หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์ที่ผ่านมา (24-28 มีนาคม 2025) เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี โดยเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง แต่กลับจบลงด้วยการปรับตัวลงอย่างรุนแรงที่ล้างผลกำไรทั้งหมดที่สะสมมา ณ สิ้นวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม ตลาดคริปโตประสบกับการขายทิ้งมูลค่ารวมกว่า 115 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ Bitcoin ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 84,000 ดอลลาร์ และทำให้ดัชนี CoinDesk 20 ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดตลาดรวม ลดลงถึง 5.7%
ปัจจัยหลักที่กดดันตลาดมาจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่มีกำหนดประกาศในวันที่ 2 เมษายน หรือที่เรียกว่า “วันปลดปล่อย” (Liberation Day) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและเศรษฐกิจโลกโดยรวม นอกจากนี้ ข้อมูลดัชนีราคาใช้จ่ายส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE Price Index) ที่สูงเกินคาดยังเพิ่มความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยออกไป
ในช่วงต้นสัปดาห์ (25 มีนาคม) ตลาดคริปโตแสดงสัญญาณเชิงบวก โดย Bitcoin เพิ่มขึ้น 2.13% มาอยู่ที่ 86,930 ดอลลาร์ และ Ethereum เพิ่มขึ้น 3.73% มาที่ 2,065 ดอลลาร์ ส่วน Solana และ Chainlink ปรับตัวขึ้นประมาณ 5% อย่างไรก็ตาม ดัชนี Fear & Greed ยังคงอยู่ในโซน “กลัว” ด้วยคะแนน 44 สะท้อนความระมัดระวังของนักลงทุน
ที่น่าสนใจคือ ในขณะที่ราคาคริปโตผันผวน พัฒนาการในอุตสาหกรรมยังคงก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีการประกาศความร่วมมือและการเข้าซื้อกิจการหลายรายการ เช่น Kraken ซื้อ NinjaTrader มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวนวัตกรรมสำคัญ อาทิ ระบบ Proof of Liquidity (PoL) ของ Berachain และการเปิดตัว Nillion Alpha บน mainnet ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อระบบนิเวศคริปโตในระยะยาว
สัปดาห์นี้ยังเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (DEX) โดย PancakeSwap มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% จาก 9.94 พันล้านดอลลาร์เป็น 14.1 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ PumpSwap บน Solana บันทึกปริมาณการซื้อขายรายวันเกิน 580 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 19.2% ของส่วนแบ่งตลาดในระบบ Solana
ในบทความนี้ เราจะวิเคราะห์เชิงลึกถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาคริปโตหลัก พร้อมติดตามพัฒนาการสำคัญในอุตสาหกรรม และคาดการณ์แนวโน้มตลาดในสัปดาห์หน้า เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลรอบด้านในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้
Bitcoin ยังคงเป็นศูนย์กลางความสนใจของตลาดคริปโตเคอร์เรนซีตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแสดงรูปแบบการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ในช่วง 5 วันแรกของสัปดาห์ ราคา BTC ทรงตัวในกรอบแคบระหว่าง 85,500 – 88,500 ดอลลาร์ สะท้อนการสะสมแรงซื้อและความพยายามในการทะลุแนวต้านที่ 88,000 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม การที่ราคาไม่สามารถยืนเหนือระดับ 88,000 ดอลลาร์อย่างยั่งยืนบ่งชี้ถึงแรงซื้อที่ไม่เพียงพอ
ความผันผวนเริ่มปรากฏชัดในวันที่ 28 มีนาคม เมื่อราคา Bitcoin ร่วงลงอย่างรุนแรงมาที่ประมาณ 83,800 ดอลลาร์ ลดลง 3.8% ในรอบ 24 ชั่วโมง การปรับตัวลงนี้เกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น บ่งชี้ถึงความต้องการขายออกที่มากขึ้น มากกว่าการขาดสภาพคล่อง
ในแง่ของปัจจัยพื้นฐาน ETF Bitcoin ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมามีเงินไหลเข้ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นว่านักลงทุนสถาบันยังคงมีความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของ Bitcoin แม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น
นอกจากนี้ ข่าวเกี่ยวกับการที่บริษัท MicroStrategy ซื้อ Bitcoin เพิ่มอีก 580 BTC มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์สุดท้ายของมีนาคม ยิ่งตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นจากภาคเอกชน โดยราคาหุ้น MSTR ของบริษัทปรับตัวขึ้นถึง 225% นับตั้งแต่เริ่มสะสม BTC ในปี 2024
ในด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค Bitcoin กำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญของการทดสอบแนวรับที่ 80,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาและโซนความต้องการซื้อที่ชัดเจน หากราคาสามารถรักษาระดับเหนือแนวรับนี้ได้ เราอาจเห็นการฟื้นตัวกลับไปทดสอบแนวต้านที่ 85,000 และ 88,000 ดอลลาร์ในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม หากราคาหลุดระดับ 80,000 ดอลลาร์ อาจเกิดการเทขายแบบ Stop-loss ทวีคูณและนำไปสู่การปรับฐานที่ลึกขึ้น โดยมีแนวรับถัดไปที่ 75,000 ดอลลาร์
Ethereum มีการเคลื่อนไหวที่อ่อนแอกว่า Bitcoin อย่างชัดเจนในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเริ่มสัปดาห์ด้วยสัญญาณเชิงบวก เพิ่มขึ้น 3.73% มาอยู่ที่ 2,065 ดอลลาร์ แต่ในวันที่ 28 มีนาคม ETH กลับปรับตัวลดลงมากกว่า 6% และมีมูลค่าเทียบกับ Bitcoin ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020
สิ่งที่น่าแปลกใจคือ แม้ว่าเครือข่าย Ethereum กำลังเข้าใกล้การอัปเกรด Pectra ซึ่งเป็นการปรับปรุงครั้งสำคัญที่จะเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าธรรมเนียมธุรกรรม แต่ราคากลับไม่ตอบสนองต่อข่าวดีนี้เท่าที่ควร นอกจากนี้ ETF ของ Ethereum ยังไม่มีกระแสเงินทุนไหลเข้าสุทธิตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจาก ETF Bitcoin ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
ในแง่ของปัจจัยพื้นฐาน เครือข่าย Ethereum ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การอัปเกรด Pectra คาดว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมและลดค่าแก๊สลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันกับบล็อกเชนรุ่นใหม่อย่าง Solana และ Cronos ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า
ในด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค Ethereum กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่สำคัญ โดยราคาอยู่ใกล้กับแนวรับสำคัญที่ 1,900 ดอลลาร์ หากไม่สามารถรักษาระดับนี้ได้ อาจเกิดการปรับตัวลงต่อเนื่องไปยังแนวรับถัดไปที่ 1,750 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม หากราคาสามารถรักษาระดับเหนือ 1,900 ดอลลาร์และกลับมาทะลุแนวต้านที่ 2,100 ดอลลาร์ได้ อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัว โดยเฉพาะหากใกล้ถึงกำหนดการอัปเกรด Pectra
นักลงทุนควรจับตาดูทิศทางของ ETH/BTC Ratio ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความแข็งแกร่งของ Ethereum เทียบกับ Bitcoin หากอัตราส่วนนี้เริ่มฟื้นตัว อาจบ่งชี้ถึงการกลับมาของความเชื่อมั่นใน Ethereum และโอกาสในการเข้าซื้อ
ในช่วงที่ตลาดโดยรวมผันผวน กลุ่ม Altcoins แสดงให้เห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดยมีทั้งเหรียญที่สามารถต้านทานแรงขายได้ดีและเหรียญที่ปรับตัวลงรุนแรงกว่าตลาดโดยรวม
Solana (SOL) ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากการร่วมมือระหว่าง Zebec กับ Mastercard และการคาดการณ์เกี่ยวกับ ETF นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว ETF Futures ของ Solana ในสหรัฐฯ ซึ่งเสนอการลงทุนแบบมาตรฐานและแบบทวีคูณด้วยอัตราส่วน 2 เท่า ส่งผลให้มีกระแสเงินไหลเข้าสุทธิ 240 ล้านดอลลาร์ในวันแรก ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันต่อศักยภาพระยะยาวของ Solana
Cronos (CRO) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนหลังการร่วมมือกับ Trump Media และก่อนการอัปเกรด zkEVM เวอร์ชัน 26 ซึ่งเพิ่มคุณสมบัติ Smart Account SSO ที่อนุญาตให้ล็อกอินด้วย Google, Apple ID หรืออีเมล โดยไม่ต้องใช้ Seed Phrase การปรับปรุงนี้ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการกระเป๋าดิจิทัลสำหรับผู้ใช้ใหม่ได้ถึง 68% ตามข้อมูลจากทีมพัฒนา
Toncoin (TON) โดดเด่นในกลุ่มเหรียญอันดับต้นๆ โดยปรับตัวขึ้น 9.34% ท่ามกลางตลาดที่ปรับตัวลง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในระบบนิเวศของ Telegram และการใช้งานจริงที่เพิ่มขึ้น รายงานยังระบุว่า SUI, Toncoin และ AVAX มีผลตอบแทนรายสัปดาห์เป็นตัวเลขสองหลัก ในขณะที่ ETH และ XRP เผชิญกับการปรับตัวลง
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุก Altcoin ที่เผชิญกับความผันผวนได้ดี CryptoQuant รายงานว่าเหรียญท็อป 5 สูญเสียมูลค่ารวม 6.59 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะ ETH และ SOL ที่ลดลงกว่า 50% ในขณะที่ Bitcoin และ BNB ยังคงแสดงความยืดหยุ่นได้ดีกว่า
นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานและการใช้งานจริงของแต่ละโปรเจกต์ รวมถึงพิจารณาตาราง Token Unlocks ที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น AltLayer (ALT) ที่จะปลดล็อก 9.8 ล้านเหรียญ (0.98% ของอุปทาน) มูลค่า 9.8 ล้านดอลลาร์ ในวันที่ 1 เมษายน และ Velo (VELO) ที่จะปลดล็อก 2.47% ของอุปทานหมุนเวียน ในวันที่ 3 เมษายน ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันด้านอุปทานในระยะสั้น
ตลอดสัปดาห์มีการประกาศความร่วมมือและการเข้าซื้อกิจการที่สำคัญหลายรายการ:
สัปดาห์นี้ยังเห็นการเปิดตัวนวัตกรรมและการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สำคัญหลายรายการ:
แม้ว่าจะมีพัฒนาการเชิงบวกมากมาย แต่อุตสาหกรรมคริปโตยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายที่สำคัญ:
นอกเหนือจากปัจจัยเฉพาะในอุตสาหกรรมคริปโต ยังมีปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดในสัปดาห์หน้า:
การติดตามปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจทิศทางของตลาดคริปโตในสัปดาห์หน้าได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
สถานการณ์ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในสัปดาห์ที่ผ่านมา (24-28 มีนาคม 2025) สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่ผันผวน ตลาดเริ่มต้นด้วยสัญญาณเชิงบวกแต่ปิดท้ายด้วยการปรับตัวลงอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างคริปโตกับปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและการเมืองระหว่างประเทศ
เมื่อมองไปข้างหน้า ตลาดคริปโตในสัปดาห์ที่จะถึงนี้จะถูกกำหนดด้วยปัจจัยสำคัญหลายประการ:
ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นนี้ นักลงทุนควรพิจารณากลยุทธ์ต่อไปนี้:
โดยสรุป แม้ว่าตลาดคริปโตจะเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น แต่พัฒนาการของเทคโนโลยีและการลงทุนจากสถาบันยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนในระยะยาว นักลงทุนที่มีกลยุทธ์ชัดเจน จัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และมีมุมมองระยะยาวจะสามารถนำทางผ่านความผันผวนนี้และค้นพบโอกาสที่น่าสนใจในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีได้ ทั้งนี้ สำคัญที่สุดคือการประเมินความเสี่ยงส่วนบุคคลและเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว การเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่หลากหลายและการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่รอบด้านเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในตลาดที่ผันผวนเช่นนี้