ 1.3675 ได้อย่างมั่นคง
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่แตกต่างกันระหว่างทองคำและน้ำมันดิบ ราคาทองคำที่ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 3,313 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์สร้างโอกาสสำหรับการซื้อในระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหากราคาสามารถรักษาตัวเหนือแนวรับสำคัญที่ 3,171.60 เหรียญสหรัฐ การที่ธนาคารกลางต่างๆ ยังคงซื้อทองคำเพื่อลดการพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่สนับสนุนมุมมองเชิงบวกในระยะยาว สำหรับน้ำมันดิบ การปรับตัวขึ้นของราคา Brent เหนือระดับ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลและ WTI เหนือ 63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของ Open Interest บ่งชี้ถึงความมั่นใจของนักลงทุนในแนวโน้มขาขึ้น
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาแม้จะแสดงความแข็งแกร่งในสัปดาห์นี้ แต่การที่ S&P 500 ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดประจำปีประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์สร้างโอกาสสำหรับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง การไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุนเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในความสามารถของบริษัทขนาดใหญ่ในการปรับตัวรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง เทรดเดอร์ควรเน้นหุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยจากสงครามการค้า เช่น เคเบิลและโทรคมนาคม สาธารณสุข และสาธารณูปโภค ขณะที่ระมัดระวังหุ้นในกลุ่มยานยนต์และการค้าปลีกที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่า
สัปดาห์ข้างหน้ามีเหตุการณ์สำคัญหลายประการที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาด การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในวันที่ 18 มิถุนายนเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด โดยตลาดจะจับตาการประมาณการเศรษฐกิจใหม่และ Dot Plot ที่อาจให้สัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปี การที่ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐอเมริกาแสดงความอ่อนแอกว่าคาดการณ์อาจเพิ่มแรงกดดันให้ธนาคารกลางพิจารณาการลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ เทรดเดอร์ควรเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดพันธบัตรก่อนและหลังการประกาศ
การประชุมสุดยอด G7 ระหว่างวันที่ 15-17 มิถุนายนมีความสำคัญในการกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์การค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการหารือเกี่ยวกับมาตรการต่อต้านนโยบายภาษีสหรัฐอเมริกาและการประสานงานนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิก ผลลัพธ์ของการประชุมอาจส่งผลต่อความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและการไหลของเงินทุนระหว่างภูมิภาค การประชุม NATO Summit ระหว่างวันที่ 24-25 มิถุนายนอาจส่งผลต่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะทองคำและสกุลเงินที่ถือเป็น safe haven
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ต้องติดตามรวมถึงข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่จะออกในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะมีผลต่อความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงิน ข้อมูล PMI ของจีนในเดือนมิถุนายนจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจจีนและความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์โลก การประกาศข้อมูลการจ้างงานของแคนาดาจะส่งผลต่อความคาดหวังเกี่ยวกับการประชุมธนาคารกลางแคนาดาครั้งถัดไป โดยเฉพาะหลังจากที่ผู้ว่าการแสดงความเป็นไปได้ของการลดดอกเบี้ยหากเศรษฐกิจอ่อนตัวต่อเนื่อง
สภาพแวดล้อมการลงทุนปัจจุบันต้องการการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบและปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ การที่ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบดั้งเดิมทำให้เทรดเดอร์ต้องประเมินกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงใหม่ การใช้ทองคำเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอาจไม่มีประสิทธิภาพเหมือนในอดีต แต่ยังคงมีประโยชน์ในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ เทรดเดอร์ควรพิจารณาใช้สกุลเงินอื่นเช่นสวิสฟรังก์หรือเยนญี่ปุ่นเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
การจัดการขนาดตำแหน่งการลงทุนควรคำนึงถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและการค้า การใช้ stop-loss ที่กว้างขึ้นและการลดขนาดตำแหน่งในระยะสั้นอาจช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนที่ไม่คาดคิด เทรดเดอร์ควรเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวที่รุนแรงหลังการประกาศข่าวสำคัญ โดยเฉพาะการประชุมธนาคารกลางและข้อมูลเศรษฐกิจหลัก การกระจายการลงทุนระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ และการรักษาสภาพคล่องที่เพียงพอจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นจากความผันผวน
การติดตามการไหลของเงินทุนและอารมณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจทิศทางระยะสั้นของตลาดได้ดีขึ้น การที่นักลงทุนสถาบันเพิ่มสัดส่วนเงินสดและกระจายการลงทุนไปยังตลาดยุโรปและเอเซียแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นที่เทรดเดอร์รายย่อยควรพิจารณา การใช้ตัวชี้วัดเช่น VIX และ CNN Fear and Greed Index ควบคู่กับการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับจังหวะการเข้าและออกจากตลาด
สรุปแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโครงสร้างตลาดการเงินโลกที่เทรดเดอร์ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ความสำเร็จในการเทรดจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นจากความผันผวนในขณะที่รักษาความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ตามการพัฒนาของสถานการณ์ การเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์ข้างหน้าและการติดตามตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดจะเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จในการเทรดในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายนี้