หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
คู่เงิน USDJPY กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ณ วันที่ 17 เมษายน 2025 โดยมีการเคลื่อนไหวในกรอบขาลงที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ปัจจุบัน ราคาเคลื่อนตัวอยู่ในบริเวณ 142.74-143.55 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำคัญทั้ง SMA และ EMA ในหลายกรอบเวลา สะท้อนให้เห็นว่าแรงขายยังคงมีอิทธิพลเหนือตลาดในช่วงนี้
เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนคู่เงินนี้ ค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) กลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก ทำให้เกิดการไหลเข้าของเงินทุนสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ในขณะเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) กลับอ่อนค่าลงจากความวิตกเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 125% ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งสร้างความกังวลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอย
อีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อ USDJPY คือความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ในขณะที่ Fed อยู่ภายใต้แรงกดดันให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดอนุพันธ์บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ 44% ที่จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤษภาคม และอาจลดลงรวม 1% ภายในสิ้นปี 2025 ในทางกลับกัน BoJ กลับแสดงท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น โดยมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อควบคุมเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ความแตกต่างนี้ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศแคบลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้เงินเยนแข็งค่าต่อเนื่อง
ในแง่ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ทั้งกราฟรายวัน (D1) และรายสัปดาห์แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน โดยมีการเกิดรูปแบบกราฟแบบ “Triangle” หรือสามเหลี่ยม ซึ่งบ่งชี้ถึงการสะสมแรงซื้อขายก่อนที่จะเกิดการเบรกเอาท์ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ค่า RSI อยู่ในโซนใกล้ขายมากเกินไป (Oversold) ที่ระดับ 38-47 ซึ่งอาจนำไปสู่การดีดตัวกลับทางเทคนิคในระยะสั้น แต่ยังไม่มีสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจนจากตัวชี้วัดอื่นๆ โดยเฉพาะ MACD ที่ยังคงเคลื่อนไหวในโซนลบและเส้นสัญญาณยังไม่ตัดขึ้น
มุมมองในระยะสั้น เราอาจเห็นความผันผวนสูงและการทดสอบระดับแนวต้านสำคัญที่ 143.25 ก่อนที่จะเกิดแรงขายต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่แนวรับ 141.05 และ 138.65 ตามลำดับ ในระยะกลาง หากปัจจัยพื้นฐานยังคงเป็นลบต่อดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่า USDJPY จะมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่บริเวณ 138-140 เยน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามปัจจัยสำคัญ เช่น การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น รวมถึงท่าทีของธนาคารกลางทั้งสองประเทศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอย่างรวดเร็ว
โดยสรุป มุมมองโดยรวมต่อคู่เงิน USDJPY ยังคงเป็นลบในช่วงนี้ จากทั้งปัจจัยทางเทคนิคและพื้นฐานที่สนับสนุนแนวโน้มขาลง ซึ่งเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์สามารถพิจารณากลยุทธ์การเทรดทางฝั่งขาย (Short) โดยเน้นการเข้าซื้อเมื่อราคาดีดตัวขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญ หรือการเข้าซื้อเมื่อราคาเบรกลงต่ำกว่าแนวรับสำคัญ โดยตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) อย่างรัดกุมเพื่อบริหารความเสี่ยงในสภาวะตลาดที่ผันผวนสูงเช่นนี้
การเคลื่อนไหวของคู่เงิน USDJPY ในช่วงนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญทั้งในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้าและการเงินที่สร้างแรงกระเพื่อมในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ เราจะมาพิจารณาเหตุการณ์สำคัญที่ผ่านมาและที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งส่งผลโดยตรงต่อทิศทางของคู่เงินนี้
การประกาศนโยบายภาษีใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดต่อตลาดในช่วงนี้ การเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจาก 104% เป็น 125% พร้อมกับการลดภาษีชั่วคราวให้กับประเทศอื่นๆ หลายสิบประเทศ ได้สร้างความวิตกกังวลอย่างมากต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก มาตรการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะสร้างภาวะถดถอยในสหรัฐฯ จากการที่ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้นและห่วงโซ่อุปทานโลกเผชิญแรงกดดัน
ผลกระทบของนโยบายภาษีนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การค้าระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนจากตลาดสหรัฐฯ ไปยังตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะยุโรปและเอเชีย นักลงทุนต่างชาติเริ่มลดการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (USD Index) อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ปัจจัยนี้เป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ USDJPY เคลื่อนไหวในทิศทางขาลง
ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนคู่เงิน USDJPY ในขณะที่ Fed อยู่ภายใต้แรงกดดันให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดอนุพันธ์บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ 44% ที่จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนพฤษภาคม และอาจลดลงรวม 1% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว
ในทางกลับกัน ธนาคารกลางญี่ปุ่นกลับแสดงท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น โดยมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2025 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินญี่ปุ่น ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างสองประเทศนี้ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยแคบลง ส่งผลให้เงินเยนได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมและกดดัน USDJPY ให้ปรับตัวลดลง
การแถลงล่าสุดของประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์ ยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินดอลลาร์ในระยะสั้นถึงกลาง นักลงทุนจึงควรติดตามการแถลงของเจ้าหน้าที่ Fed และรายงานการประชุมอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของญี่ปุ่นแสดงสัญญาณการฟื้นตัวบางส่วน โดยเฉพาะคำสั่งซื้อเครื่องจักรหลัก (core machinery orders) ที่เพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ โดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สะท้อนถึงความเปราะบางของภาคการผลิตที่ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ในฝั่งสหรัฐฯ ข้อมูลยอดค้าปลีก (Retail Sales) ล่าสุดชะลอตัวลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและแรงกดดันจากนโยบายภาษีใหม่ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ Fed พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในช่วงสัปดาห์ต่อไปนี้ มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของ USDJPY:
เหตุการณ์เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคาดการณ์ทิศทางของ USDJPY ในระยะสั้นถึงกลาง หากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดหรือมีสัญญาณว่า Fed จะเร่งลดอัตราดอกเบี้ย อาจส่งผลให้ USDJPY ปรับตัวลงต่อเนื่อง ในทางกลับกัน หากมีข้อมูลเชิงบวกที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งกว่าที่คาด อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของดอลลาร์และสนับสนุนการฟื้นตัวของ USDJPY
โดยสรุป เหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่ผ่านมาและที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะนโยบายภาษีและการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง Fed และ BoJ มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการแข็งค่าของเงินเยนและการอ่อนค่าของดอลลาร์ ส่งผลให้ USDJPY มีแนวโน้มขาลงในระยะสั้นถึงกลาง นักลงทุนควรติดตามปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
การวิเคราะห์กราฟของคู่เงิน USDJPY แบบละเอียดจะช่วยให้เราเข้าใจทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเราใช้หลักการวิเคราะห์แบบ Multi-timeframe (MTF) เพื่อให้ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์ของแนวโน้มในทุกกรอบเวลา ตั้งแต่กรอบเวลาเล็ก (M5, M15, M30) ไปจนถึงกรอบเวลาใหญ่ (H1, H4, D1)
ในกรอบเวลารายวัน USDJPY แสดงแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน ราคาซื้อขายต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำคัญทั้งหมด โดยเฉพาะ SMA 50 และ SMA 200 วัน ซึ่งเป็นสัญญาณยืนยันว่าแนวโน้มขาลงหลักยังคงมีความแข็งแกร่ง ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาได้สร้างจุดสูงสุดที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า (Lower High) และจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า (Lower Low) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นรูปแบบคลาสสิกของแนวโน้มขาลง
