หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ดัชนี US30 (Dow Jones Industrial Average) ปิดตลาดวันที่ 15 พฤษภาคม 2025 ที่ระดับ 42,051.06 จุด ลดลง 89.37 จุด หรือ -0.21% จากวันก่อนหน้า ในขณะที่ดัชนี Nasdaq และ S&P500 กลับปิดในแดนบวก ที่ +0.72% และ +0.10% ตามลำดับ แสดงให้เห็นถึงการปรับสมดุลของเงินทุนระหว่างกลุ่มหุ้นวัฏจักรและเทคโนโลยี ราคาปัจจุบันของ US30 ยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับสูงสุดล่าสุด 42,410.10 จุด ที่ทำไว้เมื่อต้นสัปดาห์ แต่ได้ทะลุแนวต้านสำคัญในโซน 41,300-41,500 จุดขึ้นมาแล้ว ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นแนวรับที่สำคัญในระยะสั้น
ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี US30 ปรับตัวลดลง 5.62% แสดงถึงแรงกดดันระยะสั้นที่เกิดขึ้น แต่เมื่อมองในระยะยาว ดัชนียังคงเติบโตขึ้น 5.09% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนถึงแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาวที่ยังคงอยู่ ตลาดฟิวเจอร์สของ Dow Jones ในเช้าวันที่ 15 พฤษภาคมมีการปรับตัวลงถึง 200 จุด แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันในตลาดระยะสั้น หลังจากที่ S&P 500 และ Nasdaq ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สามในวันพุธที่ผ่านมา
จากมุมมองทางเทคนิค ดัชนีอยู่ในช่วงของการพักตัวระยะสั้น โดยการเคลื่อนไหวในกรอบ 41,300-42,400 จุด เป็นกรอบสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด โดยหากราคาสามารถยืนเหนือจุดสูงสุดล่าสุด 42,410.10 จุดได้ จะเป็นสัญญาณบวกว่าแนวโน้มขาขึ้นมีโอกาสดำเนินต่อไป ในทางกลับกัน หากราคาหลุดแนวรับใหม่ที่ 41,300 จุด อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดมีโอกาสปรับฐานเพิ่มเติม
การวิเคราะห์ดัชนี US30 ไม่สามารถแยกออกจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางของตลาด ในช่วงสัปดาห์นี้ มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญหลายประการที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด:
ตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ตลาดคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจชะลอหรือเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ปัจจัยนี้สร้างแรงหนุนให้กับตลาดหุ้นในระยะสั้น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจสะท้อนถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามในระยะยาว
แม้จะไม่มีการประชุม Fed ในสัปดาห์นี้ แต่นักลงทุนยังคงให้ความสำคัญกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ Fed เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต โดยเฉพาะท่าทีต่ออัตราดอกเบี้ยและการควบคุมเงินเฟ้อ ข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดอาจทำให้ Fed มีแนวโน้มที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น
รายงานเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่จะช่วยลดความตึงเครียดด้านภาษีชั่วคราว เป็นปัจจัยบวกต่อตลาด อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังรอดูความชัดเจนในรายละเอียดของข้อตกลง ความไม่แน่นอนในประเด็นนี้ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความผันผวนให้กับตลาด โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการนำเข้าจากจีน
ตลาดกำลังรอติดตามผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่อย่าง Walmart ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจโดยรวมและพฤติกรรมของผู้บริโภค ผลประกอบการที่ดีกว่าคาดจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งแม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากนโยบายการค้าและอัตราดอกเบี้ยที่สูง
หุ้น UnitedHealth ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีน้ำหนักมากที่สุดในดัชนี Dow Jones มีราคาลดลงถึง 8% ในช่วงการซื้อขายนอกเวลา หลังจาก Wall Street Journal รายงานว่าบริษัทอยู่ระหว่างการสอบสวนเกี่ยวกับการฉ้อโกง Medicare เหตุการณ์นี้เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันดัชนี US30 ในช่วงที่ผ่านมา และอาจยังคงส่งผลต่อเนื่องหากมีพัฒนาการเชิงลบเพิ่มเติม
นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเงินเฟ้อระดับค้าส่ง (wholesale inflation) และยอดขายปลีกที่จะประกาศในช่วงเย็น ซึ่งจะช่วยเติมเต็มภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ข้อมูลเหล่านี้จะมีผลต่อการคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของ Fed และส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี US30 ในระยะสั้น
เหตุการณ์เศรษฐกิจเหล่านี้สร้างทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับนักเทรด โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การติดตามและวิเคราะห์ผลกระทบของปัจจัยเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาพตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคของดัชนี US30 จากหลายกรอบเวลาจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของแนวโน้มตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้:
ในกรอบเวลารายวัน ดัชนี US30 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาวที่ยังคงอยู่ แม้จะมีการพักฐานระยะสั้นในช่วงที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของราคาเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (SMA 200) บ่งชี้ว่าแนวโน้มหลักยังเป็นบวก อย่างไรก็ตาม ค่า RSI ที่อยู่ในระดับกลาง (ประมาณ 50-55) แสดงถึงการเคลื่อนไหวแบบทรงตัว ไม่ได้อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป
MACD ในกรอบเวลารายวันเริ่มแสดงสัญญาณของการอ่อนแรงลง โดยเส้น Histogram มีขนาดที่ลดลง บ่งชี้ถึงการลดลงของโมเมนตัมขาขึ้น แต่ยังไม่มีการตัดกันของเส้น MACD และ Signal Line ซึ่งหากเกิดขึ้นจะเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้มที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
รูปแบบการเกิด Up Fractal และ Down Fractal ในช่วงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงจุดกลับตัวสำคัญที่ระดับ 42,400 จุด (Up Fractal) และ 41,200 จุด (Down Fractal) ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญในการติดตาม
ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง ดัชนี US30 กำลังเคลื่อนไหวในกรอบระหว่างแนวรับ 41,300 จุด และแนวต้าน 42,400 จุด การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงนี้มีลักษณะการแกว่งตัวในกรอบ (Sideways) มากกว่าการแสดงแนวโน้มที่ชัดเจน
ค่า RSI ในกรอบ H4 อยู่ที่ประมาณ 45-50 แสดงถึงการเคลื่อนไหวที่ใกล้จุดสมดุล ไม่ได้อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป ในขณะที่ Stochastic (%K และ %D) กำลังเคลื่อนตัวขึ้นจากโซนขายมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบวกในระยะสั้น
การเกิด Regular Bullish Pattern ล่าสุดที่บริเวณใกล้แนวรับ 41,500 จุด เป็นสัญญาณที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดที่มองหาโอกาสเข้าซื้อ แต่ควรรอการยืนยันจากปริมาณการซื้อขายและการเคลื่อนไหวของราคาที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในกรอบเวลาที่สั้นลงมา การเคลื่อนไหวของราคามีความผันผวนสูงขึ้น แต่ยังคงอยู่ในกรอบใหญ่ที่กล่าวถึงในกรอบเวลาที่ยาวกว่า การตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น (SMA 10-20) และระยะกลาง (SMA 50) ในกรอบเวลา H1 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาลงระยะสั้นที่กำลังเกิดขึ้น
ค่า MACD ในกรอบเวลา H1 และ M30 แสดงสัญญาณขาลงที่ชัดเจนกว่า โดยเส้น MACD ได้ตัดลงต่ำกว่าเส้น Signal Line แล้ว และ Histogram มีค่าเป็นลบ อย่างไรก็ตาม RSI ในกรอบเวลา M30 เริ่มแสดงสัญญาณของการแตะระดับขายมากเกินไป (oversold) ที่ต่ำกว่า 30 ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นตัวระยะสั้นได้
กรอบเวลาที่สั้นที่สุดแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวเชิงเทคนิคที่รวดเร็วกว่า โดยในช่วงที่ผ่านมา มีการเกิด Regular Bearish Pattern หลายจุดในกรอบเวลา M15 และ M5 บ่งชี้ถึงแรงขายระยะสั้นที่เข้ามาในตลาด
Stochastic ในกรอบเวลา M5 มีการตัดกันของเส้น %K และ %D ในโซนขายมากเกินไป และเริ่มเคลื่อนตัวขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวระยะสั้นมาก อย่างไรก็ตาม นักเทรดควรระมัดระวังเนื่องจากการเคลื่อนไหวในกรอบเวลาสั้นมักมีความผันผวนสูงและอาจเป็นเพียงการปรับตัวชั่วคราวในแนวโน้มขาลงที่ใหญ่กว่า
จากการวิเคราะห์กราฟทุกกรอบเวลา เราสามารถสรุปได้ว่าดัชนี US30 กำลังเคลื่อนไหวในกรอบระยะกลาง โดยมีแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว แต่กำลังเผชิญกับแรงกดดันขาลงในระยะสั้น การทดสอบแนวรับสำคัญที่ 41,300-41,500 จุดจะเป็นจุดสำคัญที่กำหนดทิศทางในอนาคตอันใกล้ นักเทรดระยะสั้นควรระมัดระวังการเคลื่อนไหวที่ผันผวนและอาจพิจารณารอการยืนยันจากหลายตัวบ่งชี้ก่อนเข้าเทรด ขณะที่นักลงทุนระยะกลางถึงยาวยังสามารถมองภาพใหญ่ของแนวโน้มขาขึ้นที่ยังคงอยู่ แต่ควรเตรียมแผนรับมือหากตลาดมีการปรับฐานเพิ่มเติม
การระบุระดับแนวต้านที่มีนัยสำคัญเป็นส่วนสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์การเทรด ดัชนี US30 มีแนวต้านหลายระดับที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ โดยเรียงลำดับจากระดับใกล้ไปไกล ดังนี้:
แนวต้านระยะสั้นที่สำคัญที่สุดในขณะนี้อยู่ที่บริเวณ 42,200-42,400 จุด ซึ่งตรงกับจุดสูงสุดล่าสุดที่ 42,410.10 จุด ที่ดัชนีทำไว้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา การที่ราคาไม่สามารถยืนเหนือระดับนี้ได้และมีการปรับตัวลงหลังจากที่ทดสอบแนวต้านดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงแรงขายที่เข้ามาในบริเวณนี้
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคในกรอบเวลา H4 พบว่า บริเวณนี้ยังเป็นพื้นที่ที่มีการเกิด Up Fractal ซึ่งเป็นการยืนยันความสำคัญของแนวต้านนี้ นอกจากนี้ ค่า RSI ในกรอบเวลา H1 เมื่อราคาอยู่ที่ระดับนี้มีค่าสูงเกิน 70 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ทำให้มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลงเมื่อทดสอบระดับนี้
หากราคาสามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงและสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งว่าแนวโน้มขาขึ้นมีโอกาสดำเนินต่อไปสู่แนวต้านถัดไป
แนวต้านระดับที่สองอยู่ที่ช่วง 42,500-42,700 จุด ซึ่งถือเป็นระดับสำคัญทางจิตวิทยาและเป็นระดับที่มีการเกิด Regular Bearish Pattern ในกรอบเวลา D1 ในอดีต ระดับนี้ยังสอดคล้องกับการวัดระยะ Fibonacci Extension ของการเคลื่อนไหวในรอบก่อนหน้า
ในกรอบเวลา H4 และ D1 บริเวณนี้มีเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (SMA 200) ผ่าน ซึ่งมักจะทำหน้าที่เป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มไม่ชัดเจน การทะลุผ่านระดับนี้จะเป็นการส่งสัญญาณที่แข็งแกร่งว่าแนวโน้มขาขึ้นได้กลับมาอีกครั้ง
ระดับ 43,000 จุดเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญ เนื่องจากเป็นระดับตัวเลขกลมที่นักลงทุนให้ความสำคัญ และเป็นระดับที่เคยมีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างผันผวนในอดีต
การเคลื่อนไหวเหนือระดับนี้จะเป็นสัญญาณที่สำคัญสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว และอาจนำไปสู่การปรับเพิ่มเป้าหมายราคาของนักวิเคราะห์หลายราย ซึ่งปัจจุบันมีการคาดการณ์ว่าดัชนี US30 จะลดลงเหลือ 40,499 จุดภายในสิ้นไตรมาสนี้ตามข้อมูลจาก Trading Economics
แนวต้านระยะยาวที่สำคัญอยู่ที่ช่วง 43,500-43,800 จุด ซึ่งเป็นบริเวณจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ของดัชนี US30 ก่อนที่จะมีการปรับฐานในช่วงต้นปี 2025 ระดับนี้จะเป็นเป้าหมายระยะยาวสำหรับนักลงทุนหากแนวโน้มขาขึ้นยังคงมีความแข็งแกร่ง
ในกรอบเวลา D1 บริเวณนี้มีการสะสมของ Up Fractal หลายจุด ซึ่งบ่งชี้ถึงแรงต้านที่มีนัยสำคัญ การทะลุผ่านระดับนี้จะเป็นสัญญาณของการทำจุดสูงสุดใหม่ทางประวัติศาสตร์ (All-time High) ซึ่งมักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งเพิ่มเติม
สำหรับนักเทรดระยะสั้น แนวต้านที่ 42,200-42,400 จุด เป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับการพิจารณาเข้าขาย โดยเฉพาะหากมีสัญญาณการอ่อนแรงของราคาเมื่อเข้าใกล้ระดับนี้ เช่น การเกิด Regular Bearish Pattern หรือค่า RSI ที่แสดงการลู่เข้า (Divergence)
สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ควรติดตามการทดสอบแนวต้านที่ 42,500-42,700 จุด และ 43,000 จุด อย่างใกล้ชิด การทะลุผ่านระดับเหล่านี้ด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงจะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการถือครองหรือเพิ่มสถานะซื้อ
ในทุกกรณี การใช้การยืนยันจากตัวบ่งชี้อื่นๆ เช่น MACD, Stochastic และปริมาณการซื้อขาย จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ และลดความเสี่ยงจากการเข้าเทรดผิดจังหวะ นอกจากนี้ การตั้งคำสั่งหยุดขาดทุน (Stop Loss) ที่เหมาะสมเหนือแนวต้านสำคัญเล็กน้อยจะช่วยจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่ราคาเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
การระบุระดับแนวรับที่มีนัยสำคัญมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการวางแผนกลยุทธ์การเทรด โดยเฉพาะในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงเช่นปัจจุบัน ดัชนี US30 มีแนวรับสำคัญหลายระดับที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนี้:
แนวรับที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันอยู่ที่บริเวณ 41,300-41,500 จุด ซึ่งเดิมเคยเป็นแนวต้านสำคัญที่ดัชนีสามารถทะลุผ่านขึ้นมาได้ในช่วงที่ผ่านมา ตามหลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค แนวต้านเก่าเมื่อถูกทะลุผ่านขึ้นมาแล้วมักจะกลายเป็นแนวรับใหม่ที่มีความสำคัญ
ในกรอบเวลา H4 และ D1 พบว่าบริเวณนี้มีการเกิด Down Fractal หลายจุด และมีเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะกลาง (SMA 50) วิ่งผ่าน ซึ่งมักจะทำหน้าที่เป็นแนวรับทางเทคนิคที่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ในกรอบเวลา H1 เมื่อราคาทดสอบระดับนี้ มักจะมีการเกิด Regular Bullish Pattern ซึ่งเป็นสัญญาณของการกลับตัวขึ้น
การทดสอบและยืนได้ที่แนวรับนี้จะเป็นสัญญาณที่ดีว่าแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางยังมีความแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน หากราคาหลุดแนวรับนี้ลงไปพร้อมปริมาณการซื้อขายที่สูง อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดมีโอกาสปรับฐานลึกขึ้น
ระดับ 41,000 จุดเป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญ เนื่องจากเป็นระดับตัวเลขกลมที่นักลงทุนให้ความสำคัญ ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ราคาเคยมีการทดสอบระดับนี้หลายครั้งและสามารถฟื้นตัวขึ้นได้
ในกรอบเวลา D1 บริเวณนี้มีการเกิด Down Fractal ที่สำคัญและมีปริมาณการซื้อขายที่สูงในช่วงที่ราคาฟื้นตัวจากระดับนี้ นอกจากนี้ ค่า RSI เมื่อราคาอยู่ที่ระดับนี้มักจะต่ำกว่า 30 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ทำให้มีโอกาสที่ราคาจะฟื้นตัวขึ้น
การที่ราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้จะเป็นสัญญาณสำคัญสำหรับนักลงทุนระยะกลาง แต่หากราคาหลุดลงต่ำกว่านี้ อาจเป็นสัญญาณของการปรับฐานที่ลึกขึ้น และนำไปสู่การทดสอบแนวรับถัดไป
แนวรับระดับที่สามอยู่ที่ช่วง 40,400-40,600 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของ Trading Economics ที่ระบุว่าดัชนี US30 จะอยู่ที่ระดับ 40,499 จุดภายในสิ้นไตรมาสนี้ ระดับนี้ยังสอดคล้องกับแนวรับที่สำคัญทางเทคนิคในช่วงต้นปี 2025
ในกรอบเวลา D1 บริเวณนี้มีเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (SMA 200) วิ่งผ่าน ซึ่งมักจะทำหน้าที่เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว การที่ราคาหลุดลงต่ำกว่าระดับนี้จะเป็นสัญญาณที่น่ากังวลสำหรับแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว
แนวรับระยะยาวที่สำคัญอยู่ที่ช่วง 39,000-39,200 จุด ซึ่งเป็นบริเวณที่เคยมีการเคลื่อนไหวที่สำคัญในอดีตและเป็นจุดที่ราคามีการฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงการปรับฐานครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้
ระดับนี้ยังเป็นการวัดระยะ Fibonacci Retracement ที่ 50% ของการเคลื่อนไหวขาขึ้นตั้งแต่จุดต่ำสุดในปี 2024 ซึ่งมักจะเป็นระดับที่มีแรงซื้อเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ การทดสอบระดับนี้มักจะพบในช่วงการปรับฐานที่รุนแรงภายในแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว
แนวรับระยะยาวที่ลึกที่สุดอยู่ที่ช่วง 38,300-38,500 จุด ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ Trading Economics ที่ระบุว่าดัชนี US30 อาจลดลงเหลือ 38,327 จุดในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ระดับนี้ถือเป็นแนวรับสุดท้ายสำหรับแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว
การที่ราคาหลุดต่ำกว่าระดับนี้จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลงในระยะยาว และอาจนำไปสู่การปรับลดเป้าหมายราคาของนักวิเคราะห์หลายราย
สำหรับนักเทรดระยะสั้น แนวรับที่ 41,300-41,500 จุด เป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับการพิจารณาเข้าซื้อ โดยเฉพาะเมื่อมีสัญญาณยืนยันทางเทคนิค เช่น การเกิด Regular Bullish Pattern หรือค่า RSI ที่แสดงการฟื้นตัวจากภาวะขายมากเกินไป
สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ควรติดตามการทดสอบแนวรับที่ 41,000 จุด และ 40,400-40,600 จุด อย่างใกล้ชิด การที่ราคาสามารถยืนเหนือระดับเหล่านี้ได้จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเข้าสะสมหรือเพิ่มสถานะซื้อ