ที่น่าสนใจคือ ราคากำลังเคลื่อนตัวในรูปแบบ “Triangle” หรือสามเหลี่ยม ซึ่งแสดงถึงการบีบตัวของราคาและการสะสมแรงซื้อขายก่อนที่จะเกิดการเบรกเอาท์ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มหลักที่เป็นขาลง มีความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะเบรกลงและเคลื่อนตัวลงต่อไปหลังจากรูปแบบนี้เสร็จสมบูรณ์
กราฟ 4 ชั่วโมงสอดคล้องกับกรอบเวลารายวัน โดยแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนตัวในช่องแคบลงเรื่อยๆ ที่มีแนวโน้มลดลง ราคาทดสอบแนวต้านที่ 143.25 หลายครั้งแต่ไม่สามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง แสดงให้เห็นถึงแรงขายที่ยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ระดับ Fibonacci Retracement จากจุดสูงสุดล่าสุดไปยังจุดต่ำสุดล่าสุดแสดงให้เห็นว่าแนวต้านที่ 143.25 สอดคล้องกับระดับ 50% Fibonacci Retracement ซึ่งมักเป็นระดับที่สำคัญในการกลับตัวของราคา
ในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง เราเห็นรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยมีการสลับระหว่างช่วงแกว่งตัวแคบๆ และการเคลื่อนไหวแบบมีทิศทางชัดเจน (Directional Move) ในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ราคาพยายามดีดตัวขึ้น แต่ถูกต้านที่แนวต้าน 143.25 และเริ่มอ่อนตัวลงอีกครั้ง ซึ่งยืนยันแนวโน้มขาลงในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า แนวรับสำคัญในกรอบเวลานี้อยู่ที่ 142.30 และ 141.80
กรอบเวลาเล็กให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวระยะสั้นและโอกาสในการเทรดระยะสั้น ในกรอบเวลา M30 และ M15 ราคากำลังอยู่ในรูปแบบ “Lower Highs, Lower Lows” อย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มแสดงสัญญาณของการสะสมแรงซื้อในช่วงสั้นๆ โดยเฉพาะในกรอบเวลา M5 ที่ราคาพยายามสร้าง “Higher Lows” ในช่วง 2-3 ชั่วโมงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การดีดตัวนี้ยังไม่มีแรงซื้อมากพอที่จะเปลี่ยนแนวโน้มในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า
RSI ในกรอบเวลารายวัน (D1) อยู่ที่ระดับ 38-47 ซึ่งใกล้เข้าสู่โซนขายมากเกินไป (Oversold) ที่ 30 แต่ยังไม่ถึงระดับนั้น ในกรอบเวลา H4 และ H1 RSI แสดงการฟื้นตัวเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ต่ำกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงขายยังคงมีอิทธิพลมากกว่าแรงซื้อ ที่น่าสังเกตคือ ไม่มีการเกิด Bullish Divergence ในกราฟ RSI ที่จะเป็นสัญญาณการกลับตัวขาขึ้น แสดงว่าแนวโน้มขาลงยังคงแข็งแกร่ง
MACD ในทุกกรอบเวลาตั้งแต่ H1 จนถึง D1 ยังคงอยู่ในโซนลบ และเส้น MACD ยังคงอยู่ต่ำกว่าเส้น Signal ซึ่งเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลงที่ยังดำเนินอยู่ Histogram ของ MACD ในกรอบเวลาเล็ก (M15-M30) เริ่มแสดงการหดตัวของค่าลบ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการลดลงของโมเมนตัมขาลงในระยะสั้น แต่ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างการกลับตัวในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า
ค่า %K และ %D ในกรอบเวลา D1 และ H4 ยังคงอยู่ในโซนล่าง (ต่ำกว่า 30) แสดงถึงสภาวะขายมากเกินไป แต่ยังไม่มีสัญญาณการตัดขึ้นที่ชัดเจน ในกรอบเวลา H1 และต่ำกว่า เริ่มเห็นการตัดขึ้นของเส้น %K เหนือเส้น %D ซึ่งอาจเป็นสัญญาณการดีดตัวทางเทคนิคในระยะสั้น แต่ควรได้รับการยืนยันจากตัวชี้วัดอื่นๆ และการเคลื่อนไหวของราคา
รูปแบบสามเหลี่ยมที่เกิดขึ้นในกรอบเวลารายวันและ H4 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคาดการณ์ทิศทางในระยะถัดไป ขอบบนของสามเหลี่ยมอยู่ที่ประมาณ 143.50-144.00 ขณะที่ขอบล่างอยู่ที่ประมาณ 141.50-142.00 โดยราคาปัจจุบันอยู่ใกล้จุดตัดของเส้นแนวโน้มทั้งสอง
หากราคาเบรกลงต่ำกว่าขอบล่างของสามเหลี่ยมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งว่าแนวโน้มขาลงจะดำเนินต่อไป โดยมีเป้าหมายทางเทคนิคที่ประมาณ 139.00-140.00 (คำนวณจากความสูงของสามเหลี่ยมจากจุดเริ่มต้นถึงจุดเบรก) ในทางกลับกัน หากราคาเบรกขึ้นเหนือขอบบนของสามเหลี่ยม อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวขาขึ้นในระยะสั้น แต่ยังต้องยืนเหนือระดับ 144.65 เพื่อยืนยันการกลับตัวอย่างสมบูรณ์
ในกรอบเวลา H1 เริ่มเห็นการก่อตัวของรูปแบบ Double Bottom ที่ระดับ 141.80-142.00 ซึ่งหากสมบูรณ์ อาจนำไปสู่การดีดตัวขึ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม รูปแบบนี้จะได้รับการยืนยันก็ต่อเมื่อราคาเบรกขึ้นเหนือจุดกลางระหว่างก้นทั้งสอง (neckline) ที่ประมาณ 142.60-142.80 ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
ในระยะสั้น USDJPY มีโอกาสเกิดการดีดตัวทางเทคนิคจากสภาวะขายมากเกินไปในหลายกรอบเวลา โดยอาจดีดขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 143.25 อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การดีดตัวนี้น่าจะเป็นเพียงการพักตัวชั่วคราวในแนวโน้มขาลงหลัก เว้นแต่จะมีปัจจัยพื้นฐานใหม่ที่สนับสนุนการกลับตัวอย่างมีนัยสำคัญ
ในระยะกลาง แนวโน้มยังคงเป็นขาลงอย่างชัดเจน โดยมีเป้าหมายทางเทคนิคที่ 138.65-139.70 ซึ่งเป็นระดับแนวรับสำคัญจากการเคลื่อนไหวในอดีต การเบรกลงของรูปแบบสามเหลี่ยมจะเป็นตัวเร่งสำคัญที่จะผลักดันราคาลงสู่เป้าหมายดังกล่าว
เมื่อพิจารณาจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคทั้งหมด มุมมองโดยรวมต่อ USDJPY ยังคงเป็นลบในทั้งระยะสั้นและระยะกลาง แม้จะมีโอกาสเกิดการดีดตัวทางเทคนิคในระยะสั้น แต่แนวโน้มหลักยังคงเป็นขาลงตราบใดที่ราคายังไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านสำคัญที่ 143.25 และ 144.65 ได้อย่างมั่นคง เทรดเดอร์ควรระมัดระวังการเข้าเทรดในทิศทางตรงข้ามกับแนวโน้มหลัก และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวดในสภาวะตลาดที่ผันผวนเช่นนี้
การระบุระดับแนวต้านสำคัญเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการกำหนดกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงเช่น USDJPY ในปัจจุบัน ระดับแนวต้านเหล่านี้เป็นจุดที่มักเกิดการต้านทานของราคา และเป็นบริเวณที่เทรดเดอร์ฝั่งขายจะเข้ามามีบทบาท การทำความเข้าใจและการจดจำระดับแนวต้านสำคัญจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนการเทรดและจุดบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระดับ 143.25 ถือเป็นแนวต้านหลักที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันสำหรับคู่เงิน USDJPY โดยมีความสำคัญดังนี้:
หากราคาสามารถเบรกขึ้นและยืนเหนือระดับ 143.25 ได้อย่างมั่นคง โดยมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวขาขึ้นในระยะสั้น และเปิดทางให้ราคาไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 144.65
ระดับ 144.65 เป็นแนวต้านสำคัญอีกระดับหนึ่งที่มีนัยสำคัญทางเทคนิคดังนี้:
การเบรกขึ้นและการยืนเหนือระดับ 144.65 จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งมากขึ้นของการกลับตัวในแนวโน้มขาลงปัจจุบัน และอาจนำไปสู่การทดสอบระดับ 146.45 ในระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ราคายังไม่สามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ แนวโน้มหลักยังคงเป็นขาลง
นอกจากแนวต้านหลักสองระดับที่กล่าวมาแล้ว ยังมีแนวต้านรองอื่นๆ ที่ควรให้ความสนใจ:
143.70 – 144.00:
146.45:
ความเข้าใจถึงความสำคัญของแต่ละระดับแนวต้านจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น:
143.25 – แนวต้านระยะสั้น: ระดับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในระยะสั้น การทดสอบระดับนี้หลายครั้งและไม่สามารถยืนเหนือได้เป็นเวลานาน บ่งชี้ถึงแรงขายที่ยังคงแข็งแกร่ง ราคาอาจดีดตัวขึ้นมาทดสอบระดับนี้อีกครั้งก่อนที่จะปรับตัวลงต่อไป หากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคงเป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 วัน อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะสั้น
144.65 – แนวต้านระยะกลาง: ระดับนี้มีความสำคัญในการกำหนดแนวโน้มระยะกลาง การเบรกขึ้นและยืนเหนือระดับนี้จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งของการกลับตัวในแนวโน้มขาลงปัจจุบัน และอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเทรดจากการขาย (Sell) เป็นการซื้อ (Buy) ในระยะกลาง
146.45 – แนวต้านระยะยาว: ระดับนี้มีความสำคัญในการกำหนดแนวโน้มระยะยาว หากราคาสามารถเบรกขึ้นและยืนเหนือระดับนี้ได้ จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าแนวโน้มขาลงได้สิ้นสุดลงและอาจเริ่มแนวโน้มขาขึ้นใหม่
เมื่อราคา USDJPY เคลื่อนตัวขึ้นไปทดสอบระดับแนวต้านสำคัญ เทรดเดอร์สามารถพิจารณากลยุทธ์การเทรดดังนี้:
การเทรดที่แนวต้าน 143.25:
การเทรดที่แนวต้าน 144.65:
กรณีที่ราคาเบรกขึ้นเหนือแนวต้านสำคัญ: หากราคาสามารถเบรกขึ้นและยืนเหนือแนวต้านสำคัญ โดยเฉพาะ 144.65 ได้อย่างมั่นคง เทรดเดอร์ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนมุมมองจากขาลงเป็นขาขึ้นในระยะสั้นถึงกลาง และอาจพิจารณากลยุทธ์การเทรดในทิศทางตรงข้าม โดยเน้นการเปิดสถานะซื้อ (Buy) เมื่อราคาย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับ (แนวต้านเก่า)
โดยสรุป ระดับแนวต้านสำคัญของ USDJPY ในขณะนี้คือ 143.25 และ 144.65 ซึ่งเป็นระดับที่มีแรงขายเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นจุดที่เทรดเดอร์ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการกำหนดกลยุทธ์การเทรด ตราบใดที่ราคายังไม่สามารถยืนเหนือระดับเหล่านี้ได้อย่างมั่นคง แนวโน้มหลักยังคงเป็นขาลง และกลยุทธ์การเทรดควรเน้นไปที่การเปิดสถานะขายเมื่อราคาดีดตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้าน
การวิเคราะห์ระดับแนวรับสำคัญเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นอย่างยิ่งในการวางแผนกลยุทธ์การเทรด โดยเฉพาะในภาวะตลาดที่มีแนวโน้มขาลงชัดเจนเช่น USDJPY ในปัจจุบัน แนวรับเป็นระดับราคาที่มีแนวโน้มจะเกิดแรงซื้อเข้ามาหนุน ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาชะลอตัวหรือกลับทิศทาง การทำความเข้าใจถึงความสำคัญของแต่ละระดับแนวรับจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถกำหนดจุดเข้าซื้อที่เหมาะสม หรือวางเป้าหมายทำกำไรที่มีประสิทธิภาพสำหรับสถานะขาย
ระดับ 141.05 เป็นแนวรับสำคัญลำดับแรกที่ต้องให้ความสนใจในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีความสำคัญทางเทคนิคดังนี้:
การเบรกลงต่ำกว่าระดับ 141.05 อย่างมั่นคงจะเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ถึงการเริ่มเคลื่อนไหวลงในรอบใหม่ และอาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับถัดไปที่ 138.65 ในทางกลับกัน หากราคาดีดตัวขึ้นจากระดับนี้อย่างแข็งแกร่ง อาจเป็นโอกาสในการพิจารณาเปิดสถานะซื้อระยะสั้น โดยมีเป้าหมายที่แนวต้านใกล้เคียง
ระดับ 138.65 เป็นแนวรับสำคัญอีกระดับหนึ่งที่ควรให้ความสนใจ โดยมีความสำคัญทางเทคนิคดังนี้:
การเบรกลงต่ำกว่าระดับ 138.65 จะเป็นสัญญาณที่ยืนยันถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาลงในระยะกลางถึงยาว และอาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวลงไปทดสอบระดับ 136.50-137.00 ในระยะถัดไป
นอกจากแนวรับหลักสองระดับที่กล่าวมาแล้ว ยังมีแนวรับรองอื่นๆ ที่ควรให้ความสนใจ:
142.30 – 142.50:
139.70 – 140.00:
136.50 – 137.00:
ความเข้าใจถึงความสำคัญของแต่ละระดับแนวรับจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
141.05 – แนวรับระยะสั้น: ระดับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในระยะสั้น เนื่องจากเป็นขอบล่างของรูปแบบสามเหลี่ยมและเป็นจุดต่ำสุดในรอบล่าสุด การทดสอบระดับนี้อาจนำไปสู่การดีดตัวทางเทคนิคอีกครั้ง แต่หากเกิดการเบรกลงอย่างมั่นคง จะเป็นสัญญาณของการเริ่มเคลื่อนไหวลงในรอบใหม่
138.65 – แนวรับระยะกลาง: ระดับนี้มีความสำคัญในการกำหนดแนวโน้มระยะกลาง เป็นเป้าหมายสำคัญของการเคลื่อนไหวลงหากเกิดการเบรกลงต่ำกว่า 141.05 การทดสอบระดับนี้อาจนำไปสู่การดีดตัวอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากเป็นจุดที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาหนุน
136.50 – 137.00 – แนวรับระยะยาว: ระดับนี้มีความสำคัญในการกำหนดแนวโน้มระยะยาว เป็นเป้าหมายในระยะกลางถึงยาวหากแนวโน้มขาลงยังคงดำเนินต่อไปอย่างแข็งแกร่ง การทดสอบและการดีดตัวจากระดับนี้อาจนำไปสู่การกลับตัวที่สำคัญในแนวโน้มขาลงปัจจุบัน
เมื่อราคา USDJPY เคลื่อนตัวลงไปทดสอบระดับแนวรับสำคัญ เทรดเดอร์สามารถพิจารณากลยุทธ์การเทรดดังนี้:
การเทรดที่แนวรับ 141.05:
การเทรดที่แนวรับ 138.65:
การเทรดเมื่อเกิดการเบรกลงต่ำกว่าแนวรับสำคัญ:
การเทรดแบบทยอย (Scaling):
โดยสรุป ระดับแนวรับสำคัญของ USDJPY ในขณะนี้คือ 141.05 และ 138.65 ซึ่งเป็นระดับที่มีโอกาสจะเกิดแรงซื้อเข้ามาหนุนราคา และเป็นจุดที่เทรดเดอร์ควรให้ความสนใจในการกำหนดจุดเข้าซื้อหรือเป้าหมายทำกำไรสำหรับสถานะขาย การเข้าใจถึงความสำคัญของแต่ละระดับแนวรับ และการจับสัญญาณการกลับตัวของราคาที่แนวรับเหล่านี้ จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในสภาวะตลาดที่ผันผวนเช่นปัจจุบัน
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินทิศทางระยะกลางถึงยาวของคู่เงิน USDJPY ในขณะที่การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยในการระบุจุดเข้า-ออกตลาด ปัจจัยพื้นฐานจะเป็นตัวขับเคลื่อนแนวโน้มหลักและสร้างแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา การเข้าใจปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อ USDJPY จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้นและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve หรือ Fed) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan หรือ BOJ) เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ USDJPY ในปัจจุบัน