ในทุกกรณี การใช้การยืนยันจากปริมาณการซื้อขายและรูปแบบแท่งเทียนจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ รวมถึงการตั้งคำสั่งหยุดขาดทุน (Stop Loss) ที่เหมาะสมใต้แนวรับสำคัญเล็กน้อยจะช่วยจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่ตลาดหลุดแนวรับลงไป
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นส่วนสำคัญในการประเมินทิศทางของดัชนี US30 ในระยะกลางถึงระยะยาว โดยปัจจัยเหล่านี้มักส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นตัวกำหนดแนวโน้มหลักที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวทางเทคนิคในระยะสั้น ปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่มีผลต่อดัชนี US30 ในปัจจุบันมีดังนี้:
เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับสภาวะที่ซับซ้อน โดยตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดที่ต่ำกว่าคาดการณ์แสดงให้เห็นถึงทิศทางที่ดีขึ้นในการควบคุมเงินเฟ้อ แต่ก็อาจสะท้อนถึงการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ข้อมูลเงินเฟ้อระดับผู้บริโภค (CPI) และระดับผู้ผลิต (PPI) ล่าสุดได้สร้างความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจชะลอหรือเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง แม้จะมีสัญญาณของการชะลอตัวบ้าง อัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำทางประวัติศาสตร์ และการเติบโตของค่าจ้างยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี ซึ่งช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนและการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม
การคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายของ Fed มีบทบาทสำคัญต่อทิศทางของตลาด นักลงทุนกำลังจับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ Fed เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดยตลาดคาดการณ์ว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหนึ่งหรือสองครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 หากเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ข้อตกลงระงับการเก็บภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นเวลา 90 วัน สร้างความหวังว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกจะบรรเทาลง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงระมัดระวังเนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียดของข้อตกลงและความยั่งยืนของข้อตกลงดังกล่าว
ความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าส่งผลกระทบโดยตรงต่อหลายบริษัทใน Dow Jones โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต ค้าปลีก และเทคโนโลยี ซึ่งมีห่วงโซ่อุปทานที่พึ่งพาการนำเข้าจากจีน การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าอาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ราคาสินค้า และกำไรของบริษัทเหล่านี้
ฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดโดยรวมแสดงผลที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังคงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงแสดงการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทเช่น Microsoft ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Dow Jones มีผลประกอบการที่เกินความคาดหมายจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI
อย่างไรก็ตาม กรณีของ UnitedHealth Group ซึ่งเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักมากที่สุดในดัชนี Dow Jones สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน โดยราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างมากหลังจากมีรายงานว่าบริษัทอยู่ระหว่างการสอบสวนเกี่ยวกับการฉ้อโกง Medicare ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันดัชนี US30 ในช่วงที่ผ่านมา
นักลงทุนกำลังจับตาผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่อย่าง Walmart ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสภาพเศรษฐกิจโดยรวมและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ผลประกอบการที่ดีกว่าคาดจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งแม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากนโยบายการค้าและอัตราดอกเบี้ยที่สูง
การเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่สำคัญกับดัชนี US30 โดยในช่วงที่ผ่านมา ดอลลาร์ได้ชดเชยการสูญเสียหลังจากที่สหรัฐฯ ยืนยันว่าไม่ได้ใช้สกุลเงินเป็นเครื่องมือต่อรองในข้อตกลงทางการค้า การแข็งค่าของดอลลาร์มักส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทสหรัฐฯ ที่มีรายได้จากต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงหลายบริษัทใน Dow Jones
ราคาทองคำปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในสินทรัพย์เสี่ยง และความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินของ Fed ที่อาจไม่เข้มงวดเท่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ การเคลื่อนไหวของราคาทองคำมักเป็นตัวบ่งชี้ระดับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในตลาดโลก
ตลาดหุ้นเอเชียมีการปรับตัวลงในช่วงเช้าวันที่ 15 พฤษภาคม โดยดัชนี Nikkei ของญี่ปุ่นลดลง 0.99% และ Hang Seng ที่ฮ่องกงลดลง 0.51% ซึ่งอาจสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นมักมีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของดัชนี US30 ในระยะสั้นถึงระยะกลาง
สถาบัน Trading Economics คาดการณ์ว่าดัชนี US30 จะอยู่ที่ระดับ 40,499 จุดภายในสิ้นไตรมาสนี้ และอาจลดลงเหลือ 38,327 จุดในอีกหนึ่งปีข้างหน้า สะท้อนถึงมุมมองที่ระมัดระวังเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดหุ้นในระยะกลาง
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในประเทศจีนและยุโรป รวมถึงการมาถึงของเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI อาจช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในดัชนี Dow Jones ในระยะยาว นอกจากนี้ การปรับตัวของบริษัทต่อสภาพแวดล้อมทางการค้าและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดประสิทธิภาพในอนาคต
การติดตามปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองที่ครอบคลุมและสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นปัจจุบัน
ดัชนี US30 (Dow Jones Industrial Average) กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ โดยมีปัจจัยทั้งเชิงบวกและเชิงลบที่ส่งผลต่อทิศทางของตลาด จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานที่ได้นำเสนอไปแล้ว สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้:
ดัชนีปิดที่ระดับ 42,051.06 จุด ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2025 ลดลง 0.21% จากวันก่อนหน้า และกำลังเคลื่อนไหวในกรอบระหว่างแนวรับ 41,300-41,500 จุด และแนวต้าน 42,200-42,400 จุด การที่ดัชนีสามารถทะลุแนวต้านสำคัญในโซน 41,300-41,500 จุดขึ้นมาได้ในช่วงที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่มีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีไม่สามารถยืนเหนือระดับ 42,400 จุดได้อย่างมั่นคง บ่งชี้ว่ายังมีแรงขายที่เข้ามาในบริเวณนี้
แนวโน้มระยะยาวของดัชนี US30 ยังคงเป็นบวก สังเกตได้จากการเคลื่อนไหวของราคาเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (SMA 200) ในกรอบเวลารายวัน แต่ในระยะสั้นถึงระยะกลาง ดัชนีกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และความกังวลเกี่ยวกับหุ้น UnitedHealth ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีน้ำหนักมากที่สุดในดัชนี
ปัจจัยบวกที่สนับสนุนตลาดในขณะนี้ ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed และข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่อาจช่วยลดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ
จากการวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน เราสามารถให้คำแนะนำในการเทรดดัชนี US30 สำหรับเทรดเดอร์ในแต่ละระดับได้ดังนี้:
สุดท้ายนี้ การจัดการความเสี่ยงถือเป็นปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จในการเทรด นักลงทุนควรจำกัดความเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง มีการตั้งคำสั่งหยุดขาดทุน (Stop Loss) ที่เหมาะสม และไม่ใช้เงินทุนมากเกินไปในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง ตลาดการเงินมีความซับซ้อนและไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ 100% ดังนั้น การติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างต่อเนื่อง การวิเคราะห์ทั้งในเชิงเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน และการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น