นโยบายการเงินของ Fed: ธนาคารกลางสหรัฐกำลังเผชิญกับแรงกดดันให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบจากนโยบายภาษีใหม่ ตลาดอนุพันธ์บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ 44% ที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤษภาคม และอาจลดลงรวม 1% ภายในสิ้นปี 2025 ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ แสดงสัญญาณการชะลอตัวในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะยอดค้าปลีกที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการบริโภคของภาคเอกชนกำลังอ่อนแอลง
การแถลงล่าสุดของประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์ ยังสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ และเปิดประตูสำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้หากจำเป็น ท่าทีที่เปลี่ยนไปนี้เป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากลดความน่าดึงดูดของการถือครองสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์
นโยบายการเงินของ BOJ: ในทางกลับกัน BOJ กลับแสดงท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น โดยมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2025 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินญี่ปุ่น BOJ ได้ยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในปีที่ผ่านมา และกำลังเดินหน้าสู่การปรับนโยบายการเงินให้เป็นปกติ (Normalization) มากขึ้น
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของญี่ปุ่นแสดงสัญญาณการฟื้นตัวบางส่วน โดยเฉพาะคำสั่งซื้อเครื่องจักรหลัก (core machinery orders) ที่เพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งสนับสนุนมุมมองของ BOJ ที่ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะมีความท้าทายจากภาคการผลิตที่ยังคงเติบโตช้า
ผลกระทบต่อ USDJPY: ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง Fed และ BOJ ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นแคบลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้เงินเยนแข็งค่าและเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยปกติแล้ว ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้นจะเป็นผลดีต่อสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า (ในกรณีนี้คือดอลลาร์) แต่เมื่อส่วนต่างแคบลงหรือคาดว่าจะแคบลงในอนาคต จะส่งผลให้สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า (ในกรณีนี้คือเยน) แข็งค่าขึ้น
แนวโน้มของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงนี้คาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดัน USDJPY ในระยะกลางถึงยาว และสนับสนุนมุมมองขาลงของคู่เงินนี้
การประกาศนโยบายภาษีใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 125% จากเดิม 104% พร้อมกับการลดภาษีชั่วคราวให้กับประเทศอื่นๆ หลายสิบประเทศ ได้สร้างความวิตกกังวลอย่างมากต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ: มาตรการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะสร้างภาวะถดถอยในสหรัฐฯ จากปัจจัยหลายประการ:
ผลกระทบเหล่านี้ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเพิ่มความเป็นไปได้ที่ Fed จะต้องลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินดอลลาร์
การไหลของเงินทุน: นโยบายภาษีและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ยังส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนจากตลาดสหรัฐฯ ไปยังตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะยุโรปและเอเชีย นักลงทุนต่างชาติเริ่มลดการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ในระยะใกล้ถึงกลาง ปรากฏการณ์นี้สังเกตได้จากการอ่อนค่าลงของดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (USD Index) อย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบต่อเงินเยน: ในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ เงินเยนญี่ปุ่นมักได้รับการพิจารณาเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven currency) เนื่องจากญี่ปุ่นมีฐานะเจ้าหนี้สุทธิของโลก และมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง ในสถานการณ์ปัจจุบัน ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกทำให้นักลงทุนหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงเงินเยน ส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น
การเปรียบเทียบสถานการณ์เศรษฐกิจในสหรัฐฯ และญี่ปุ่นช่วยให้เราเข้าใจปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อ USDJPY ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น:
สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ: เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังแสดงสัญญาณการชะลอตัวในหลายภาคส่วน ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า:
ปัจจัยเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และกดดันให้ Fed ต้องพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สถานการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่น: เศรษฐกิจญี่ปุ่นแสดงสัญญาณการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะเผชิญกับความท้าทายบางประการ:
โดยรวมแล้ว สถานการณ์เศรษฐกิจในญี่ปุ่นดูมีเสถียรภาพมากกว่าในสหรัฐฯ ซึ่งสนับสนุนมุมมองที่ว่า BOJ จะยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ในขณะที่ Fed อาจต้องพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ย
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ ช่วยให้เราเข้าใจปัจจัยที่ขับเคลื่อน USDJPY ได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น:
ความสัมพันธ์กับตลาดหุ้น: โดยทั่วไปแล้ว USDJPY มักมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น USDJPY มักจะปรับตัวขึ้นด้วย และในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลง USDJPY มักจะปรับตัวลงเช่นกัน ความสัมพันธ์นี้เกิดจากการที่เงินเยนมักถูกใช้เป็นสกุลเงินในการกู้ยืมเพื่อลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (Funding Currency) เนื่องจากมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชียเผชิญกับแรงขายอย่างหนักจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและสงครามการค้า ดัชนี S&P 500, DJIA, Nasdaq และ Russell 2000 ปิดตลาดด้วยการขาดทุนอย่างมาก ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชีย เช่น Nikkei 225 และ Kospi ร่วงลงแรงตามความวิตกต่อผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ภาวะความเสี่ยงนี้ทำให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เยนญี่ปุ่นและทองคำ ส่งผลให้ USDJPY ปรับตัวลดลง
ความสัมพันธ์กับทองคำ: ทองคำและเงินเยนมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven assets) ที่นักลงทุนหันไปในช่วงที่มีความไม่แน่นอนในตลาด ราคาทองคำในช่วงนี้ยังคงแข็งแกร่งและไม่มีสัญญาณชะลอตัว โดยเพิ่มขึ้นสู่ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในภาวะความไม่แน่นอนสูง
การเคลื่อนไหวของราคาทองคำมักมีความสัมพันธ์ผกผันกับ USDJPY ในช่วงที่ตลาดตื่นตระหนก เมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้น USDJPY มักจะปรับตัวลง ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ความสัมพันธ์กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร: ความแตกต่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเคลื่อนไหวของ USDJPY เมื่อส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนแคบลง USDJPY มักจะปรับตัวลง
ในปัจจุบัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงจากความคาดหวังที่ว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากท่าทีแข็งกร้าวของ BOJ ส่งผลให้ส่วนต่างแคบลงและกดดัน USDJPY ให้ปรับตัวลดลง
โดยสรุป ปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบัน ทั้งความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง Fed และ BOJ ผลกระทบของสงครามการค้าและนโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ สถานการณ์เศรษฐกิจในทั้งสองประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่างตลาด ล้วนสนับสนุนมุมมองขาลงของ USDJPY ในระยะสั้นถึงกลาง นักลงทุนควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะท่าทีของธนาคารกลางทั้งสองประเทศและความคืบหน้าของนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ เพื่อปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
การวิเคราะห์คู่เงิน USDJPY ได้แสดงให้เห็นถึงภาพรวมที่สอดคล้องกันทั้งในด้านปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลงที่ยังคงมีความแข็งแกร่งในระยะสั้นถึงกลาง การเคลื่อนไหวของคู่เงินนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางสหรัฐและญี่ปุ่น รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากสงครามการค้าและนโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ
ในแง่ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค USDJPY กำลังเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาลงอย่างชัดเจน โดยราคาซื้อขายต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำคัญทั้งหมด และมีการสร้างจุดสูงสุดที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า (Lower High) และจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า (Lower Low) อย่างต่อเนื่อง รูปแบบสามเหลี่ยมที่กำลังก่อตัวในกรอบเวลารายวันและ H4 มีแนวโน้มที่จะเบรกลงและนำไปสู่การเคลื่อนไหวลงต่อไป ตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ เช่น RSI, MACD และ Stochastic ยังไม่แสดงสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน แม้ว่า RSI จะเริ่มเข้าใกล้โซนขายมากเกินไป (Oversold) ก็ตาม
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่มีแนวโน้มจะลดอัตราดอกเบี้ย และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่มีท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศแคบลง ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อ USDJPY ในระยะกลางถึงยาว นอกจากนี้ นโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ และความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้ายังสร้างความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ทำให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เงินเยนและทองคำ ซึ่งส่งผลให้ USDJPY มีแนวโน้มอ่อนค่าลง
ในระยะสั้น (1-3 วัน) USDJPY อาจเกิดการดีดตัวทางเทคนิคจากสภาวะขายมากเกินไปในหลายกรอบเวลา โดยอาจดีดขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 143.25 อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การดีดตัวนี้น่าจะเป็นเพียงการพักตัวชั่วคราวในแนวโน้มขาลงหลัก เว้นแต่จะมีปัจจัยพื้นฐานใหม่ที่สนับสนุนการกลับตัวอย่างมีนัยสำคัญ
ในระยะกลาง (1-4 สัปดาห์) แนวโน้มยังคงเป็นขาลงอย่างชัดเจน โดยมีเป้าหมายทางเทคนิคที่ 138.65-139.70 ซึ่งเป็นระดับแนวรับสำคัญจากการเคลื่อนไหวในอดีต การเบรกลงของรูปแบบสามเหลี่ยมจะเป็นตัวเร่งสำคัญที่จะผลักดันราคาลงสู่เป้าหมายดังกล่าว
ในระยะยาว (1-3 เดือน) หากปัจจัยพื้นฐานยังคงเป็นลบต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed และความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ USDJPY อาจมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่องสู่ระดับ 136.50-137.00 อย่างไรก็ตาม เราควรติดตามท่าทีของธนาคารกลางทั้งสองประเทศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินอย่างมีนัยสำคัญอาจส่งผลต่อทิศทางของคู่เงินนี้
จากการวิเคราะห์ทั้งหมด เราขอแนะนำกลยุทธ์การเทรดดังนี้:
กลยุทธ์หลัก: เทรดตามแนวโน้มขาลง (Bearish Trend Following)
กลยุทธ์สำรอง: การเทรดในช่วงพักตัวระยะสั้น (Short-term Counter-trend)
สำหรับเทรดเดอร์ที่ชอบเทรดในกรอบเวลาสั้น อาจพิจารณาเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับสำคัญ เช่น 141.05 โดยมีการยืนยันจากตัวชี้วัดทางเทคนิคที่แสดงการกลับตัวจากโซนขายมากเกินไป (Oversold) แต่ควรตั้งเป้าหมายทำกำไรที่แนวต้านใกล้เคียง และใช้การบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดเนื่องจากเป็นการเทรดทวนแนวโน้มหลัก
เทรดเดอร์ควรติดตามปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อทิศทางของ USDJPY อย่างใกล้ชิด ได้แก่:
การประกาศนโยบายการเงินของ Fed และ BOJ: การเปลี่ยนแปลงท่าทีหรือการคาดการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั้งสองประเทศอาจส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อ USDJPY
ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ: โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อ การจ้างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งจะส่งผลต่อการคาดการณ์นโยบายการเงินในอนาคต
ความคืบหน้าของนโยบายการค้าและภาษี: การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะจีน อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดและการไหลของเงินทุน
ความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นและทองคำ: การปรับตัวลงอย่างรุนแรงในตลาดหุ้นหรือการพุ่งขึ้นของราคาทองคำอาจเป็นสัญญาณของการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงในตลาด ซึ่งอาจส่งผลให้ USDJPY ปรับตัวลงต่อเนื่อง
ความเสี่ยงที่อาจทำให้แนวโน้มขาลงของ USDJPY เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่:
สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่:
สำหรับเทรดเดอร์ระดับกลาง:
สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ:
โดยสรุป USDJPY มีแนวโน้มขาลงในระยะสั้นถึงกลาง โดยมีปัจจัยสนับสนุนทั้งจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน กลยุทธ์หลักควรเน้นการเทรดตามแนวโน้มขาลงนี้ โดยใช้การดีดตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านเป็นโอกาสในการเปิดสถานะขาย หรือการเบรกลงต่ำกว่าแนวรับสำคัญเป็นจุดเข้าเทรด ทั้งนี้ เทรดเดอร์ควรบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุมและติดตามปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อทิศทางของคู่เงินนี้อย่างใกล้ชิด